ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 151 ล่อลวง
ตอนที่ 151 ล่อลวง
เสียงอันน่าเกรงขามของเทอร์มีโพลอสดังก้องอยู่ในหูของลูเมี่ยนเป็นระลอกๆ
“ใช่”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาทันที
แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หรือก็คือ ความตายของโอลัวร์กับทุกคนในหมู่บ้าน มีเพื่อให้แกได้ลงมายังโลกมนุษย์สินะ?”
“ทำไมฉันต้องช่วยปลดปล่อยแกจากผนึกด้วยล่ะ? ถ้าแกได้เป็นเทวทูตด้วยพร ฉันก็สามารถประกอบพิธีกรรมที่เหมือนกับเมื่อสักครู่ ภายใต้ความคุ้มครองขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ ขโมยพลังจากแกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันกลายเป็นเทวทูตเส้นทางชะตากรรมเสียเอง จากนั้นก็คืนชีพให้โอลัวร์ด้วยตัวเอง เปลี่ยนให้ทุกคนกลับสู่สภาพก่อนที่หมู่บ้านกอร์ตูจะถูกทำลาย เมื่อถึงตอนนั้น แกจะอ่อนแอลงเพียงใดแล้ว?”
“ถ้าแกเป็นเทวทูตด้วยตะกอนพลัง ฉันก็จะรอจนกว่าตัวเองกลายเป็นเทวทูตเส้นทาง ‘นักล่า’ ผู้มีพลังชะตากรรมที่สูสีกับแก ตระเตรียมผู้ช่วยให้เพียงพอ แล้วจึงค่อยปล่อยแกออกมาถูกรุมกระทืบ บีบบังคับให้แกคืนชีพให้โอลัวร์ ไม่สิ ถึงตอนนั้นฉันคงทำเองได้แล้ว ส่วนแกต้องทุกข์ทรมานไปตลอดกาล จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“ทีแรกฉันไม่ได้ใส่ใจพรของเส้นทาง ‘ชะตากรรม’ สักเท่าไร แต่หลังจากรู้ว่าพิธีกรรมนั่นมีเพื่อให้แกลงมาสถิตร่าง ฉันก็เริ่มอยากจะแย่งชิงพลังและความภาคภูมิใจของแกมาเป็นของตัวเอง”
น้ำเสียงของลูเมี่ยนตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ขณะพูด จนโอสถนักยั่วยุย่อยเพิ่มอีกเล็กน้อย
เทอร์มีโพลอสยังคงกล่าวด้วยเสียงเดิม ราวกับไม่ได้รับอิทธิพล
“ข้าเคยเห็นผู้วิเศษมานับไม่ถ้วนตามห้วงดวงดาว รวมไปถึงชนเผ่าอีกมากที่ได้รับพรจากพระองค์ ในหมู่คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่มิอาจก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความเป็นเทพ เพราะหากเดินหน้าอีกแค่ครั้งเดียว ทั้งร่างกายและจิตใจก็จะพังทลายโดยสิ้นเชิง…”
“และบนเส้นทางแห่งการไล่ล่าความเป็นเทพ ก็ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายที่นับไม่หวาดไม่ไหว เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองจะเป็นเทวทูตได้จริง?”
“เจ้าควรทราบไว้ว่า นี่มิใช่โอกาสหลักหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน กระทั่งหนึ่งในล้านหรือสิบล้าน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพรรณนาความยากลำบากในการไขว่คว้าตำแหน่งเทวทูต”
“ถ้าเจ้าเกิดเสียชีวิตบนเส้นทางเหนือธรรมชาติ โอลัวร์·ลีก็จะดับสูญอย่างสิ้นเชิง และเมื่อนั้น ผนึกในร่างกายเจ้าก็จะคลายออก ช่วยให้ข้าได้รับอิสระกลับคืนมา”
ลูเมี่ยนเงยหน้าเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
เสียงดังกล่าวสะท้อนท่ามกลางโพรงอันว่างเปล่าของเหมืองหิน ยิ่งช่วยแนบเน้นบรรยากาศอันเงียบสงัดและบีบหัวใจของโลกใต้ดิน
“ถ้าอย่างนั้น… ทำไมแกถึงไม่รอให้ฉันตายไปเองล่ะ?” ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินออกจากโพรงเหมืองหิน ระหว่างนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างอธิบายไม่ได้ “ฉันไม่สนใจว่าแกจะทำอะไร หวังผลแบบไหน ไม่สนว่าเป็นคนดีหรือเลว เพียงรู้ว่าโอลัวร์กับทุกคนในหมู่บ้านกอร์ตูต้องตายเพราะแก”
เด็กหนุ่มเว้นวรรคสักครู่ แล้วจึงหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันบิดเบี้ยวบ้าคลั่ง
“ในเรื่องนี้ จะต้องมีใครสักคนชดใช้… กิโยม·เบเนต์ แก หรือแม้กระทั่งพระองค์ท่านที่แกเอ่ยถึง!”
