ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 231 จุดประสงค์ของมิสเตอร์ K
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 231 จุดประสงค์ของมิสเตอร์ K
ตอนที่ 231 จุดประสงค์ของมิสเตอร์ K
จินนาเหลือบมอง พลางยกแขนขึ้นเล็กน้อย
“คาบเรียนการแสดงบอกให้แต่งแบบนี้!”
พอพูดจบ จินนาดูผ่อนคลายลงบ้าง รอยยิ้มของเธอเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ฉันบอกแม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าทำงานเสริมเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายประจำวันน่ะ? ผู้ชายคนนี้เป็นเจ้าของร้าน ฉันมาคุยเรื่องขอขึ้นเงินเดือน!”
จินนาชี้ไปทางลูเมี่ยนตรงประตูห้อง 207 เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดตัวเอง
เอโลดีมองลูเมี่ยนปราดหนึ่ง และจ้องมองจินนาอีกสองสามวินาที พยักหน้าแล้วพูดว่า
“คืนนี้อย่าลืมกลับบ้านล่ะ”
รอยยิ้มของจินนาค้างไปหนึ่งวินาทีแล้วตอบ
“ค่ะ”
เมื่อเห็นเอโลดีกลับไปทำงานต่อ ทำความสะอาดอีกฟากหนึ่งของชั้นสอง จินนาก็แอบย่องลงบันไดออกจากโรงแรมระกาทองไป
ไม่นานนัก เธอเห็นว่าลูเมี่ยนตามมา อดที่จะบ่นไม่ได้
“แม่ง! ทำไมแม่ฉันถึงมาอยู่ที่โรงแรมระกาทองได้?”
ลูเมี่ยนคิดสักพักแล้วพูด
“ความผิดของกรงพิราบเก่าน่ะ… มิสเตอร์เอฟฟ์เจ้าของโรงแรมระกาทอง ติดป้ายรับสมัครแม่บ้านครึ่งวันไว้ที่นั่น และแม่ของคุณก็ไปดูละครที่กรงพิราบเก่าบ่อยๆ”
จินนาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า
“ไอ้พวกสาวกเทพมารเวรตะไล!”
เธอสะบัดแขนทีหนึ่ง
“คืนนี้ฉันจะไปบอกกับแม่ตรงๆ ว่า เพื่อค่าเล่าเรียนปีหน้า ฉันทำงานเสริมเป็นนักร้องใต้ดิน ได้เงินเยอะอู้ฟู่ทีเดียวเชียว!”
“คุณดูไม่กลัวหรือประหม่าเลยนะ”
จินนาคายน้ำลายทีหนึ่ง
“นั่นแม่ของฉัน ไม่ใช่ยักษ์มารกินคนที่ไหน”
“แม่เป็นคนใจเย็นและค่อนข้างเปิดกว้าง ก่อนหน้านี้ที่ฉันไม่ได้บอกไปว่าทำงานอะไร แค่เพราะกลัวแม่เป็นห่วง”
“หลังจากนี้ก็คงเป็นห่วงแล้วล่ะ” ลูเมี่ยนเตือนความจำ
การเป็นนักร้องใต้ดินตามคาบาเร่ต์และบาร์ มักหลีกเลี่ยงการพัวพันกับแก๊งอันธพาลไม่ได้ อาจถูกข่มเหงและกดขี่เป็นครั้งคราว
จินนายิ้มออกมา พูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ตอนนี้ฉันเป็นชู้รักของชาร์ล·ดูบัวส์ หัวหน้าหน่วยพรรคซาฟาห์และคนคุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ใครจะกล้ามารังแกฉัน?”
“นั่นยิ่งอันตรายใหญ่” ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งที
จินนาละสายตาไปมองพ่อค้าที่ร้องขายของบนถนนอลเวง
“ถ้าแม่ยังไม่ยอมรับ ฉันกะว่าจะแสดงฝีมือให้เธอเห็น จะได้เชื่อว่าฉันปกป้องตัวเองได้”
แน่นะ? ลูเมี่ยนไม่ได้ยกตัวอย่างไอ้วิตถารเฮิดซ์
สีหน้าของจินนาหายไป เสียงพูดของเธอทุ้มลงเล็กน้อย
“แม่ต้องอดทนอะไรต่อมิอะไรมากมาย ทำงานหนักมาหลายปี ฉันอยากช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง ไม่อยากให้แม่ทำร่างกายพังไปมากกว่านี้แล้ว”
ลูเมี่ยนคิดครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่คุณพ่อเสียไปใช่ไหม”
จินนามองพื้นด้านหน้า และร้องอื้มขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“เกิดอุบัติเหตุที่โรงงาน พ่อบาดเจ็บสาหัส นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสิบกว่าวัน แต่ก็ไม่รอดกลับมา”
“เราใช้เงินเก็บจนเกลี้ยง แถมยังติดหนี้อีก ถ้าเป็นก่อนหน้านั้น ฉันสามารถหาโรงละครดีๆ เข้าไปเรียนการแสดงได้สบาย แต่ในความเป็นจริง จนถึงต้นปีนี้เพิ่งใช้หนี้ไปได้เกือบครึ่งเอง แต่แม่ก็ยังหาเงินค่าเรียนการแสดงมาให้ฉันได้ เธอบอกว่าเลื่อนไม่ได้แล้ว ถ้าเลื่อนอีก อายุฉันจะเกิน”
ลูเมี่ยนเงียบฟังจนจบ แล้วถามด้วยความสงสัย
“โรงงานไม่มีค่าชดเชยจากอุบัติเหตุหรือ”
“มี แต่ไอ้สารเลวนั่นไม่ได้จ่ายมาจนถึงทุกวันนี้!” จินนาพูดพลางกัดฟันกรอด “มันอุทธรณ์ตลอด ศาลก็พิจารณาคดีล่าช้าทุกครั้ง แม่ง! คิดจะยื้อไปจนพวกเราตายเลยหรือไง?”
