ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 117 ค่าตอบแทน
ตอนที่ 117 ค่าตอบแทน
ออสตาฝืนแค่นยิ้ม
“ผมไม่ได้โกหกคุณนะ… บ่อน้ำสตรีซามาเรียน่ะมีอยู่จริง!”
“จริงหรือ?” ลูเมี่ยนกรายเท้าเข้าหาออสตาทีละก้าว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงตอนนั้น นายทดลองดื่มให้ฉันดูก่อนก็แล้วกัน ถ้ามันได้ผล นายจะลืมว่าฉันยังไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน แต่ถ้ามันไม่ได้ผล ฉันจ่ายไปทำไมกันล่ะ?”
ออสตาไปต่อไม่ถูก ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ พลางพยักหน้า
“เชื่อผมเถอะ… เชื่อผมเถอะ…”
ทันใดนั้น เขามองไปที่ด้านหลังลูเมี่ยน ทำตาเบิกกว้างราวกับได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
ลูเมี่ยนหันกลับไปมองประตูห้อง ‘ตามความเคยชิน’ และพบว่าตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า
เมื่อสบโอกาส ออสตาย่อตัวลงแล้ววิ่งผลุดผ่านลูเมี่ยน ตรงไปยังบานประตูที่เปิดอ้าซ่า
พลั่ก!
ออสตาสะดุดขาขวาของลูเมี่ยนที่ไม่รู้ว่ายื่นออกมาตอนไหน ล้มกระแทกพื้นอย่างจัง จมูกโด่งๆ กลายเป็นช้ำเขียว ใบหน้าเรียวยาวเริ่มบวมแดง
ลูเมี่ยนเดินไปปิดประตูห้องอย่างไม่เร่งรีบ ดึงเก้าอี้มานั่ง ก้มมองออสตาที่กำลังนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น
“หืม… อย่าบอกนะนายมีสัมผัสวิญญาณที่แรงกล้า และเมื่อครู่ ‘เห็น’ ตัวอะไรแปลกๆ อยู่ข้างหลังฉัน ก็เลยวิ่งไปทางประตูเพื่อจะช่วยฉันจัดการมัน?”
ออสตาผงะเล็กน้อย แต่รีบพลิกตัวลุกขึ้นพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ
“ใช่ๆๆ! แบบนั้นแหละ!”
ลูเมี่ยนยิ้มแย้ม พลางเบนสายตาไปยังโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางชิดกับผนัง
บนนั้นมีกริชเงินหนึ่งเล่ม เทียนไขสีขาว ขวดใบเล็กจำนวนมาก บางใบใส่ของเหลว บางใบว่างเปล่า มีกระดาษที่เลียนแบบหนังแกะสองแผ่น รวมถึงกล่องกระดาษที่ส่งกลิ่นสมุนไพร
พอจะมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับอยู่บ้างสินะ… ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ พูดกับออสตาที่กำลังประหม่า
“บารอนบรินิแยร์ครับ!” ออสตารีบตอบอย่างลนลาน “หัวหน้าแก๊งซาฟาห์แห่งเขตตลาด”
ซาฟาห์คือชื่อของแคว้นหนึ่งในสาธารณรัฐอินทิส อยู่ติดกับแคว้น ‘โฮนาซิสบน’ และ ‘โฮนาซิสล่าง’ มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีนิสัยดุดันห้าวหาญ
“บารอน? ยุคนี้แล้วยังมีบารอนอยู่อีก?” ลูเมี่ยนย้อนถามอย่างขบขัน
นับตั้งแต่จักรพรรดิโรซายล์สิ้นพระชนม์ ประเทศได้เปลี่ยนระบอบการปกครองกลายเป็นสาธารณรัฐ ตำแหน่งขุนนางจึงหายไปจากชีวิตประจำวันผู้คน
ออสตากล่าวด้วยท่าทีอกสั่นขวัญแขวน
“นั่นเป็นชื่อที่เขาเรียกตัวเอง อาจเป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษของเขามีตำแหน่งขุนนางจริง”
ลูเมี่ยนพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ถามด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างยิ่ง
“หมอนั่นมาหานายทำไม ไปติดหนี้ไว้หรือไง?”
