ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 29 แต่งกลอนสักบทไม่ถึงกับตายเสียหน่อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ซางเฉาจงยิ้มกระอักกระอ่วนขึ้นมา
เมื่อเห็นซางซูชิงไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามานั่ง หนิวโหย่วเต้าจึงรีบกล่าวเชิญเช่นกันว่า “ท่านหญิงเชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงยิ้มเล็กน้อยพลางปฏิเสธ “ข้าใบหน้าอัปลักษณ์ กลัวว่าจะทำลายความอยากอาหารของฝ่าซือ ข้าคอยบรรเลงเพลงขับกล่อมให้ฝ่าซืออยู่ตรงนี้ดีกว่า” กล่าวจบก็เดินไปนั่งลงตรงข้างโต๊ะวางกู่ฉิน ปรับท่าทางและจัดวางกู่ฉิน
หนิวโหย่วเต้าเองก็ยอมรับว่าใบหน้าของสตรีผู้นี้นั้นค่อนข้างน่าหวาดกลัวจริงดั่งว่า ที่บอกว่าไม่สวยนั้นล้วนแต่เป็นการพูดให้ดูมีมารยาท ความจริงแล้วมันสามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยากอาหารได้จริงๆ หากนางมานั่งกินอาหารจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นนางก็จะต้องปลดหมวกออก นั่นมิเท่ากับเป็นการส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารหรอกหรือ
แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงที่สามารถยิ้มและยอมรับว่าตัวเองหน้าตาอัปลักษณ์ได้อย่างใจเย็นเช่นนี้ ภายในใจนางจะต้องมีความเข้มแข็งเป็นอย่างมากแน่นอน ใช้ชีวิตมาสองโลกก็แทบจะไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลย ซางซูชิงยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจ
ซางเฉาจงที่ได้ยินคำพูดนี้มีสีหน้าเศร้าสร้อยไปเล็กน้อย หากน้องสาวของตนพลาดโอกาสที่จะได้ลบปานอัปลักษณ์ไปแล้วจริงๆ เกรงว่านางคงต้องเสียเวลาไปทั้งชีวิตเป็นแน่
เมื่อเห็นซางเฉาจงเหม่อลอย หลานรั่วถิงจึงกระแอมเตือนขึ้นมาเล็กน้อย “อะแฮ่มๆ!”
ซางเฉาจงได้สติกลับมา ยกจอกสุรากล่าวเชิญ “ฝ่าซือ เดินทางมายากลำบาก ยังมิได้ดูแลให้ดี วันนี้ขอชดเชย เชิญดื่มหมดแก้ว!”
“คำพูดนี้ของท่านอ๋องทำให้แซ่หนิวรู้สึกละอาย แซ่หนิวขอดื่มให้ท่านอ๋อง!” หนิวโหย่วเต้ายกแก้วขึ้นมา เตรียมจะดื่มคารวะ
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ หยวนกังจะยื่นมือมากดไหล่ของเขาเอาไว้ กล่าวเตือนว่า “เต้าเหยี่ย!”
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก อย่าว่าแต่หนิวโหย่วเต้าเลย กระทั่งซางเฉาจงและหลานรั่วถิงก็ฟังออกว่านี่เป็นการเตือนให้หนิวโหย่วเต้าระวังสุราจะมีพิษ ทำเอาทั้งสองอดมองไปทางหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร
หนิวโหย่วเต้าไม่พูดอะไร หากแต่แหงนหน้ากรอกสุราเข้าปาก ก่อนจะหันจอกสุราที่ว่างเปล่าให้ทั้งสองคนดูเพื่อบอกว่าไม่มีอะไรปิดบัง
เมื่อเห็นเขาไม่ฟัง ฝ่ามือของหยวนกังก็ยกออกจากไหล่ของเขา แล้วก็มิได้กล่าวอะไรอีก เขาเพียงแค่เตือนในสิ่งที่เตือนได้ พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไรมาก เชื่อว่าเต้าเหยี่ยคงจะคิดได้ด้วยตัวเอง
สำหรับพฤติกรรมของหยวนกังที่ไม่เชื่อใจพวกเขา ทางนี้เองก็พอจะเข้าใจได้ เพราะไม่ถือว่าสนิทสนมกัน จู่ๆ เชิญมาดื่มสุราเช่นนี้ การที่จะรู้สึกสงสัยมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ทางซางเฉาจงรู้สึกประหลาดใจก็คือ เหตุใดหยวนกังผู้นี้ถึงดูคล้ายลูกน้องของหนิวโหย่วเต้า หรือไม่ก็คล้ายองครักษ์ที่คอยติดตามอยู่ข้างกาย มิคล้ายว่าเป็นพี่น้องจากหมู่บ้านเดียวกันเลย และเมื่อดูจากหน้าตาแล้ว หยวนกังผู้นี้ก็คล้ายจะโตกว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่หน่อยด้วย
และสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือระหว่างทางที่เดินทางมา หยวนกังขานเรียกหนิวโหย่วเต้าว่า ‘เต้าเหยี่ย’ อยู่ตลอด พี่น้องที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันจากหมู่บ้านเดียวกันจำเป็นต้องเรียกขานว่า ‘เหยี่ย[1]’ ด้วยหรือ? หนิวโหน่วเต้าอายุเท่านี้ ใช้คำว่า ‘เต้าเหยี่ย’ มาเรียกขานมันดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
เสียงพิณกู่ฉินที่ฟังดูผ่อนคลายดังติงตังๆ ขึ้นมา ปลายนิ้วของซางซูชิงเกี่ยวกระหวัดสายพิณ พยายามบรรเลงท่วงทำนองที่อ่อนโยนและผ่อนคลายออกมา ด้วยหวังจะกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ดูกระอักกระอ่วนนี้ให้หายไป
แสงจันทร์ที่ทอแสงลงมาจากด้านนอกศาลาอาบชโลมอยู่บนร่างของซางซูชิงที่กำลังนั่งบรรเลงพิณ ทำให้รอบๆ ตัวนางคล้ายถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงจันทร์ ท่วงท่าการบรรเลงที่ดูอ่อนช้อยและสง่างามทำให้หนิวโหย่วเต้าต้องเหลือบมองดูพลางลอบถอนใจ ชีวิตของสตรีนางนี้นับว่าถูกใบหน้านี้ทำลายลงไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องงดงามอะไรมากนัก ขอเพียงแค่มีใบหน้าปกติธรรมดาไม่น่าหวาดกลัว ด้วยความสามารถและเสน่ห์ของนางก็เพียงพอที่จะดึงดูดบุรุษได้ไม่น้อยแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก บางครั้งสวรรค์ก็ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
เมื่อมีเสียงกู่ฉินอันไพเราะช่วยขับกล่อม บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
หลานรั่วถิงคิดอยากฉกฉวยโอกาสขณะที่บรรยากาศกำลังดี ทำการหยั่งเชิงสอบถามความจริงจากอีกฝ่าย ยังคงเป็นเรื่องของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ประเดี๋ยวก็ถามเรื่องตงกัวเฮ่าหรานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ประเดี๋ยวก็ถามว่าสภาวะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทุกคำถามก็ล้วนแต่ถูกหนิวโหย่วเต้าตอบปัดแบบขอไปที บางเรื่องนั้นมิใช่ว่าหนิวโหย่วเต้าจงใจโกหก หากแต่ยังคงเป็นเพราะประโยคนั้น เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับตงกัวเฮ่าหรานก็เกี่ยวพันไปถึงคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้น จึงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคนนอกมากนัก ส่วนเรื่องสภาวะของเขา การที่สภาวะของเขาก้าวหน้าถึงระดับนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าปีนั้นถือว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก หากจะพูดก็ทำได้เพียงต้องโกหกไป ถ้าไม่อยากโกหกก็ทำได้เพียงตอบส่งๆ แบบขอไปที
เมื่อเห็นคนผู้นี้ยังคงพูดจาไม่น่าเชื่อถือ ซางเฉาจงจึงลอบขุ่นเคืองหนิวโหย่วเต้าอยู่ในใจอีกครั้ง!
ทว่าหลานรั่วถิงนั้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขามิได้ใส่ใจในคำพูดเหลวไหลของหนิวโหย่วเต้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายจงใจที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเหล่านั้น อีกทั้งเขาเองก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศเสีย จึงเปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายแทน “ได้ยินท่านหญิงบอกว่าฝ่าซือมากความสามารถ เพียงเอ่ยปากก็ออกมาเป็นบทกวี ไม่ทราบว่าฝ่าซือยินดีให้ข้าได้เปิดหูเปิดหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงโบกมือบอกปัดไปว่า “ท่านหญิงกล่าวชมเกินไปแล้ว เพียงแค่แต่งไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
หลานรั่วถิงหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “ฝ่าซือแต่งเรื่อยเปื่อยอีกครั้งจะเป็นไรไป?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงบอกปัด “บทกลอนบทกวีเป็นเพียงสิ่งที่ใช้หาความบันเทิง ไม่ควรค่าให้นำออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน เทียบไม่ได้กับการนำทัพออกศึกของท่านอ๋อง อย่าไปพูดถึงเลย!”