ลูเมี่ยนนิ่งไปสักพัก แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“แม่ของคุณเคยเป็นนักแสดงละครใช่ไหม”
“ใช่” สีหน้าของจินนาค่อยๆ ละมุนขึ้น “แม่แสดงเก่งมาก หน้าตาก็ดี แต่ผู้จัดการโรงละคร ผู้สนับสนุน เจ้าของ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย พวกมันมีสันดานชอบเลือกเหยื่อตามโรงละคร เหมือนราชสีห์ลาดตระเวนในถิ่นตัวเอง ใครไม่ยอมคล้อยตามก็จะไม่ได้บทดีๆ แม่ง! ทุกคนกลับมองเป็นเรื่องปกติไป แม้แต่ตำรวจ แม้แต่ศาล!”
“แม่นิสัยอ่อนโยนมาก แต่ก็มีจิตใจเข้มแข็ง ต้องทนเล่นแต่บทรอง บางทีก็ถูกไล่ออก ตอนหลังไปอยู่กับโรงละครที่ล้มละลาย ก็เลยร้างเวทีไปชั่วคราว ต้องไปทำงานแม่บ้านโรงแรม คนซักรีดแทน”
“ช่วงนั้นแม่ได้เจอกับพ่อ พวกเขาคบหากัน กลายเป็นสามีภรรยากันโดยมีพระองค์เป็นสักขีพยาน สุริยันจงเจริญ… สมัยนั้นพ่อมานะบากบั่นจะเป็นช่างเทคนิค แม่ทำงานหลายอย่าง พยายามเก็บเงิน คอยมองหาโอกาสจะกลับไปเป็นนักแสดง แม่บอกมันเป็นช่วงเวลาที่แม่คิดถึงที่สุด”
“หลังจากนั้น ฉันกับพี่ชายก็เกิดมา พ่อกับแม่ยิ่งงานรัดตัว พวกเขาต้องปากกัดตีนถีบเพื่อรักษาครอบครัว ส่งเสียให้พวกเราได้เรียน”
“พอเราโตขึ้นจนดูแลตัวเองได้ แม่ก็อายุมากแล้ว กลับไปเล่นละครไม่ได้ เธอจึงฝากความหวังไว้กับฉัน อยากเห็นฉันเป็นนักแสดงละครที่ยอดเยี่ยม แม้จะได้แค่บทรองก็ตาม ส่วนพ่ออยากให้พี่ชายเป็นช่างเทคนิคตัวจริง”
สิ่งเหล่านี้เหมือนอัดอั้นอยู่ในใจของจินนามานาน เพิ่งจะมีโอกาสได้พูดก็ตอนนี้
ลูเมี่ยนไม่ขัดจังหวะเธอ รอจนกระทั่งอีกฝ่ายหยุดพูดเอง แล้วถึงถามกลับไป
“แล้วตัวคุณล่ะ อยากเป็นนักแสดงไหม”
จินนายิ้มอย่างภูมิใจและพึงพอใจ
“ถ้าแม่ของคุณเป็นคอละคร แถมยังแสดงเก่งด้วย คงยากที่คุณจะไม่ชอบละคร”
รอยยิ้มของเธอ ทำเอาลูเมี่ยนรู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก
เด็กหนุ่มพูดอย่างเห็นใจ
“แม่ของคุณคงชอบละครมากจริงๆ ถึงจะทำงานเป็นแม่บ้าน แต่ก็ยังแต่งหน้า ใส่วิกผมสวยๆ อยู่เลย”
จินนาพยักหน้าเบาๆ
“แม่บอกว่ามันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองยังเด็ก ยังเป็นหญิงสาวที่เคยแสดงบนเวที ยังคงเป็นนักแสดงละครตัวจริง งานอื่นๆ ก็แค่งานเสริมเท่านั้น”
“แม่เป็นแบบนี้เสมอ นอกจากพาฉันไปดูพระอาทิตย์ขึ้น บอกว่าความมืดมิดจะผ่านไป แสงสว่างจะมาถึงแน่นอน ยังบอกด้วยว่า แม้จะอยู่ในความมืด ก็อย่าลืมมอบแสงให้ตัวเองสักนิด แค่นี้ก็พอ แล้วอดทนรอให้พระอาทิตย์ขึ้น”
เล่าถึงตรงนี้ จินนาตั้งตารอคอยอนาคต
“ฉันเป็นนักร้องใต้ดินไปอีกสักปี ก็คงเก็บเงินได้พอค่าเรียนปีหน้า ใช้หนี้ที่เหลือได้เกือบหมด บวกกับเงินที่แม่กับพี่ชายหามาได้ พวกเราก็จะหมดภาระแล้ว ถึงตอนนั้นแม่ก็ไม่ต้องทำงานไม่เลือก พี่ชายก็จะได้มีโอกาสเรียนวิชาช่าง!”