เห็นลูเมี่ยนคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเพื่อน ออสตาแม้จะกลัว แต่ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้าง
เขาพูดด้วยเสียงขื่นขม
“พอดีว่าผมอยากซื้อ… เอ่อ… ซื้อของอย่างหนึ่ง จึงยืมเงินจากพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมาสามพันเฟลคิน แต่ในภายหลัง พ่อค้าได้ขายหนี้ก้อนนี้ให้กับบรินิแยร์”
“ผมจ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามพันเฟลคิน แต่เขากลับบอกว่ายังเหลือดอกเบี้ยอีกสองพัน!”
“พนันได้เลยว่า ถ้านายยื้อหนี้ออกไปอีกสักสามเดือน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะไม่ใช่สองพัน แต่กลายเป็นสี่พัน” ลูเมี่ยนพบว่าท่าทีของออสตาเปลี่ยนไปจากเดิม มิได้ทำตัวสูงส่งหรือพูดจาภาษาเทพเหมือนก่อนหน้า
เด็กหนุ่มเปล่งเสียงแผ่วเบาเจือความน่าหลงใหล
“ถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน จะหาทางล่อลวงพวกบรินิแยร์ลงไปใต้ดิน ล่อเข้าไปในโพรงเหมืองหินที่ว่างๆ สักแห่ง แล้วทำให้เพดานถล่มลงมา กล่อมพวกมันให้หลับไปตลอดกาล”
“เมื่อไม่มีเจ้าหนี้ ก็จะไม่มีลูกหนี้”
ออสตายิ่งฟังก็ยิ่งหวาดหวั่น มองลูเมี่ยนด้วยสายตาเหมือนกำลังจ้องปีศาจ
เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำแบบนั้นจริง แต่ในแผนการ ชื่อของเป้าหมายมิใช่บรินิแยร์ หากแต่เป็นออสตา·ทรูเอล!
“นั่นมันฆาตกรรม! มันผิดกฎหมายนะ!” ออสตาโพล่งด้วยอารามตกใจ
“เงียบหน่อย… หรือว่าอยากเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต?” ลูเมี่ยนเตือนด้วยรอยยิ้ม “รู้ด้วยหรือว่าการทำแบบนี้ผิดกฎหมาย? แล้วตำรวจได้บอกด้วยไหม ว่าการต้มตุ๋นก็ผิดกฎหมายเหมือนกัน?”
ออสตามิอาจหาคำใดมาโต้แย้ง
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ตบฝุ่นออกจากถุงมือ
“ฉันล้อเล่นน่ะ แค่อยากทดสอบศีลธรรมของนายก็เท่านั้น”
“อะไรนะ?” ออสตามองด้วยความฉงน
แน่นอน ลูเมี่ยนไม่คิดบอกไปตรงๆ ว่า เหตุผลแท้จริงที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะต้องการสร้างภาพจำว่าตนเป็นคนเย็นชาและโหดเหี้ยม ซึ่งจะช่วยให้การ ‘พูดคุย’ หลังจากนี้ง่ายขึ้น
ความเชื่อใจที่เกิดจากการถูกข่มขู่ ก็ถือเป็นความเชื่อใจเหมือนกัน!
