ฉันถูกเขาทรมานจนเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกพึงพอใจอย่างที่ห่างหายไปนานมาก เขาโอบฉันจากด้านหลัง คางวางอยู่ระหว่างหลังคอ มือใหญ่ของเขายังคงลูบคลำตามตัวของฉันเบาๆ ทำให้ฉันตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“ลั่วอีอี คุณรู้ไหมว่าผมตามหาคุณ ตามหาคุณมานานแค่ไหน……” น้ำเสียงแสนทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหูฉัน
“คุณจากไปโดยไม่บอกกล่าว แล้วยังเปลี่ยนเบอร์มือถืออีก คุณคิดจะเลิกกับผมไปแบบนี้หรือครับ?” น้ำเสียงของเขามีกลิ่นอายแห่งความโกรธแค้นออกมาหลายส่วน การเคลื่อนไหวก็ยิ่งเพิ่มความดิบเถื่อนรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ฉันกำผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อรับการเรียกร้องจากเฉิงอี้เฉิน อยากจะอธิบายให้เขารับรู้ว่าฉันไม่ได้อยากจากไปไหน แต่ทุกคำพูดของฉันติดอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจพูดออกไปได้
ภาพสวีเฟยเฟยจับแขนของเขายังลอยวนเวียนอยู่ในสมองทำให้ฉันรู้สึกขมฝาด จากกันมานานขนาดนี้ ซ่งเสวี่ยเหมยน่าจะจัดการขั้นตอนการหย่าร้างแต่เนิ่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็มีอารมณ์ขัดแย้งขึ้นมาหลายส่วน อยากจะดิ้นให้หลุดเพื่อหลบซ่อนตัว เฉิงอี้เฉินสังเกตเห็นว่าฉันจงใจจะดันออกหลายครั้งจากทางด้านหลังเขา จึงเอาตัวกอดฉันแน่นๆ ไม่ยอมให้ฉันสะบัดหลุดไปได้
“เฉิงอี้เฉิน คุณปล่อยฉันนะคะ!”
“ฝันไปเถอะ” เขาเอ่ยปากอย่างเย็นชา เพิ่มการเคลื่อนไหวให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดฉันก็หมดแรงผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา ฉันตื่นขึ้นในวันต่อมา เฉิงอี้เฉินก็บอกให้ฉันกลับเมืองไห่ไปกับเขา
ฉันอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็กัดริมฝีปากตอบออกไปว่า “กลับไปทำอะไรคะ? ประธานเฉิง ลูกก็ไม่มีแล้ว เราต่างก็ควรที่จะกลับไปในสถานะของตัวเองดีกว่านะคะ”
คำพูดของซ่งเสวี่ยเหมยราวกับดังอยู่ที่ข้างหู ฉันก็ควรที่จะตระหนักถึงช่องว่างระหว่างตัวฉันกับเฉิงอี้เฉินได้แล้ว
เฉิงอี้เฉินจ้องมองฉัน แววตาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ราวกับต้องการมองฉันให้ออก เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วกอดฉันแน่น
น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าได้รับบาดเจ็บอยู่หลายส่วน “ผมรู้ว่าคุณแม่ของผมทำไม่ถูกต้อง แต่อีอี คุณจากไปแบบนี้ คุณคิดบ้างหรือไม่ว่าผมจะรู้สึกอย่างไร?”
ใจฉันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ก็ยังลดสายตาตอบกลับไปว่า “เดิมทีเราก็มีความสัมพันธ์ตามข้อตกลงอยู่ มาตอนนี้ลูกไม่มีแล้ว คุณเองก็ไม่จำเป็นจะต้องมาผูกติดอะไรกับฉันแล้วนะคะ”
“ลั่วอีอี” เฉิงอี้เฉินขมวดคิ้ว
“อี้เฉินคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ฉันยอมรับคะว่าสำหรับคุณฉันแทบจะไม่มีภูมิคุ้มกันด้วยเลย แต่ฉันเข้าใจในช่องว่างระหว่างพวกเราดี ฉันหย่ามาครั้งหนึ่งแล้ว เข้าใจเป็นอย่างดีว่าความเหมาะสมทางสถานภาพมีความสำคัญมากขนาดไหนค่ะ”
“คุณไม่ใช่คนที่ฉันควรจะเพ้อฝันได้ ฉันรับไม่ไหวหรอกค่ะ”
“อย่าเอาผมไปเปรียบกับขยะสังคมคนนั้น” น้ำเสียงเขาบอกความไม่พอใจหลายส่วน
“ถึงความเหมาะสมทางสถานภาพจะสำคัญ แต่หากรักใครสักคนจริง ก็ไม่ควรมาสนใจอะไรมากมาย คุณคิดว่าผมจะเลี้ยงดูคุณไม่ได้หรือครับ? หรือคิดว่ากลุ่มบริษัทสกุลเฉิงจำเป็นจะต้องพึ่งการช่วยเหลือจากฝ่ายหญิงถึงจะเจริญเติบโตได้หรือ?”
