ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 185 สินค้าที่หายไ
ตอนที่ 185 สินค้าที่หายไป
“ทำไมถึงฝันแบบนี้ล่ะ… เหมือนจริงมาก…” ลูเมี่ยนที่สงบลงแล้ว รีบตรวจสอบร่างกายตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
แต่ในความฝันเมื่อครู่นี้ แทบไม่ต่างอะไรกับการสวมแว่นส่องความลับ แถมยังเห็นสิ่งต่างๆ มากกว่าด้วย
หลังจากไตร่ตรองดูสักพัก ลูเมี่ยนสงสัยว่าการสวมแว่นส่องความลับถึงสามครั้งติดต่อกัน ทำให้ผลกระทบด้านลบสะสมมากเกินไปจนยังหลงเหลืออยู่ เมื่อมาเจอกับสภาพแวดล้อมของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยที่มีซากศพเก่าฝังอยู่ใต้ดิน ก็เลยสะท้อนออกมาในความฝัน
“ดูเหมือนใต้ดินที่นี่จะมีปัญหาจริงๆ …” ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเองแล้วลงจากเตียง สวมเสื้อโค้ต ตั้งใจจะเปลี่ยนที่นอนเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตน
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว กระทั่งคาบาเร่ต์ลมเอื่อยก็ไม่มีแสงไฟลอดออกมา เด็กหนุ่มเดินเลียบเงาริมถนนกลับมาถึงโรงแรมระกาทองที่ประตูใหญ่ถูกลงกลอนแล้ว
นี่มิใช่เรื่องยากสำหรับลูเมี่ยน โดยไม่คิดจะเคาะประตูปลุกคุณนายเฟลส์ที่โมโหง่าย เขาอ้อมไปทางด้านหลัง ปีนท่อประปา แล้วกระโดดเข้าระเบียงชั้นสอง
ในห้อง 207 ลูเมี่ยนหลับยาวไปจนถึงเช้าตรู่หกโมงตรง ระหว่างนั้นมีฝันสั้นๆ แค่สองหน และปกติทั้งสองหน
“ชัดเจนแล้วว่า ซากศพเก่าใต้ดินของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ทำให้พลังลบจาก ‘แว่นส่องความลับ’ ที่สะสมในตัวเราปะทุขึ้นมา…” ลูเมี่ยนลุกนั่งด้วยความยินดีปนผิดหวัง
เดิมทีเด็กหนุ่มวางแผนจะใช้แว่นส่องความลับสร้างภาพวาดสีน้ำแฝงพลังเหนือธรรมชาติวันละแผ่นสองแผน เก็บสะสมไว้ใช้ตามสถานการณ์ในอนาคต แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแว่นส่องความลับจะใช้บ่อยเกินไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าผลด้านลบที่สะสมอยู่จะหายไปหมดก่อน จึงค่อยลองใช้ใหม่ ไม่อย่างนั้น เมื่อปล่อยให้สะสมไปนานๆ อาจทำให้เกิดเรื่องน่ากลัวและแปลกประหลาดขึ้น ท้ายที่สุดอาจถึงขั้นทำให้เขาเสียชีวิตอย่างลึกลับ เหมือนกับ ‘นักกฎหมาย’ ที่ทิ้งแว่นตาไว้ เหลือเพียงภาพวาดสีน้ำพิลึกพิลั่นหนึ่งแผ่นที่ส่งอิทธิพลเหนือธรรมชาติตลอดกาล
“คืนนี้กลับไปนอนที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยใหม่ ใช้การฝันหรือไม่ฝันเป็นเครื่องตรวจสอบว่า ‘ผลสะสมด้านลบ’ หายไปหมดหรือยัง… หลังจากนั้นห้ามใส่ติดๆ กันเกินสองครั้ง… สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่มิสเตอร์ K ไม่ได้เอ่ยถึง… อา… ต้องใช้เองก่อน ได้สัมผัสเองก่อน ถึงจะเข้าใจได้โดยตรง…” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืนด้วยใจเบิกบาน เดินไปทางห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ บรรยากาศเงียบสงบมาก แทบไม่มีการแย่งใช้ห้องน้ำเลย