เทอร์มีโพลอสไม่กล่าวคำใดอีก เสียงที่เคยก้องกังวานในหัวใจ สมอง หลอดเลือด ไขกระดูก และโพรงในกายลูเมี่ยน อันตรธานหายไปแล้ว
แฮ่ก… ลูเมี่ยนที่ถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินท่ามกลางใต้ดินเริ่มหายใจหอบ
บทสนทนาเมื่อสักครู่แม้จะกินเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ก็นานพอที่จะทำให้เขารู้สึกเหมือนใช้พลังไปหมดตัว
ตามความเข้าใจของเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ มลพิษก็คือมลพิษ สูงสุดก็เทียบเท่าพลังจาก ‘พร’ ที่เทพมารประทานให้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าในตัวเขาจะมีเทวทูตผนึกอยู่!
ในซากปรักหักพังของหมู่บ้านกอร์ตู บนยอดเขาโลหิตสีแดงฉาน ยักษ์สามเศียรหกกรตนนั้นถูกสร้างเพียงเพื่อเป็นภาชนะร่างสถิตของเทวทูต ห่างไกลจากเทวทูตตัวจริงไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่กระนั้นกลับมีฤทธิ์เดชทำให้สัญชาตญาณของลูเมี่ยนร้องเตือนว่าอย่าจ้องมอง อย่าต่อต้าน และคอยพร่ำบอกตัวเองว่าไม่มีทางชนะได้เลย
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ลูเมี่ยนเคยคิดว่าคำพูดของเทอร์มีโพลอสช่างน่าเย้ายวนเหลือเกิน
ถ้ามิใช่เพราะเด็กหนุ่มเตือนตัวเองว่าความวินาศสันตะโรทั้งหมดเกิดจากอีกฝ่าย เขาอาจจะลองดูสักตั้ง
จากมุมมองของเด็กหนุ่ม การเป็นสาวกของสุริยันเจิดจรัส หรือเทพจักรกลไอน้ำ หรือองค์ซ่อนเร้นที่มีชะตากรรมอยู่ในนาม ล้วนแทบไม่แตกต่างกันในเนื้อแท้ อย่างมากก็เพียงสูญเสียความเป็นตัวเองไป
ลูเมี่ยนที่เพิ่งข่มลมหายใจจนสงบ ไม่นานก็เกิดตื่นตัวขึ้นมา จึงรีบเข้าไปหลบในซอกร่องใกล้ๆ พร้อมกับใช้ก้อนหินบังแสงไฟจากโคมคาร์ไบด์
ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียงฝีก้าวอันเร่งรีบสามชุด ดังผ่านมาจากอุโมงค์ข้างๆ จนกระทั่งเลือนลับเข้าไปในความมืดอันไร้ก้น
“ใต้ดินกรุงทรีอาร์ก็มีคนสัญจรอยู่บ้างสินะ…” ลูเมี่ยนรอคอยอย่างอดทนนานสองนาที จึงค่อยนำโคมไฟคาร์ไบด์ออกมา แล้วเดินกลับเข้าไปในอุโมงค์ที่มุ่งสู่ผิวดิน
หลังจากถูกขัดจังหวะเล็กน้อย อารมณ์ของเด็กหนุ่มกลับเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน จนเริ่มตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง
ในเมื่อมลพิษในตัวเขามีชีวิต ซ้ำยังเป็นถึงเทวทูตเส้นทางชะตากรรม—เทอร์มีโพลอส—เหตุใดพิธีกรรมการขอ ‘พร’ ถึงประสบความสำเร็จอยู่ร่ำไป?