ยิ่งพูด จินนาก็ยิ่งตื่นเต้น อดไม่ไหวต้องยกแขนขึ้นเล็กน้อย ราวกับอยากสัมผัสความงดงามในอนาคต
ลูเมี่ยนเงียบมองจินนาที่ทำตัวแบบนั้น ก็สัมผัสได้ว่าอารมณ์ที่บ่มเพาะอยู่ในใจ ผ่อนคลายลงไม่น้อย
ความหวัง ช่างเป็นคำที่ยั่วยวนใจเสียนี่กระไร
จินนาเริ่มอารมณ์ดี บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก จึงเหลือบมองลูเมี่ยนด้วยสายตาเย็นชา
“ทำไมมองแบบนั้น? ไม่เคยเห็นคนตื่นเต้นหรือไง”
ลูเมี่ยนหัวเราะหึในลำคอ ไม่ได้ตอบอะไร
จินนาจ้องมองเด็กหนุ่มอยู่นาน พึมพำกับตัวเองว่า
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า สภาพของนายดูดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว”
“ไม่เลย” ลูเมี่ยนตอบสั้นๆ
ตอนนี้ทั้งคู่เดินเข้ามาในถนนใหญ่ตลาดแล้ว เห็นมีการติดโปสเตอร์ของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นสส. เขตตลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคซาฟาห์และแก๊งหนามพิษ กลายเป็นสส. ตัวจริงแล้ว… ไม่รู้เลยว่าจะนำพาการเปลี่ยนแปลงแบบใดมาสู่เขตตลาด… ลูเมี่ยนละสายตาจากโปสเตอร์ นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ฟรังก้าเคยบอก
มาดามจันทรา ผู้เชื่อใน ‘องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่’ มองว่าฮิวจ์·อาร์ทัวส์เป็นคนที่เปิดกว้างพอ
…………
ช่วงบ่าย ก่อนจะออกเดินทางไปเขตถนนหลวงเพื่อหามิสเตอร์ K ลูเมี่ยนจัดแท่นบูชาในห้องนอนชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
เมื่อสร้างกำแพงวิญญาณเสร็จ จุดเทียนสามเล่มตามลำดับเทพถึงมนุษย์ จากซ้ายไปขวา หยดน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดดอกไม้ ลูเมี่ยนถอยหลังสองก้าวในบรรยากาศอันลึกลับ กล่าวเสียงทุ้มว่า
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
หมอกสีเทาลอยละล่องออกมา บรรยากาศรอบทิศเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
ลูเมี่ยนอดกลั้นความรู้สึกเฉื่อยชาทางความคิด อดกลั้นอาการคันใต้ผิวหนัง เพ่งมองเปลวเทียนที่กลายเป็นสีดำอมเขียว แล้วสวดคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิส ตามคำสอนของมาดามเมจิกเชี่ยน
“ข้าขอวิงวอนต่อพระองค์”
“ขอพรคุ้มครองจากพระองค์…”
หลังจากดำเนินพิธีกรรมหลายขั้นตอน ลูเมี่ยนก็เห็นเทวทูตศักดิ์สิทธิ์ที่คล้ายรวมตัวจากแสงอันบริสุทธิ์อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจเหมือนละเมอรางๆ
เสียงถอนใจจากตำแหน่งสูงอนันต์
เทวทูตมายาที่เปล่งประกายระยิบระยับ ลอยลงจากที่สูง กางแขนกอดลูเมี่ยนไว้
คู่ปีกแสงหุบเข้ามา ห่อหุ้มร่างเด็กหนุ่มเอาไว้
เมื่อลูเมี่ยนได้สติ ทุกสิ่งกลับเป็นปกติ
…………
ใกล้ค่ำ เขตถนนหลวง ถนนเฌอร์ บ้านเลขที่ 19
ลูเมี่ยนพบมิสเตอร์ K ในห้องใต้ดินอีกครั้ง
อีกฝ่ายยังคงสวมฮู้ดใหญ่ เสื้อคลุมสีดำ นั่งเงียบบนเก้าอี้หุ้มหนังสีแดง
มิสเตอร์ K มองลูเมี่ยน พยักหน้าแผ่วเบา พูดเสียงแหบต่ำว่า
“ผมพอใจกับความเคลื่อนไหวของคุณมาก และถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่ทำลงไปก็สอดคล้องกับคำสอนของพระองค์ท่าน ปราบปรามบริวารของสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น!”