เขาพยุงฉันให้ยืนตรง “อีอี ผมขอโทษแทนคุณแม่ของผมด้วยครับ ผมได้ดูกล้องวงจรปิดในวันนั้นแล้ว คุณแม่ผมพูดจาไม่ดีเลยจริงๆ แต่ผมเคยบอกคุณแล้วว่า คนที่คุณแต่งงานด้วยคือผม ไม่ใช่เขา คุณไม่ควรฟังคำพูดของเขาแล้วจากไป คุณวางผมเอาไว้ตรงไหนกันแน่ครับ?”
“แล้วคุณกับสวีเฟยเฟยมันหมายความว่าอย่างไรหรือคะ?” พอได้ฟังว่าเขาดูกล้องวงจรปิดแล้ว ฉันจึงถามออกไปโดยไม่ทันคิด
เฉิงอี้เฉินผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อยๆ ยกริมฝีปากให้โค้งขึ้น ความรู้สึกที่แสดงออกมาชวนกระตุ้นความสนใจเป็นพิเศษ ฉันเองก็อึ้งไปเหมือนกัน แล้วฉันก็เอาแก้มร้อนฉ่าหลบสายตาที่มองมาของเขา แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียเหลือเกิน
อยู่ดีๆ เขาก็เอานิ้วมือมาบีบแก้มฉันเอาไว้ “คุณหึงหรือครับ?”
ฉันปัดมือเขาออกอย่างไม่คิดจะยอมรับ รอยยิ้มบนใบหน้าเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “สวีเฟยเฟยเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบ และยังเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของบริษัทแฟชั่นในกลุ่มบริษัทสกุลเฉิงอีกด้วยครับ รูปที่คุณแม่ผมเอาให้คุณดูนั้นถูกถ่ายตอนที่ผมกับเขาไปร่วมงานแถลงข่าวด้วยกันครับ”
“แต่คุณดูสนิทสนมกับเธอมากอย่างนั้น……” ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะใส่
“ผมผิดเองครับ คราวหลังผมจะสนิทสนมอย่างนั้นกับคุณเท่านั้น” เฉิงอี้เฉินสวมกอดฉันแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นไม่สนใจเขา แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น ความสุขแทบจะเอ่อล้นออกมามากกว่าปกติ
“กลับกับผมนะครับอีอี เรากลับไปเตรียมงานแต่งกัน”
ร่างกายฉันแข็งทื่อขึ้นมา ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเฉิงอี้เฉิน แววตาของเขาดูจริงใจมากอย่างนั้น
“แต่งงาน……” ฉันพูดพึมพำ นี่เป็นเรื่องที่ฉันไม่กล้าคิดเลย
ฉันกับเฉิงอี้เฉินแตกต่างกันมากขนาดนี้ ฉันจะไปแต่งงานกับเขาได้อย่างไร? อีกอย่างซ่งเสวี่ยเหมยจะยอมรับหรือ?
“กริ๊ง……กริ๊ง……”
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของฉัน เป็นเฉินตงหลีโทรมา ฉันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็รับสายเขา
“ฮัลโหล……”
“คุณหมอลั่ว เท้าของคุณดีขึ้นหรือยังครับ?” น้ำเสียงของเฉินตงหลีสดใสและน่าฟัง
“อืม ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ……”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ พอดีผมอยู่แถวบ้านคุณ ให้ผมส่งคุณไปทำงานมั้ยครับ? เท้าคุณยังบาดเจ็บอยู่ คงเดินไม่ค่อยสะดวก ผมพอจะแวะไปส่งคุณได้นะครับ”
ฉันอึ้งไปสักพัก ขณะที่กำลังจะตอบปฏิเสธ ก็มีมือขนาดใหญ่มาดึงโทรศัพท์ฉันไป จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง
“คุณทำอะไรคะ?” ฉันขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เฉิงอี้เฉินทำหน้าบูดใส่ “คนที่โทรมาเป็นใครกันครับ?”
“เป็นคนไข้เก่าของฉันคนหนึ่งนะค่ะ”
“เป็นผู้ชาย” เสียงของเฉิงอี้เฉินทุ้มมาก หัวคิ้วขมวดขึ้นเป็นปมเลย
ฉันอึ้งไปซักพัก จู่ๆ ก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมา นี่เฉิงอี้เฉินกำลังหึงอยู่ใช่มั้ย?