เทอร์มีโพลอสมิใช่วิญญาณบริสุทธิ์ไร้สติสัมปชัญญะที่ทำได้เพียงตอบสนองต่อ ‘พิธีกรรมที่ถูกต้อง’ โดยอัตโนมัติสักหน่อย อีกฝ่ายสามารถปฏิเสธการให้พรได้แน่นอน
“หรือว่าไม่สามารถตอบสนองต่อพิธีกรรม… ถูกผนึกไว้ลึกขนาดนั้นเชียว?” คิดมาถึงตรงนี้ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่เทอร์มีโพลอสรีบร้อนอยากหลุดพ้น
อ้างอิงจากคำพูดของมาดามเมจิกเชี่ยน ทุกครั้งที่ตนได้รับพรหนึ่งชนิด เทอร์มีโพลอสก็ย่อมต้องอ่อนแอลงเล็กน้อย ความเข้มข้นของมลพิษก็จะลดลงตามไปด้วย
ในขณะเดียวกัน ผนึกขององค์ผู้ยิ่งใหญ่มิได้อ่อนแอลงตาม ดังนั้น เมื่อเทอร์มีโพลอสอ่อนแอลง ผนึกก็จะยิ่งแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่ง อาจถึงขั้นที่แม้แต่จิตใต้สำนึกก็ถูกลบล้างไป
ลูเมี่ยนเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง พลางย้อนทวนคำพูดของเทอร์มีโพลอส
“วันวาน… เหนือลำดับ… หมอนั่นพูดถึงวันวานกับเหนือลำดับ…”
เมื่อคิดถึงถ้อยคำเหล่านี้ หัวของลูเมี่ยนพลันปวดแปลบ ราวกับมีบางสิ่งพยายามชอนไชออกจากสมอง
เขารีบหยุดคิดทันที พลางรำพันด้วยความพรั่นพรึง
“นี่คือความรู้ประเภทที่แค่ล่วงรู้ก็นำมาซึ่งอันตราย? ถ้ามิใช่เพราะผนึกขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ ป่านนี้เราคงตายไปแล้ว หรือไม่ก็กลายพันธุ์เป็นตัวประหลาด…”
“เมื่อสักครู่ เราเพิ่งจะคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากความใจร้อนของเทอร์มีโพลอสที่อยากรีบหลุดพ้น บีบให้มันตอบสนองต่ออาคมพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จและคุณภาพของผลลัพธ์… ใครจะไปคาดคิดว่า เทวทูตยังมีอีกหลากหลายลูกเล่นที่สามารถทำลายเรา แม้ว่าตัวเองจะถูกผนึกอย่างแน่นหนาก็ตาม…”
“เรื่องแบบนี้ต้องรอบคอบเข้าไว้ หากคิดจะใช้ประโยชน์จากเทอร์มีโพลอสจริง คงต้องให้มาดามเมจิกเชี่ยนช่วยตรวจทานแผนการก่อนสักหนึ่งรอบ”
ในประเด็นข้างต้น ลูเมี่ยนเชื่อว่ากระทั่งรองประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ‘เฮล่า’ ก็ไม่อาจมอบคำแนะนำที่มีประโยชน์แก่ตน มีเพียงมาดามเมจิกเชี่ยนผู้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีลำดับสูงส่ง ชนิดที่สามารถเข้าออกวังวนเวลาได้อย่างอิสระ ซ้ำยังแก้ไขปัญหายักษาบนยอดเขาโลหิตได้ง่ายดายเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงจะกล้าไว้วางใจไถ่ถาม
ขณะความคิดกำลังโลดแล่น ลูเมี่ยนอาศัยทักษะในการสังเกตและจดจำสภาพแวดล้อมของ ‘นักล่า’ ถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินกลับขึ้นไปยังชั้นที่มีป้ายชื่อถนนติดอยู่
เด็กหนุ่มพยายามเรียกด้วยเสียงเบา
“เทอร์มีโพลอส…”
ไม่มีการตอบสนอง
ลูเมี่ยนอยากถามเทวทูตที่ถูกผนึกในร่างตนว่า อีกฝ่ายทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านกอร์ตูหรือไม่ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาได้ข้อสรุปว่าเทอร์มีโพลอสก็คงไม่ทราบข้อเท็จจริงเช่นกัน
กว่าอีกฝ่ายจะมาถึงหมู่บ้านกอร์ตู พิธีกรรมก็ใกล้จบแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกผนึกต่อทันที ย่อมไม่มีทางทราบความเป็นไปก่อนหน้านั้น
“ฟู่ว…” ลูเมี่ยนถอนหายใจพลางตรวจสอบร่างกายตัวเอง
โอสถนักยั่วยุถูกย่อยสลายเพิ่มเติม จึงพอจะคลำๆ ทางจนเกือบจะสรุปเป็นกฎใหม่เพิ่มอีกหนึ่งข้อ