มิสเตอร์ K เว้นวรรคเล็กน้อย
“คุณคิดถี่ถ้วนดีแล้วหรือ”
“คิดถี่ถ้วนแล้ว” ลูเมี่ยนก้มหน้าลงกล่าว “คุณทำให้ผมได้เห็นสง่าราศีของพระองค์”
“ฮ่าๆ” มิสเตอร์ K หัวเราะเสียงดังทันที หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับสติแตก
ผ่านไปหลายวินาที เขาจึงสงบลง และพูดเข้าประเด็นโดยไม่ได้สั่งให้คนรับใช้รอบๆ ออกไป
“พระนามของพระองค์ท่านก็คือ ‘พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ผู้ทรงปัญญาและฤทธานุภาพ ผู้ปกครองหลังม่านเงามืด ราชันแห่งโลกวิญญาณ ธาตุแท้อันเสื่อมทรามแห่งสรรพชีวิต’ คุณเลือกเอาสามท่อน แล้วใช้ภาษาเฮอร์มิสสวดวิงวอนถึงพระองค์”
เพียงแค่ได้ยินคำพูดของมิสเตอร์ K ลูเมี่ยนก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับเสื้อผ้า ผิวหนัง เลือดเนื้อ และกระดูกของตนถูกสลายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และสำนึกแห่งตน
เด็กหนุ่มสั่นเทิ้มอย่างมิอาจหักห้าม รีบสวดวิงวอนตามสัญชาตญาณ
“พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ผู้ทรงปัญญาและฤทธานุภาพ ผู้ปกครองหลังม่านเงามืด…”
ลูเมี่ยนไม่อาจคิดอย่างรอบคอบได้ เลือกสามประโยคแรกโดยไม่รู้ตัว
แทบจะทันทีทันใด เด็กหนุ่มรู้สึกว่ารอบทิศมืดมิดลง ราวกับถูกม่านหนาๆ คลุมทับ
หลังม่านเงาอันเลือนรางและลึกลับนั่น มีดวงตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองลูเมี่ยน ทะลวงเข้าไปในจิตสำนึกของเขา ทำให้เขาแทบหมดสติ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ลูเมี่ยนได้สติกลับคืนมา รู้สึกเหงื่อเย็นเหนียวเหนอะไปทั้งตัว
มิสเตอร์ K ลุกขึ้นยืน เสียงแหบพร่าเจือรอยยิ้มอย่างชัดเจน
“นับแต่นี้ไป คุณคือพี่น้องของเรา กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราอย่างแท้จริงแล้ว”
“เราคือองค์กรลับที่ศรัทธาใน ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ มีชื่อว่า ‘ชุมนุมแสงเหนือ’”
ชุมนุมแสงเหนือ? ลูเมี่ยนตกใจจนอึ้ง
นี่มันองค์กรก่อการร้ายที่ช่วยรับผิดแทนเราไม่ใช่หรือไร
ถ้ามองจากมุมนี้ ผู้วิเศษทางการก็เหมือนจะไม่ได้จับแพะ…
เรากลายเป็นคนของ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ เต็มตัวแล้ว…
ถึงตรงนี้ มิสเตอร์ บอกให้ผู้ติดตามรอบๆ ออกจากห้องใต้ดิน แล้วพูดกับลูเมี่ยน
“การ์ดเนอร์·มาร์ตินเป็นคนของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ องค์กรลับที่เดิมทีก็ศรัทธาในพระองค์ของเรา แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาค่อยๆ ห่างเหินไป มิได้สวดมนต์ภาวนาบ่อยเหมือนเก่า และเหมือนจะกำลังวางแผนทำเรื่องสำคัญอยู่”
“ผมส่งคุณไปเข้าร่วมกับพวกเขา ก็หวังให้ช่วยสืบหาเหตุผล ขุดคุ้ยให้แน่ชัดว่าพวกนั้นกำลังทำอะไร”
…………………………………………………….