ระหว่างนั้นมีคุณนายเฟลล์มาตรวจสอบมาตรวัดน้ำทุกชั้นเป็นระยะ เพื่อดูว่ามีใครใช้น้ำประปาอย่างสิ้นเปลืองหรือไม่
โรงแรมระกาทองทำสัญญากับบริษัทจ่ายน้ำของจักรวรรดิ จ่ายน้ำไม่ต่ำกว่า 250 ลิตรต่อวัน ไม่เกิน 500 ลิตร ในราคา 100 เฟลคินต่อไป
ลูเมี่ยนเดินเอ้อระเหยเข้าร้านกาแฟบนถนนเสื้อนอกขาว ลองชิมอาหารท้องถิ่นอย่างซาเบล่คุกกี้ (Sablé cookies) และขนมปังบริยอชทรงครัวซองต์แต่นุ่มกว่า แล้วไปหาที่ออกกำลังกายต่อ
เมื่อเขากลับถึงโรงแรมระกาทอง ก็เห็นชาร์ลีในเสื้อลินิน กางเกงขายาวสีดำ นั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู กำลังดื่มไซเดอร์แอปเปิลคู่กับพายเนื้อ
“ตื่นเช้าจัง?” ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
คาบาเร่ต์ลมเอื่อยปิดตีสอง แต่ตอนนี้ยังไม่แปดโมงครึ่งเลย
ชาร์ลีชั่งใจว่าควรลุกขึ้นยืนทักทายเจ้านายใหม่ดี หรือจะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาดี สักพักจึงตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
“ถ้านอนต่ออีกนิด ฉันก็ต้องเตรียมตัวไปคาบาเร่ต์แล้ว”
“ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น คนเราต้องมีเวลาที่ไม่ได้นอนหรือทำงานบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกเหมือน… เอ่อ…”
คาบาเร่ต์ลมเอื่อยเปิดเร็วสุดตอนสิบโมงครึ่ง
“รู้สึกเหมือนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นแค่เครื่องจักรที่เกิดมาเพื่อทำงาน?” ลูเมี่ยนช่วยนึกคำพูดแทนชาร์ลี
“ใช่! นั่นแหละ!” ชาร์ลีเห็นด้วยอย่างยิ่ง “นายรอบรู้จริงๆ! บางครั้งก็ดูไม่เหมือนพวกอันธพาลเลย… เอ่อ… ไม่เหมือนหัวหน้าหน่วยพรรคซาฟาห์ แต่เป็นคนเมืองผู้มีอารยะ!”
ถ้าตามแผนเดิม ป่านนี้ฉันคงกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสักแห่งในเขตหอรำลึก ใช้เวลาว่างเพื่อผจญภัยใต้ดินทรีอาร์กับเพื่อนร่วมชั้น… อารมณ์ของลูเมี่ยนหม่นลงครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสมาธิ จ้องหน้าชาร์ลี
เพื่อนคนนี้คือ ‘มาตรวัด’ ว่าปัญหาของซูซานน่า·มาติสยังมีอยู่หรือไม่ แล้วจะปะทุเมื่อไร
“น…นายกำลังมองอะไร?” ชาร์ลีเสียขวัญเล็กน้อยเมื่อถูกจ้อง “เจอปัญหาไหม?”
พักนี้โชคชะตายังปกติ… ค่อนข้างราบเรียบ… ลูเมี่ยนเบาใจลง ยิ้มพลางยกมือขวาขึ้น โบกทักทายไปทางด้านหลังชาร์ลี
ชาร์ลีหมุนตัวฉับ ตาเบิกกว้าง ไม่ปล่อยให้พลาดแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย
ผ่านไปสักไม่กี่วินาที เขาถอนหายใจยาว เอี้ยวตัวครึ่งหนึ่ง ฝืนยิ้มพูดกับลูเมี่ยน
“นายอำฉันเล่นอีกแล้ว”
ชื่อนั้นเปรียบดังฝันร้ายที่พักนี้เขายังลืมไม่ลง
“กำลังฝึกให้นายมีภูมิต้านทานทางจิตใจไง ในอนาคต ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก นายจะได้ไม่เอาแต่สั่นกลัวจนหัวขาวโพลน” ลูเมี่ยนตบไหล่ชาร์ลีพลางพูดเสียงขรึม
ใกล้ถึงสิบโมงครึ่งแล้ว เด็กหนุ่มย้อนกลับไปยังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ลูอิสกับซาโกตารีบวิ่งเข้ามาหา พูดขึ้นพร้อมกันว่า
“ลูกพี่ เกิดเรื่องแล้ว!”