“ขอแสดงความยินดีด้วย นายผ่านการทดสอบของฉันแล้ว อย่างน้อยนายก็ไม่ใช่อาชญากรที่ไม่มีขีดจำกัดล่าง” ลูเมี่ยนกางแขนออกด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า
แล้วจึงชักนำหัวข้อสนทนากลับสู่ประเด็นหลัก
“เงินตั้งมากมายขนาดนั้น… นายยืมมาซื้ออะไรกันแน่”
เด็กหนุ่มมองไปรอบตัว กล่าวเสริมขณะมองสำรวจห้อง
“ฉันไม่เห็นของมีค่าสักชิ้นในห้อง…”
ออสตาอ้าปากตามความเคยชิน เตรียมจะแต่งเรื่องโป้ปดมดเท็จ แต่พลันระลึกถึงคำขู่เมื่อสักครู่
จึงสั่นกลัวอยู่สักพักก่อนจะกล่าว
“ค…คุณรู้จักโอสถไหมครับ”
“นายเองก็เป็นผู้วิเศษจริงๆ สินะ” ลูเมี่ยนหัวเราะออกมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้จักผู้วิเศษกับโอสถ ออสตาโล่งใจทันทีที่ตัดสินใจไม่โกหก
เรื่องที่เขาคิดจะกุขึ้นมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด หากเผชิญหน้ากับผู้วิเศษตัวจริง ย่อมถูกจี้จนเผยไต๋ได้ง่าย และหากลงเอยเช่นนั้น คืนนี้เขาคงต้อง ‘หลับไป’ ในมุมหนึ่งของโลกใต้ดินกรุงทรีอาร์
ออสตาหายใจลึกๆ สองครั้ง แล้วจึงพูด
“เมื่อหลายเดือนก่อน ผมยืมเงินสามพันเฟลคินจากพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูง เพื่อนำไปซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ เมื่อรวมกับเงินอีกสี่พันเฟลคินที่ผมออมไว้ ในที่สุดก็ได้เปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นผู้วิเศษ”
“เป็นผู้วิเศษลำดับไหน? ทำไมถึงจัดการพวกอันธพาลไม่ได้?” ลูเมี่ยนถามด้วยท่าทีสงสัย
ออสตาทำหน้าดูสิ้นหวัง
“ลำดับ 9 ‘ผู้วิงวอนความลับ’ ครับ…”
“ก็ฟังดูดีนี่” ลูเมี่ยนพิจารณาจากชื่อโอสถเพียงอย่างเดียว
ออสตากล่าวด้วยความเศร้าเจือผิดหวัง
“ผมก็เคยคิดว่าผู้วิงวอนความลับน่าจะแข็งแกร่ง คนขายยังบอกด้วยว่า มันจะช่วยให้เห็นความจริงของโลก…”
“ผลลัพธ์ก็คือ นอกจากสัมผัสวิญญาณที่แหลมคมขึ้น ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับอาคมพิธีกรรมที่ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่นั้น การมองเห็นสิ่งลี้ลับเป็นครั้งคราวยังทำให้ผมหวาดผวาจนอึแทบราด… อ่อนแอจนแม้แต่พวกนักเลงก็สู้ไม่ไหว!”
“อาคมพิธีกรรมน่าจะมีประโยชน์อยู่นะ” ลูเมี่ยนกล่าวจากมุมของผู้มีประสบการณ์
ออสตาทำหน้าเหมือนกำลังจะหลั่งน้ำตา
“ผมเคยศึกษาศาสตร์เร้นลับมาบ้าง อีกทั้งยังเป็นผู้ศรัทธาองค์สุริยันเจิดจรัส แล้วจะให้สวดขอพรจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จักได้ยังไง? แบบนั้นมันอันตรายมากเลยนะ!”
“อา… ความรู้ที่ได้จากโอสถอาจมีพระนามอันสูงส่งปะปนอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นพระนามขององค์ซ่อนเร้น ฟังดูน่ากลัวมาก ไม่ว่าจะ ‘ธาตุแท้อันเสื่อมทราม’ หรือ ‘บริวารแห่งความจริง’ หรือ ‘การจ้องมองแห่งชะตากรรม’ ใครจะไปกล้าสวดวิงวอนถึง!”
อีกฝ่ายแอบเหล่มองลูเมี่ยน พลางปั้นหน้าเจ็บปวดเสียเต็มประดา
“แต่ผมคิดไว้แล้วล่ะ ถ้าบารอนบรินิแยร์กับลิ่วล้อมาขู่เข็ญผมอีก ผมจะสวดวิงวอนของพรจากองค์ซ่อนเร้นเหล่านั้น เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง!”