“การยั่วยุตัวตนลำดับสูงจะช่วยให้ย่อยโอสถนักยั่วยุได้เร็วขึ้น? อา… แถมยังเป็นคนใหญ่คนโตเส้นทางชะตากรรมด้วย แง่หนึ่งก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบของชะตากรรม จึงค่อนข้างสอดคล้องกับเกณฑ์การสวมบทบาทของเรา…” ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ
ถ้ามิใช่เพราะเทอร์มีโพลอสเงียบไป เด็กหนุ่มวางแผนจะยั่วยุตามจังหวะมื้ออาหารด้วยซ้ำ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนพบว่าการยั่วยุเทวทูตช่วยให้โอสถย่อยไปเล็กน้อยเท่านั้น ความคุ้มค่าดูเหมือนจะต่ำไปสักหน่อย
เขาสงสัยว่ามีสองเหตุผล หนึ่ง เทอร์มีโพลอสถูกผนึกไว้ในสภาพที่แทบจะเรียกว่าตัวตนระดับสูงไม่ได้ สอง เทอร์มีโพลอสมิได้ถูกยั่วยุอย่างแท้จริง
ส่ายหน้ากับตัวเอง ลูเมี่ยนขจัดความคิดฟุ้งซ่าน เลิกกังวลกับเรื่องที่ยังไม่มีทางได้ข้อสรุป
เด็กหนุ่มหันกลับไปยังถนนอลเวง ‘ใต้ดิน’ เดินไต่ตามขั้นบันไดหินที่ปลายทางคือแสงสว่าง
ดับโคมไฟคาร์ไบด์ เดินกลับมาถึงทางเข้าโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเห็นชาร์ลีนั่งแกร่วอยู่บนขั้นบันไดด้านนอก
ชาร์ลีสูบบุหรี่ที่เหลือแต่ตอ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวด้วยแววตาหม่นหมอง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนนั่งลงด้านข้างชาร์ลี
อีกฝ่ายถอนหายใจเล่า
“คุณอีแซงซ์ย้ายออกไปแล้ว”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหน” ลูเมี่ยนถามกลับยิ้มๆ
คำตอบที่ชาร์ลีเตรียมจะมอบให้ลูเมี่ยน เกิดหยุดชะงักขณะปริ่มอยู่ตรงคอ ผ่านไปสักสองสามวินาทีถึงจะพูดออกมาได้
“นั่นสินะ แบบนี้ดีแล้วล่ะ คนแถวนี้รู้จักเธอและรู้ว่าเธอทำงานอะไร…ใช่แล้ว…”
ลูเมี่ยนเดาะลิ้น ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาพ่อค้าขายไวน์เปรี้ยว หยิบเหรียญทองแดงมูลค่าห้าโกเปต์ออกมา
“ขอไซเดอร์แอปเปิลครึ่งลิตร”
พ่อค้ายิ้มแย้มทันที
“ด้วยความยินดีครับ”
ไซเดอร์ที่พ่อค้ายื่นให้ลูเมี่ยนมีมากกว่าครึ่งลิตร
เด็กหนุ่มขยับคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามออกไป เพียงเดินกลับไปนั่งข้างชาร์ลีแล้วเปรยผ่านๆ
“ดูเหมือนคนขายไซเดอร์จะรู้จักฉันนะ”
ชาร์ลียิ้ม
“เขาอาจจะรู้ว่านายเป็นคนของแก๊งซาฟาห์ ไม่สิ… พรรคซาฟาห์”
“แล้วเขารู้ได้ยังไง” ลูเมี่ยนถามขณะดื่มไซเดอร์
ชาร์ลีไอแห้งๆ
“หลังจากฉันนำข่าวดีไปบอกกับคุณอีแซงซ์เมื่อคืน ก็ลงไปดื่มที่บาร์ใต้ดินต่อทันที และเล่าให้ทุกคนฟังว่านายคือสมาชิกพรรคซาฟาห์ ผู้ได้รับสิทธิ์ให้คุมโรงแรมระกาทอง”
ชั่วขณะนั้น ฉากหนึ่งผุดขึ้นในหัวลูเมี่ยน
ชาร์ลีที่ถือเบียร์ในมือ กระโดดขึ้นโต๊ะกลมตัวเล็กพร้อมกับโบกแขนสั้นๆ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย จงฟังทางนี้ วันนี้มีเรื่องอันน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นที่โรงแรมด้วยล่ะ! พวกนายต้องไม่เชื่อแน่ ชาร์ลที่อยู่ห้อง 207 กลายเป็นหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์แล้ว และเริ่มขับไล่พวกแก๊งหนามพิษออกจากโรงแรมทันที!”
สลายฉากนั้นทิ้งไป ลูเมี่ยนหายใจออกเชื่องช้า พลางพูดกับชาร์ลี
“กลัวว่าตำรวจจะไม่มาเคาะประตูห้องฉันหรือไง?”
……………………………………………………..