“เรื่องอะไร?” ลูเมี่ยนยังคงถามด้วยรอยยิ้ม ราวกับมองไม่เห็นความกังวลและไม่สบายใจของสองลูกน้อง
ลูอิสชำเลืองไปทางบันไดแล้วพูดเสียงเบามาก
“บูตแดง คนยักษ์ มุสิก ต่างก็อยู่ที่นี่กันหมด ต้องมีเรื่องร้ายแรงมากเกินขึ้นแน่!”
“หัวหน้าหน่วยมากันหมดเลยหรือ?” ลูเมี่ยนนึกย้อนกิจกรรมของตนในพักหลัง ไม่พบว่าจุดใดมีปัญหาพอที่จะสร้างความไม่พอใจให้หัวหน้าหน่วยพรรคซาฟาห์
ช่วงนี้เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาก!
“ครับ!” ลูอิสพยักหน้าหนักๆ
ลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสองอย่างไม่ใส่ใจ แลเห็นฟรังก้ากับคนอื่นๆ
สีแดงของรองเท้าบูตฟรังก้าดูเข้มยิ่งกว่าเก่า กางเกงขายาวสีอ่อน กับกระโปรงสั้นสีเข้มที่ไว้ใส่คู่กับกางเกง เป็นแฟชั่นมาแรงในทรีอาร์พักนี้ ด้านนอกคลุมด้วยแจ็กเกตทรงผู้ชาย
หญิงสาวนั่งไขว่ห้างขวาทับซ้าย มองลูเมี่ยนที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ทางขวาของเธอคือบารอนบรินิแยร์ที่สวมสูทกับหมวกทรงสูง ทางซ้ายเป็นชายร่างเล็ก สูงไม่เกินหนึ่งเมตรหก ใบหน้าซูบผอม หนวดยาวสองแฉกเหมือนหนู สวมแจ็กเกตสั้นสีน้ำตาลเข้ม ผมสีเทาปนดำ รกทึบพอควร นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มอมฟ้า เจือความประหม่าไว้เล็กน้อย
จากนั้นก็ชี้ไปยังอีกคนฝั่งตรงข้ามทันที
“‘หัตถ์โลหิต’ เบลค”
เบลคมีผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้า ใบหน้าค่อนข้างกลม อายุราวๆ สามสิบ ยิ้มอ่อนโยน ดูไม่เหมือนหัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาลเลย
การแต่งกายค่อนข้างเป็นทางการ สองมือใหญ่หนา ข้อนิ้วป่องชัด กำลังคีบซิการ์ที่ลุกไหม้ช้าๆ
“อรุณสวัสดิ์ ทุกคน” ลูเมี่ยนลากเก้าอี้พนักสูงมา นั่งห่างจากโต๊ะราวๆ หนึ่งเมตร วางท่าว่าข้านี่แหละเจ้าถิ่น
‘คนยักษ์’ ซิมงต์มองเขาแวบหนึ่ง อัดบุหรี่หนึ่งลม พ่นควันสีเทาอมฟ้าออกมาแล้วพูด
“คริสโตเจอปัญหานิดหน่อย ต้องการให้เราช่วย”
“ปัญหาอะไร?” ลูเมี่ยนหันเหสายตาไปทาง ‘มุสิก’ คริสโต
คนนี้คือผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้คาบาเร่ต์ลมเอื่อยมีกำไรมหาศาล
แม้ว่าเหล้าที่เขาขาย แน่นอนว่าต้องบวกราคาเพิ่ม แต่ขอแค่ไม่ต้องจ่ายภาษี ราคาก็ถูกกว่าร้านขายส่งเหล้าในทรีอาร์มากโข และที่สำคัญคือ สินค้าส่วนใหญ่ของคริสโตเป็นเหล้ากลั่นเถื่อน โดยแปะฉลากยี่ห้อกับแหล่งผลิตดังๆ ทับลงไป
คริสโตที่ดูเหมือนหนู ขบฟันกรอดแล้วเริ่มเล่า
“มีสินค้าบางล็อตหายไปใต้ดิน…”
“คนส่งของกับคนคุ้มกันก็หายไปด้วย… บัดซบ! น้องชายผมก็อยู่ในนั้น ตอนนี้ภรรยากับลูกของเขากำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ที่บ้านผม!”
