รักของเรา เริ่มต้นจากคืนนั้น - ตอนที่ 102 มือทันทีที่เจอ
ฉันส่งแม่ พี่จาง และพี่หลิวกลับมาบ้าน จากนั้นฉันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปอีกครั้ง มองไปที่พวงมาลัยและถุงช้อปปิ้งที่ทิ้งไว้ในรถ ฉันแอบคิกว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเพิ่มคุณค่าให้ฉันมาก
ฉันตกลงกับฉินจวิ้นเฟยว่าจะเจอกันในร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาล ฉันขับรถไปที่นั่นแล้วหาที่จอดรถและเห็นรถของเขาทันที
หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้น ไม่คิดว่าฉินจวิ้นเฟยจะมาถึงก่อนเวลา ฉันรู้สึกว่าเขารอเจอฉันไม่ไหวถึงขั้นนี้เชียวหรอ
ฉันจอดรถจนนิ่งสนิทและหายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออกช้าๆ จากนั้นก็หยิบกระจกออกมาและตรวจดูเครื่องสำอางบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง
ปกติฉันไม่ค่อยแต่งหน้า จริงๆฉันไม่ค่อยชินกับสิ่งนี้เท่าไหร่ สภาพครอบครัวฉันก็ค่อยดีนัก แม่ฉันไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนและไม่มีใครสอนฉันเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่ในชีวิตฉันต่างก็เป็นคนเรียบง่าย เรื่องแต่งหน้านั้นเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับพวกเขา พูดถึงเรื่องนี้ฉันก็พึ่งเคยเห็นรูมเมทแต่งหน้าตอนเข้ามหาลัย
ตอนนั้นฉันทุ่มเทให้กับการเรียนและไม่มีเงินสำรองซื้อเครื่องสำอางดีๆเหล่านั้น แทนที่จะซื้อยี่ห้อถูกๆที่ไม่ดีนักมาทำร้ายผิว สู้ไม่แต่งหน้าเลยน่าจะดีกว่า
ฉินจวิ้นเฟยเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาชอบลุคที่ดูสะอาดสะอ้านของฉัน ดังนั้นแม้ว่าฉันจะมีเงินหลังจากฝึกงาน ฉันก็ไม่เคยคิดเรื่องที่จะแต่งหน้าเลย
แต่จนกระทั่งฉันแต่งงานกับเฉิงอี้เฉินและภายใต้การจัดการของเขาฉันก็ได้เข้าทำงานที่กลุ่มบริษัทสกุลเฉิง ทำให้ฉันรู้ว่าการแต่งหน้าไม่ใช่แค่เป็นทางเลือกของตัวเอง การแต่งหน้าที่ประณีตคือการให้เกียรติและให้ความเคารพต่อผู้อื่นอีกด้วย
ฉันหยิบลิปสติกทาลงบนริมฝีปากของฉัน ทันทีที่ฉันทาลิปสติกสีแดงสีผิวฉันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
กระเป๋าเครื่องสำอางของฉันเป็นชุดที่สมบูรณ์แบบ ฉันแตะเครื่องสำอางลงบนหน้าเบาๆก่อนจะลงจากรถ
ฉันเข้าไปในร้านกาแฟ เวลานี้ในร้านกาแฟมีคนน้อยมาก ดังนั้นฉันจึงมองเห็นฉินจวิ้นเฟยนั่งอยู่ข้างหน้าต่างทันทีที่เข้ามา ในขณะนี้เขากำลังมองออกไปนอกหน้าต่างและมองนาฬิกาเป็นครั้งคราวราวกับว่ากำลังรอให้ฉันปรากฏตัวอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตว่าฉันเข้ามาในร้านแล้ว
ฉันคิดว่าฉินจวิ้นเฟยคงกำลังจ้องมองว่ามีใครลงจากรถบัสหรือแท็กซี่หรือยัง เขาคงไม่คิดว่าฉันจะขับรถมาที่นี้เอง
ฉันเม้มริมฝีปากแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของฉินจวิ้นเฟย
“คุณมาเร็วจัง” ฉันพูด
เมื่อฉินจวิ้นเฟยได้ยินเสียงฉันเขาก็หันหน้ามาด้วยความตะลึง ทันใดนั้นฉันเห็นแววตาที่ดูน่าอัศจรรย์หรือความประหลาดใจในดวงตาของเขา?
เขามองมาที่ฉันด้วยความช็อคและหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็เรียกชื่อฉันอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“ อีอี … ”
“ใช่” ฉันพยักหน้าพร้อมกับนั่งลงและพูดตรงๆว่า “คุณหาฉันมีเรื่องอะไรหรอ?”
ฉันหยิบเมนูอาหารด้านข้างและมองหาเครื่องดื่มที่ฉันต้องการ ในเวลาเดียวกันฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของฉินจวิ้นเฟยยังคงมองมาที่ฉันอยู่
ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรง รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นและความประหลาดใจของฉินจวิ้นเฟย แต่ฉันก็ยังแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น และเอื้อมมือเรียกพนักงาน
“ฉันขอน้ำเสาวรสมะนาวสักแก้ว ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดกับพนักงานเสิร์ฟและในที่สุดก็หันไปที่ฉินจวิ้นเฟย
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง เมื่อเขาถูกฉันจ้องเขาก็ดูเขินอายเล็กน้อย จริงๆแล้วเขาก็หลบสายตาฉันชั่วคราว แต่หลังจากนั้นอีกสองวินาทีเขาก็เม้มริมฝีปากและมองมาที่ฉันแล้วพูดว่า “อีอีวันนี้คุณสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดด้วยรอยยิ้มจางๆและดูเป็นทางการ
ฉันจงใจที่จะให้ฉินจวิ้นเฟยรู้สึกแบบนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องของจิ้นเหวินเชี่ยนที่ฉันต้องถามเกี่ยวกับความผิดของเขา
“คุณเปลี่ยนไปมาก วันนี้คุณ … ” เขาหยุดชั่วคราว “แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก”
ฉันยิ้มและเลิกคิ้วมองเขา“ ก่อนหน้านี้ฉันเป็นยังไงหรอ?”