“เป็นผู้ชายค่ะ ฉันเป็นคุณหมอนะคะ การตรวจไข้ไม่สามารถที่ไปจู้จี้เรื่องเพศได้นี่คะ”
“คุณกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก?”
“ไม่เลยค่ะ เป็นเพราะสมัยที่เขามาแอดมิทไม่มีคนดูแล ฉันเลยช่วยหิ้วข้าวมาให้เขาไม่กี่ครั้งเองค่ะ” ฉันตอบตามความเป็นจริง
“เขามีเบอร์ใหม่ของคุณนี่ครับ” เฉิงอี้เฉินเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนาวยะเยือก มองฉันด้วยสีหน้าราวกับกำลังร้องทุกข์ “เบอร์ใหม่ของคุณ ผมยังไม่มีเลย”
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกินปูนร้อนท้องขึ้นมาหน่อยๆ อย่างไรเสียที่ฉันเปลี่ยนมือถือก็เพราะต้องการหลบเฉิงอี้เฉิน ย่อมไม่ติดต่อเขาอยู่แล้ว
ฉันอธิบายไปว่า: “เมื่อคืนฉันบังเอิญเจอเขาตรงประตูทางเข้าชุมชนน่ะค่ะ ก็เพิ่งจะแลกเปลี่ยนการติดต่อกันเมื่อวานนี่เอง ทีนี้ฉันบาดเจ็บเท้าเคล็ดอยู่ เมื่อกี้เขาก็เลยโทรมาบอกว่าจะแวะส่งฉันไปทำงานค่ะ”
“ผู้หญิงของผม ไม่ต้องให้เขาไปส่งหรอก” เฉิงอี้เฉินเม้มริมฝีปากแล้วมองมาที่ฉัน
ฉันตื่นตกใจขึ้นมาทันควัน เพราะคำว่า “ผู้หญิงของผม” ทำให้ฉันแอบดีใจอย่างไม่อาจจะควบคุมได้ แต่ก็ยังยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ เตรียมจะโทรกลับเฉินตงหลี
“เดิมทีฉันก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งหรอกค่ะ แต่คุณก็ควรจะให้ฉันได้พูดบอกเขาซักคำนะคะ” อย่างไรเสียเฉินตงหลีก็อุตส่าห์หวังดี ก็ควรที่จะบอกเขาให้ชัดเจนดีกว่า
แต่เฉิงอี้เฉินไม่ให้โอกาสฉันได้โทรศัพท์เลย เขาเดินหน้ามาหนึ่งก้าว ก้มศีรษะแล้วเอามือยันกำแพงข้างหลังฉัน จากนั้นก็จูบฉันเพื่อไม่ให้ฉันได้เอ่ยปากอธิบายออกมา
ฉันถูกเขาจูบจนสับสนยุ่งเหยิง ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมกอดเขา จากนั้นเฉิงอี้เฉินก็อุ้มฉันลงไปชั้นล่าง โดยไม่ให้ฉันได้เก็บสัมภาระเลย
จนกระทั่งเฉิงอี้เฉินอุ้มฉันขึ้นรถ ฉันถึงหยิบโทรศัพท์ได้ แล้วก็พบว่าเข้าสู่โหมดปิดเครื่องไปเรียบร้อย
ทันใดนั้นฉันก็โมโหขึ้นมา แต่ก็ทำได้เพียงเปิดโทรศัพท์โทรหาเฉินตงหลีเพื่อบอกกับเขาว่าทางบ้านมีธุระด่วน ฉันจะต้องออกจากอำเภอเล่อไปสักพักหนึ่ง
เฉินตงหลีรีบถามกลับมาว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ฉันยังไม่ทันตอบมือขนาดใหญ่ของเฉิงอี้เฉินก็มาลูบคลำฉันอย่างคิดไม่ซื่อ ฉันตกใจรีบบอกลาแล้ววางสายทันที
เฉิงอี้เฉินมือไม้อยู่ไม่สุขตลอดทาง ยังดีที่เปิดแผ่นกั้นขึ้นมา ทำให้คนขับรถมองไม่เห็นสถานการณ์ด้านหลัง ฉันอายจนหน้าแดงไปหมด พยายามกัดฟันแน่นๆ ไม่กล้าส่งเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
แล้วฉันก็ถูกเฉิงอี้เฉินพากลับเมืองไห่อย่างงุนงงเช่นนี้ การย้อนกลับบ้านเกิดทำให้ฉันกระวนกระวายเป็นอย่างมาก กังวลว่าซ่งเสวี่ยเหมยจะมาหาฉันที่บ้านอีก แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเฉิงอี้เฉินจะพาฉันไปบ้านเก่าสกุลเฉิงเป็นที่แรก
MANGA DISCUSSION