เหตุเกิดขึ้นใต้ดินกรุงทรีอาร์? เหยื่อคือคนขนของกับคนคุ้มกัน? จริงสิ… ออสตา·ทรูเอลเล่าว่าเคยทำงานขนหนังสือใต้ดิน… อา… ใต้ดินทรีอาร์ใช้รถม้าไม่ได้ ต้องแรงงานคนเท่านั้น… ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปถาม
“สินค้าคืออะไร”
“เหล้าองุ่นกับบรั่นดีหนึ่งล็อต… แล้วก็ ‘ปลาดำ’ นิดหน่อย” คริสโตอดรนทนไม่ไหว ทุบโต๊ะหนึ่งฉาด “แม่งเอ๊ย! เส้นทางนี้ใช้มาหลายรอบแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดเรื่อง ไม่เคยเจอพวกไฮยีน่าด้วย!”
ไฮยีน่าในบริบทนี้หมายถึง ‘ตำรวจเหมือง’ ที่คอยตามจับพักลักลอบต่างๆ และรักษาความสงบใต้ดิน
เห็นลูเมี่ยนยังดูงุนงง บารอนบรินิแยร์ช่วยอธิบายรวบรัด
“ปลาดำหมายถึงปืน”
ในห้าอันดับธุรกิจที่ทำเงินเข้ากระเป๋าแก๊งมากที่สุด การผลิตเหล้าเถื่อนเป็นธุรกิจกำไรดีอันดับสอง ธุรกิจอาวุธอยู่อันดับสุดท้ายเพราะความต้องการต่ำ ส่วนธุรกิจการพนันที่กำไรดีที่สุด กลับไม่ได้ราบรื่นนักในเขตตลาด เพราะคนที่นี่รายได้ไม่สูง รีดเงินได้จำกัด สำหรับคนที่เหนื่อยๆ จากการทำงานมาทั้งวัน พวกเขาเลือกดื่มเหล้าถูกๆ มากกว่าการพนันที่ต้องใช้สมอง แถมยังได้เต้นรำส่ายๆ ไปตามเพลง มองหาหางเครื่องสวยๆ สักคนระบายความใคร่
ส่วนการค้ายาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท เรื่องนี้กรมตำรวจกรุงทรีอาร์ปราบปรามเข้มงวดมาก หลังจากถูกกองบัญชาการตำรวจเขตตลาดตักเตือนไปหลายครั้ง คาบาเร่ต์ลมเอื่อยก็เลิกยุ่งกับยาเสพติดอย่างถาวร แต่คาบาเร่ต์บนถนนไนติงเกลที่ ‘คนยักษ์’ คุมอยู่ ดูเหมือนจะยังเกิดเรื่องขึ้นเป็นระยะ
ลูเมี่ยนมองหน้า ‘มุสิก’ คริสโตแล้วถาม
“มีผู้ต้องสงสัยไหม”
“ไม่มี” คริสโตดูหัวเสียพอสมควร “ให้ตายสิ เส้นทางนั้นลับมาก นอกจากผมกับลูกน้องแล้ว ในเขตตลาดไม่มีใครรู้แน่”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกจุดประสงค์ที่ตนมา
“ผมอยากให้พวกคุณช่วยไปตามหาเบาะแสตลอดเส้นทาง… ใช้วิธีที่ตัวเองถนัดที่สุด”
“ผมลงไปดูเองมารอบนึงแล้ว แต่ไม่ได้อะไรเลย”
ไม่ปล่อยให้ลูเมี่ยนได้อ้าปาก ‘บูตแดง’ ฟรังก้าพยักหน้าพร้อมกับพูด
“พวกเราแบ่งกลุ่มลงไปทีละสองคนเถอะ เผื่อข้างบนเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนอยู่จัดการ…”
“อา… ฉันคู่กับชาร์ล พอดีมีเรื่องอยากคุยกับเขา”
‘คนยักษ์’ ซิมงต์มองสลับระหว่างฟรังก้ากับชาร์ลสองสามหน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า พักนี้มีข่าวลือที่ชาร์ลแอบหวานกับคู่นอนของฟรังก้า สวมเขาให้ฝ่ายหลัง
หาโอกาสเชือดชาร์ลสินะ? ซิมงต์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับ ‘หัตถ์โลหิต’ เบลค
“เราจับคู่กัน”
ส่วนบารอนบรินิแยร์หันไปทางคริสโต
“คุณลงไปอีกรอบกับผม”
หลังจากกลุ่มของบารอนบรินิแยร์กับกลุ่มของซิมงต์ ลองสำรวจเส้นทางใต้ดินแต่ก็คว้าน้ำเหลว ถึงคิวของลูเมี่ยนกับ ‘บูตแดง’ ฟรังก้าตามคนลักลอบลงไปสำรวจเส้นทางใต้ดินบ้าง
…………………………………………………….