หลานรั่วถิงกล่าว “คำพูดนี้กล่าวผิดแล้ว บทกลอนบทกวีจะเป็นเพียงสิ่งที่ใช้หาความบันเทิงได้อย่างไร ดั่งคำกล่าวที่ว่าพละกำลังอันแข็งแกร่งสามารถหยุดความวุ่นวายในใต้หล้า สติปัญญาอันเฉลียวฉลาดสามารถทำให้อาณาจักรร่มเย็นประชาราษฎร์เป็นสุข หากจะพูดให้เห็นภาพล่ะก็ นั่นคือกลอนที่ดีบทหนึ่งสามารถปลุกขวัญและกำลังใจของทหารกล้าได้ หากจะพูดให้เห็นภาพยิ่งกว่านั้นล่ะก็ นั่นคือกลอนบทหนึ่งมีค่าพันทองคำในเมืองหลวง เพียงพอให้คนธรรมดาสามารถใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกังวลไปได้ทั้งชีวิต แล้วสิ่งที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้านเช่นนี้ มันจะไม่ควรค่าแก่การแสดงให้ทุกคนได้ดูได้อย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าตาเป็นประกาย ลองถามขึ้นมาว่า “พันทองคำ? มีค่าขนาดนั้นเลยหรือ?” ภายในใจเขาลอบกล่าวพึมพำขึ้นมา หากเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เช่นนั้นปัญหาเรื่องเงินทองของเขากับเจ้าลิงก็มีทางแก้ไขแล้ว คนที่เติบโตขึ้นมาจาก ‘โบราณคดี’ อย่างพวกเขา อย่างอื่นอาจจะไม่มี แต่ของในยุคสมัยโบราณกลับมีอยู่เยอะแยะมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว จากที่เคยลองใช้กับทางซ่งเหยี่ยนชิงมาแล้ว ดูแล้วน่าจะได้ผล
“แน่นอน!” หลานรั่วถิงกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะเชื้อเชิญอีกครั้งว่า “ท่านหญิงมาบรรเลงพิณขับกล่อมให้ฝ่าซือด้วยตัวพระองค์เอง อีกทั้งบรรยากาศที่นี่ยังงดงามถึงเพียงนี้ หวังว่าฝ่าซือคงจะไม่ทำให้พวกข้าต้องผิดหวัง!”
“บทกลอนบทกวีนั้นข้าไม่เป็นจริงๆ” หนิวโหย่วเต้ายังคงคิดปกปิด แต่อีกฝ่ายยกเหตุผลมามากมายขนาดนี้แล้ว เขาจึงได้แต่ต้องฝืนตอบรับไป เพื่อจะได้ไม่ยืดเยื้อวุ่นวาย เพราะว่าเขากินข้าวของอีกฝ่าย อีกทั้งภายหน้ายังมีเรื่องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ ดังนั้นจึงชี้ไปทางหยวนกังที่อยู่ด้านหลัง กล่าวว่า “แต่ว่าน้องชายของข้าผู้นี้นับว่าเป็นอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวให้เขาร่ายกลอนแทนข้าก็แล้วกัน!”
หยวนกังที่ลอบสังเกตดูเหตุการณ์รอบด้านเพื่อเฝ้าระวังตกตะลึงไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขามองหนิวโหย่วเต้าอย่างงุนงง นึกว่าตัวเองฟังผิดไป จะให้ผมแต่งกลอนเนี่ยนะ? เต้าเหยี่ย คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่ซางเฉาจงพอได้ฟังกลับนึกรู้สึกสนใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกสนใจในตัวหยวนกังมากกว่าหนิวโหย่วเต้า ดวงตาเปล่งประกาย หรือว่าอีกฝ่ายจะเก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊? จึงยกจอกสุรากล่าวเชิญทันที “เป็นเกียรติที่ได้รับฟัง!”
หยวนกังตอกกลับไปคำหนึ่ง “ไม่เป็น!”
“…..” ซางเฉาจงกระอักกระอ่วนอีกครั้ง จอกสุราในมือจะวางก็ไม่ได้ จะถือไว้ก็ไม่ได้
บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารีบเหลียวหน้ามาตำหนิ “นี่เจ้าลิง นายนี่มันน่าเบื่อจริงๆ ก็แค่แต่งๆ ออกมาบทหนึ่งก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอ!”