เขาเอ่ยถึงบารอนบรินิแยร์ก็จริง แต่เนื้อแท้แล้วกำลังเตือนลูเมี่ยนมิให้บีบคั้นตนจนเกินไป
ลูเมี่ยนมองใบหน้าที่ฉาบด้วยความวิตกกังวลของอีกฝ่าย ไม่นานก็ผงกศีรษะเห็นด้วย
“ก็เป็นทางเลือกที่ดีอยู่นะ…”
“พวกบารอนบรินิแยร์น่ะ ดูแคลนผู้วิเศษเกินไปมาก ถ้าเป็นฉันล่ะก็ คงไม่ปล่อยให้นายจนตรอกแน่”
เล่าถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มยิ้มให้ออสตา
“เพราะจะชิงฆ่าไปก่อนหน้านั้นยังไงล่ะ”
ออสตาทำได้เพียงพะงาบปากขึ้นลง สีหน้าแววตาเศร้าสลดยิ่งกว่าการร้องไห้
ลูเมี่ยนเดินไปทางโต๊ะไม้ จับเล่นขวดใบเล็กที่บางใบก็เต็มบางใบก็ว่าง แล้วจึงเอ่ยปาก
“นายคงย้ายบ้านมาหลายครั้งแล้วสินะ แต่ก็ถูกบารอนบรินิแยร์ตามตัวเจอทุกครั้ง ฉันสงสัยว่าตัวเขาเอง หรือไม่ก็ในแก๊งซาฟาห์มีผู้วิเศษปะปนอยู่ด้วย”
ออสตาได้ยินแล้วก็ทำหน้าตกใจ
ลูเมี่ยนหยิบกริชเงินบนโต๊ะขึ้นมาควงเล่น พลางกล่าวกับคู่สนทนา
“ฉันจะให้ค่าตอบแทนนายหนึ่งร้อยเฟลคิน”
“ครับ?” ออสตาพลันฉงน
เขาพบว่าตนตามความคิดอีกฝ่ายไม่ทันเลยสักครั้ง
“ค…คุณยังอยากได้น้ำจากบ่อน้ำสตรีซามาเรียอยู่หรือ?” เขาลองถามหยั่งเชิง
ลูเมี่ยนแสยะยิ้ม
“พูดความจริงกับฉัน… บ่อน้ำนั่นมีอยู่จริงหรือไง?”
ได้เห็นภาษากายของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความร่าเริง ออสตาลังเลอยู่หลายวินาที ก่อนจะกล่าวเสียงสั่น
“ผมก็ไม่แน่ใจครับ”
“สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ พาฉันเข้าร่วมการชุมนุมที่นายเพิ่งเล่าให้ฟัง… การชุมนุมที่สามารถซื้อวัตถุดิบหลักโอสถได้น่ะ ค่าตอบแทนคือหนึ่งร้อยเฟลคิน”
ที่ลูเมี่ยนเสนอไปเช่นนี้ แง่หนึ่งเพราะคิดว่าภารกิจของมาดามเมจิกเชี่ยน อาจเกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่สามารถซื้อขายวัตถุดิบของผู้วิเศษ อีกแง่หนึ่งคือ ตัวเขาเองก็อยากมีชุมนุมลับเพื่อรวบรวมอาวุธ วัตถุดิบ สมบัติปิดผนึก และภูมิปัญญาศาสตร์เร้นลับ
ออสตากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ผ…ผมจะลองดู แต่เรื่องนี้ต้องให้เจ้าภาพเป็นคนอนุมัติ”
“ไม่มีปัญหา” ลูเมี่ยนล้วงเหรียญทองออกมา ส่งภาษากายบอกให้ออสตาเข้ามาใกล้ “ลูอิดอร์เหรียญนี้คือค่าดำเนินการ ส่วนที่เหลืออีกแปดสิบเฟลคิน นายจะได้ก็ต่อเมื่อฉันสามารถเข้าร่วมงานชุมนุม”