แม้ว่าฉันจะถามเขา แต่ฉันก็ไม่อยากได้คำตอบจากเขา ดังนั้นฉันพูดต่อโดยไม่รอเขาตอบ: “คนเรามักจะเปลี่ยนไปเสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์ต่างๆ ถ้าฉันไม่เปลี่ยนฉันกับแม่จะอยู่ต่อยังไง?”
เสียงของฉันเบาลง แม้ว่าฉันจะเตือนตัวเองในใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนว่าต้องไม่แสดงท่าทีขุ่นเคืองต่อหน้าฉินจวิ้นเฟย แต่ฉันก็ยังไม่สามารถควบคุมความรู้สึกภายในที่เกลียดชังฉินจวิ้นเฟยและจิ้นเหวินเชี่ยนได้
ถ้าตอนนั้นฉินจวิ้นเฟยและจิ้นเหวินเชี่ยนไม่ไปเอะอะโวยวายที่โรงพยาบาล สุขภาพของแม่ฉันก็จะไม่แย่แบบนี้ ฉันสามารถไม่เกลียดฉินจวิ้นเฟยที่ทรยศฉันหรือหย่ากับฉัน แต่การมาทำร้ายแม่คือขีดจำกัดของฉัน และฉันจะไม่มีวันให้อภัยพวกเขาตลอดชีวิต
พนักงานนำน้ำเสาวรสมะนาวที่ฉันสั่งมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็วและฉันใช้หลอดคนน้ำแข็งและเนื้อผลไม้ในแก้วแล้วจิบเล็กน้อย น้ำผลไม้สดชื่นมีรสเปรี้ยวและรสหวานเข้ากันอย่างลงตัว มันทำให้ความโกรธของฉันสงบลงเล็กน้อยด้วยการจิบน้ำผลไม้เพียงครั้งเดียว
“เมื่อกี้ผมกะว่าจะไปเยี่ยมแม่ของคุณ แต่หมอบอกว่าแม่คุณออกจากโรงพยาบาลเมื่อคืน คุณย้ายท่านไปโรงพยาบาลอื่นแล้วหรือ?” ฉินจวิ้นเฟยกล่าว
ฉันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉันไม่คิดว่าฉินจวิ้นเฟยจะไปเยี่ยมแม่ฉันเร็วขนาดนี้ โชคดีที่เมื่อคืนฉันทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ไม่งั้นถ้าปล่อยให้ฉินจวิ้นเฟยเจอแม่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรที่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก
“คุณหาแม่ฉันทำไม?” ฉันมองเขาอย่างเย็นชา สายตาของฉันเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “สิ่งที่ฉันบอกคุณเมื่อคืนฉันหวังว่าคุณจะสามารถจัดการกับมันได้ ฉันไม่อยากให้แม่ของฉันได้รับอันตรายใดๆและใครก็ตามที่ทำร้ายแม่ฉันจะไม่ให้อภัย”
“ อืม อีอี ไม่ต้องห่วง, ฉัน … ”
“ลั่วอีอี! เธอจริงๆด้วย!” ทันใดนั้นเสียงอุทานก็ดังขึ้น ฉันหันหน้าไปทันที จากนั้นก็เห็นแค่ผู้หญิงตัวผอม ๆ วิ่งมาหาฉันด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นคนที่เข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆฉันก็ตะลึงไปชั่วขณะ ปรากฏว่าเป็นจิ้นเหวินเชี่ยน เธอมาอำเภอเล่อแล้ว
ฉันอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เธอ เขาไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนฉินจวิ้นเฟย ในเวลานี้จิ้นเหวินเชี่ยนดูขายดีมาก โหนกแก้มของเธอสูงตระหง่านและกระดูกไหปลาร้าของเธอชัดเจนมาก ก่อนหน้านี้เธอให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างของเธอตลอด ดังนั้นเธอจึงไม่อ้วน แต่ในเวลานี้ฉันคิดว่าเธอเหมือนโครงกระดูกที่เดินได้
แต่เป็นเพียงเวลาครึ่งปีกว่าเท่านั้น คิดถึงตอนที่ฉันกำลังจะจากไปจิ้นเหวินเชี่ยนยังคงอุ้มท้องที่กำลังโต ตอนนั้นเขาจับแขนของฉินจวิ้นเฟยมาหาฉันด้วยท่าทางที่มีความสุขและภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้พึ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งปี แต่เธอกลับดูห่อเหี่ยวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอยากลำบากมาก
“เธอมันเลว! เธอล่อลวงสามีฉัน!” ไม่กี่ก้าวจิ้นเหวินเชี่ยนก็วิ่งมาถึงด้านข้างฉัน เขาดึงผมฉันและตะโกนใส่ฉัน
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ฉันควบคุมไม่ได้ หนังศีรษะฉันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นฉันก็ดึงความคิดตัวเองกลับมา
ฉันไม่ได้คาดคิดว่าจิ้นเหวินเชี่ยนจะหยาบคายขนาดนี้ เขาลงมือทันทีที่เจอฉัน ฉันขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดและเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอ ในขณะที่มืออีกข้างของฉันก็หยิบน้ำเสาวรสมะนาวบนโต๊ะมาสาดลงบนใบหน้าของจิ้นเหวินเชี่ยนโดยไม่ลังเล