หยวนกังถลึงตาใส่เขา อยากจะด่าโคตรเหง้าของเขา จะให้ผมแต่งกลอนบ้าอะไรล่ะ ผมแต่งไม่เป็น แล้วจะให้ผมแต่งยังไง มันนึกจะแต่งก็แต่งได้เหรอ?
“เร็วหน่อย! แต่งๆ ออกมาบทนึง เร็วๆ!” หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ากลับไปเร่งเขา ขณะเดียวกันก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้เขา
ทั้งสองคนถือว่ารู้ใจกัน ปกติเพียงแค่ขยิบตาก็เข้าใจถึงความคิดของอีกฝ่ายได้แล้ว หยวนกังมองดูการขยิบตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งของเขา เข้าใจความหมายในทันที มีหรือที่เต้าเหยี่ยจะไม่รู้ว่าตัวเองแต่งกลอนไม่เป็น ที่พยายามบีบบังคับกันเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วมิใช่ต้องการให้ตนเองแต่งกลอนออกมา หากแต่ต้องการให้ตัวเองลอกกลอนมาบทหนึ่ง
ภายในใจหยวนกังลอบด่าอีกฝ่ายว่ารอเดี๋ยวเถอะ ก่อนจะหันมองซ้ายมองขวา สายตาไปหยุดอยู่ที่แม่น้ำด้านนอก ก่อนจะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขายักคิ้วมองหนิวโหย่วเต้า สายตาแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง
หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของเขา เนื่องเพราะรู้จักเขาเป็นอย่างดี รู้ว่าเจ้าลิงนั้นมิใช่คนที่จะมารังแกกันง่ายๆ เช่นกัน เขาคือคนที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ภายในใจรู้สึกคล้ายเจ้าลิงกำลังเตรียมจะทำอะไรที่เลวร้ายบางอย่าง จึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่บีบบังคับเขาเช่นนี้ ก่อนจะเหลียวหน้ากลับไปจิบสุราด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
หยวนกังพลันเอ่ยออกมาว่า “ธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพา เสมือนดั่งเหล่าผู้กล้าลาจากหาย…”
เพียงแค่ประโยคนี้ หนิวโหย่วเต้าถึงกับส่งเสียง ‘อื้อ…’ ออกมา เกือบจะสำลักสุรา คิดไม่ถึงว่าเจ้าลิงจะท่องกลอนบทนี้ขึ้นมา
“เฝ้าถกเถียงชอบชั่วมิวางวาย สุดท้ายล้วนว่างเปล่าไม่จีรัง มีเพียงขุนเขาคีรียังคงอยู่ สุริยงคอยเปล่งแสงมิแปรผัน คงโดดเดี่ยวอยู่ริมน้ำทุกคืนวัน เฝ้ามองดูกาลผันเปลี่ยนจนชาชิน ได้พบเจอเพื่อนยากยากพานพบ มือยกจอกร่ำสุราใจสุขสันต์ ทุกเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน ล้วนฝังตรึงอยู่ในใจของผู้คน” หยวนกังที่ท่องออกมาอย่างไร้ชีวิตชีวาปิดปากลง บทกลอนที่ดีเมื่อออกมาจากปากของเขากลับฟังดูไร้ซึ่งสัมผัสและความงดงาม
แต่ถึงแม้นจะเป็นเช่นนี้ มันก็ยังทำให้ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงรู้สึกตกตะลึง กลอนบทนี้ช่างเข้ากับทิวทัศน์เป็นยิ่งนัก เพียงแค่ได้ฟังก็ทำให้ทั้งสองคนเกิดความรู้สึกนับร้อยขึ้นมาในใจ!
เสียงกู่ฉินเองก็หยุดลงไปแล้วเช่นกัน เมื่อกลอนถูกท่องออกมาได้ครึ่งหนึ่ง ซางซูชิงที่กำลังบรรเลงกู่ฉินก็เงี่ยหูตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว อดไม่ได้ที่จะหยุดบรรเลงเพลง ในเวลานี้นางหันหน้ามองไปทางหยวนกังที่มีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาที่อยู่ภายใต้หมวกผ้าแพรดูเหม่อลอย สายตาที่จ้องมองดูหยวนกังกวาดมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ!