ออสตาคาดไม่ถึงว่าชะตากรรมที่ตนต้อง ‘ถูกทุบตี’ จะกลายเป็นการไหว้วานภารกิจที่มีค่าตอบแทน จึงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพักใหญ่
ผ่านไปหลายวินาที เขาเดินมาเข้าใกล้โต๊ะไม้ด้วยความระแวง รับเหรียญลูอิดอร์ที่มีมูลค่ายี่สิบเฟลคินไป แล้วจึงกล่าวกับลูเมี่ยน
“ผมไม่แน่ใจว่าทางนั้นจะให้คำตอบเมื่อไร แต่ไม่เกินวันพุธหน้าแน่นอน”
“ตอนกลางวันผมจะอยู่ใกล้ๆ สุสานใต้ดิน ตกกลางคืนจะนอนที่นี่ คุณมาหาผมได้ทุกเมื่อ”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะยกกริชเงินที่ควงเล่นอยู่ในมือ เสียบลงบนหัวไหล่ออสตาในฉับเดียว
เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดทันที ออสตาผงะถอยหลังสองก้าวด้วยอารามตกใจ หลังพิงกำแพงพลางแหกปากโวยวาย
“อย่าฆ่าผม!”
“ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะครับ!”
ลูเมี่ยนหยิบขวดแก้วใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ เดินเข้าไปหาออสตาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกลัว ถ้าฉันคิดจะฆ่านายจริง ก็คงทำไปนานแล้ว”
“สิ่งนี้เรียกว่าการสาบานด้วยเลือด พอดีฉันไม่ชอบการถูกหลอกหรือถูกหักหลังน่ะ”
ลูเมี่ยนพูดไป ก็นำขวดแก้วเปล่าๆ ไปรองแผลของออสตา ปล่อยให้เลือดไหลเข้าไปทีละหยด
ระหว่างนี้ เด็กหนุ่มพูดกับอีกฝ่ายยิ้มๆ
“นายศึกษาศาสตร์เร้นลับมาพอสมควร คงทราบดีว่าการที่เลือดตัวเองตกอยู่ในมือคนอื่นหมายถึงอะไร… ดังนั้นอย่าเล่นตุกติกกับฉัน”
“คำสาป…” ออสตาชักเริ่มไม่แน่ใจว่า ตนควรดีใจที่ยังไม่ตาย หรือควรสิ้นหวังที่เลือดของตนตกอยู่ในมือชายที่อันตรายยิ่งกว่าบารอนบรินิแยร์
ลูเมี่ยนไม่บ้าน้ำลาย เพียงหมุนเกลียวฝาขวดจนแน่น หยิบผ้าชิ้นหนึ่งในห้องโยนให้ออสตา
“ทำแผลเองนะ”
เด็กหนุ่มไม่มีพลังวิเศษด้านคำสาป แต่สามารถทดลองได้ว่า เลือดที่หมดอายุสามารถกระตุ้นพลังวิเศษในปรอทเสื่อมทรามเพื่อ ‘แลกเปลี่ยนชะตากรรม’ ได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ท้ายที่สุดแล้ว แค่ทำให้ออสตาเชื่อว่าจะถูกสาปแช่งก็พอ
มองดูออสตาที่พยายามห้ามเลือด ลูเมี่ยนถามอย่างสนิทสนม
“แล้วเรื่องบารอนบรินิแยร์… นายคิดจะจัดการยังไง”
“ด้วยเหรียญทองลูอิดอร์นี้ รวมกับเงินที่ผมออมไว้ พวกเขาน่าจะเงียบไปได้สักหนึ่งสัปดาห์” ออสตาหัวเราะขื่นขม “ถ้าบีบให้ลูกหนี้ต้องตาย พวกเขาก็จะไม่ได้อะไรแม้แต่โกเปต์เดียว”
……………………………………………………..