“กลอนดี! คำนับหนึ่งจอก!” ซางเฉาจงร้องชมเสียงดัง ทั้งยังลุกขึ้นยืนพลางยกจอกสุราด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
หลานรั่วถิงลุกขึ้นพลางยกจอกสุราเช่นกัน ส่ายศีรษะพลางอุทานว่า “คิดไม่ถึงว่าน้องหยวนจะมีความสามารถเช่นนี้แอบซ่อนเอาไว้อยู่!”
“ฮ่าๆ! กลอนดี กลอนดี!” หนิวโหย่วเต้าเองก็ยกจอกสุราลุกตามขึ้นมา ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หยวนกังกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ข้าไหนเลยจะแต่งกลอนอันใดได้ นี่เป็นกลอนที่ในอดีตเต้าเหยี่ยแต่งขึ้นมา ข้าเพียงแต่เอามาท่องให้ฟังเท่านั้น”
ซางเฉาจง หลานรั่วถิง ซางซูชิงต่างมองไปที่หนิวโหย่วเต้าอย่างตกตะลึง
“อย่าพูดเหลวไหลน่ะ เจ้าเป็นคนแต่งก็บอกเจ้าเป็นคนแต่งสิ แค่แต่งกลอนสักบทมันจะตายหรือไง” หนิวโหย่วเต้าหันไปทำไม้ทำมือบอกให้หยวนกังหยุดพูด ทั้งยังถลึงตาใส่เขาด้วย ที่แท้เจ้านี่ก็เตรียมจะแก้แค้นเขาแบบนี้นี่เอง จากนั้นเขาก็หันไปพูดยิ้มๆ กับทั้งสามคนอีกว่า “เป็นกลอนดีจริงๆ คารวะหนึ่งจอก ดื่มๆๆ!” ก้มหน้าก้มตาดื่มสุราต่อ
แต่ใครจะไปรู้ว่าหยวนกังจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาอีก “เต้าเหยี่ยไม่เพียงแต่จะแต่งกลอนบทนี้ขึ้นมา แต่เต้าเหยี่ยยังแต่งทำนองให้มันด้วย เวลาบรรเลงขับร้องขึ้นมาไพเราะอย่างยิ่ง! ข้าเป็นคนทึมทื่อ ไม่รู้จักวิธีพูดคุยกับคนอื่น ข้าไม่เคยพูดโกหก!”
“พรืด…” หนิวโหย่วเต้ากลั้นเอาไว้ไม่ทัน สำลักสุราออกมา ลูบหน้าอกพลางไอออกมาไม่หยุด เกือบสำลักจนหายใจไม่ออก เขานึกว่าการแก้แค้นของเจ้าลิงจะจบแล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเก็บการแก้แค้นที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นไว้เบื้องหลัง จึงนึกเสียใจเป็นอย่างมาก!
ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองดูสุราที่เขาพ่นออกมาจนสาดกระจายเต็มโต๊ะอย่างตกตะลึง ท่าทางดูงุนงงเล็กน้อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำลายของคนผู้นี้ เกรงว่าสุราและอาหารคงจะกินต่อไปไม่ได้แล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ทั้งสามคนค่อนข้างเชื่อในคำพูดของหยวนกังมากกว่า ส่วนคำพูดของหนิวโหย่วเต้านั้น พวกเขารู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
หลานรั่วถิงเช็ดหยดสุราที่สาดกระจายอยู่บนใบหน้า ลองถามอีกว่า “บรรเลงขับร้อง? ฝ่าซือยังเล่นเครื่องดนตรีเป็นด้วยหรือ?”
หยวนกังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบเหมือนดั่งคมมีดต่อไปว่า “มิใช่แค่เป็น แต่เครื่องดนตรีโบราณไม่มีอะไรที่เขาเล่นไม่เป็น สิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือสีเอ้อหู!”
“แค่กๆ…” หนิวโหย่วเต้าที่ไอไม่หยุดยังคงตั้งตัวไม่ทัน โบกมือไปทางเจ้าลิงไม่หยุดเพื่อบอกให้เขาหุบปาก
“สีเอ้อหูคือสิ่งใด?” ซางซูชิงกล่าวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘เอ้อหู’ นางนึกว่า ‘สีเอ้อหู’ คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่า ‘สี’ คือคำกริยา
นี่เรียกได้ว่าเป็นการแทงซ้ำ หนิวโหย่วเต้าไอ ‘แค่กๆๆ’ ไม่หยุด เกือบจะหายใจไม่ทัน รีบสงบสติอารมณ์แล้วโคจรลมปราณระงับเอาไว้
……………………………………………………………….
[1] เหยี่ย (爷) เป็นคำเรียกเพื่อให้เกียรติเจ้านายหรือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า