ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 329 ต่อรอง
บทที่ 329
ต่อรอง
เย่เย่นั้นไม่ได้พูดอะไรเลยในการประชุมนี้ แต่ก็ตั้งใจฟังพวกเขาแสดงความคิดเห็น อย่างไรเสียก็เป็นเพราะว่าเย่เย่นั้นยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ของเมืองโม่ไห่และเขตริมชายฝั่งทะเลมากนัก และหากหุนหันพลันแล่นออกความเห็นไปก็อาจจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้ก็ได้ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีตำแหน่งเป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่ แต่เย่เย่ก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของเมืองโม่ไห่ และเลือกที่จะมองดูการเปลี่ยนแปลงและรับฟังความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง
หลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆนั้นเดิมทีต่างก็ชิงชังกับการมาทีหลังของเย่เย่ แต่หลังจากที่เห็นท่าทางถ่อมตัวของเย่เย่แล้ว ก็ได้ทำให้ความชื่นชอบของพวกเขาที่มีต่อเย่เย่นั้นเพิ่มขึ้นมากทันที
ดังนั้นถึงแม้สถานการณ์ของเมืองโม่ไห่นั้นจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องของปัญหาภายในในช่วงเวลานี้ และกำลังใจของพวกเขานั้นก็ได้สูงมากขึ้นกว่าก่อนที่เย่เย่จะเข้ามาร่วมด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วซ่างกวานจ้งก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาและรู้สึกได้ว่าภาระบนไหล่ของเขานั้นได้ลดลงไป และเนื่องจากไม่สามารถคิดหาหนทางที่ดีกว่านี้แล้ว จึงได้ตัดสินใจที่จะก่อตั้งพันธมิตรกับเมืองโบราณอื่นๆตามแผนการที่เจิ้งฉากเซิงเสนอเพื่อร่วมมือกันจัดการกับภัยที่มาจากสำนักแก้วหลากสีและขุมกำลังอื่นๆ
อีกทางด้านหนึ่ง ที่วังสมบัติในหุบเขาหลิ่วชวานนั้นก็ได้กลายมาเป็นที่สนใจของขุมกำลังใหญ่ๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลหลังจากที่มีประกาศออกไปเรื่องของการประมูลซากศพมังกรสองหัวในอีก 3 วันให้หลัง
เพราะว่ามังกรสองหัวนั้นอุดมไปด้วยของล้ำค่าและยังสามารถใช้สกัดทำเป็นยาหรือใช้ทำเป็นอาวุธวิเศษได้ด้วย ทำให้เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆพากันกระตือรือร้นอยากได้ศพมังกรสองหัวเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน
เหยียนเสียอวิ๋นประมุขของวังสมบัติในหุบเขาหลิ่วชวานนั้นก็ได้วางแผนที่จะกระจายชื่อเสียงของวังสมบัติไปยังทั่วทุกเมืองโบราณในย่านริมชายฝั่งทะเล เพื่อที่จะได้มีการค้าขายเข้ามาในวังสมบัติมากขึ้นและเพิ่มความสนิทสนมกับขุมกำลังใหญ่ๆในย่านริมชายฝั่งทะเลด้วย
หลังจากที่มีการเปิดโปงเรื่องที่ถูหลานกับพรรคพวกนั้นได้ลอบสังหารเหยียนลี่หยางในครั้งก่อน เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการชำระล้างวังสมบัติในหุบเขาหลิ่วชวานเสียใหม่ ซึ่งเขาก็ได้ทำการจับตัวถูหลานและจ้าวเหล่าซานกลับมาที่วังสมบัติและประหารพวกเขาต่อหน้าผู้คน เพื่อเป็นการเตือนเหล่าสมาชิกของวังสมบัติและยังอาศัยโอกาสนี้แสดงให้โลกภายนอกได้เห็นว่าวังสมบัตินั้นมีการบังคับใช้กฎที่เข้มงวดมาก
อย่างที่คาดเอาไว้การเคลื่อนไหวนี้ของเหยียนเสียอวิ๋นนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในหุบเขาหลิ่วชวาน เหล่าเมืองโบราณในย่านริมชายฝั่งทะเลเองก็ได้เพิ่มความเชื่อมั่นที่มีต่อวังสมบัติมากขึ้น ซึ่งได้ทำให้การประมูลซากมังกรสองหัวนั้นในครั้งนี้เป็นที่ดึงดูดใจอย่างมากแม้แต่เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆจากละแวกอื่นๆในดินแดนเทียนหนานก็ยังต้องให้ความสนใจ
เหยียนเสียอวิ๋นก็รู้สึกโล่งอกที่เห็นวังสมบัตินั้นคึกคักมากขนาดนี้ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจออกมาเมื่อเขานึกถึงการหายตัวไปของเหยียนลี่หยางในวันนั้น
ทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานนั้นตระกูลที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือตระกูลเหยียนนั่นเอง แต่ทว่ามีคนจำนวนไม่มากนักที่จะรู้จักชื่อของเหยียนลี่หยาง เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลเหยียนนั้นมีธุรกิจอยู่มากมาย รวมถึงวังสมบัติและมีชื่อเสียงที่ดี และทั้งตระกูลเหยียนนั้นก็ยึดมั่นในความเป็นกลางและอาศัยอยู่ร่วมกับกองกำลังใหญ่ๆในดินแดนเทียนหนานอย่างสันติ
ต่อให้สำนักต่างไฟนั้นคิดที่จะรวมดินแดนเทียนหยานให้เป็นหนึ่ง ก็จะส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของตระกูลเหยียนแค่นิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นจึงมีเพียงตระกูลเหยียนเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเฉยต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน
ส่วนเหยียนลี่หยางนั้นเดิมทีเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในตระกูลเหยียนที่ไม่เคยมีมานับร้อยปี ตัวเขานั้นถูกฝึกอย่างลับๆโดยตระกูลเหยียนเป็นเวลานานกว่า 10 ปีและไม่เคยเป็นที่รู้จักต่อโลกภายนอกเลย แต่ทว่าก่อนที่เหยียนลี่หยางนั้นจะได้สยายปีกและกลายเป็นที่ตกตะลึงของทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานนั้น เหยียนลี่หยางก็ได้หายตัวไปจากตระกูลเหยียนเพียงลำพังด้วยเหตุผลบางอย่างและไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลย
และที่น่าตกใจสำหรับเหยียนเสียอวิ๋นคือเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนนั้นกลับเลือกที่จะปิดเงียบเรื่องนี้ในขณะเดียวกัน และกำชับให้เหล่าลูกหลานในตระกูลเหยียนทุกคนห้ามออกไปตามหาเหยียนลี่หยาง
ในฐานะที่เป็นสมาชิกรุ่นใหญ่ที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนของเหยียนลี่หยางนั้น เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้เริ่มสงสัยขึ้นมาถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเหยียนลี่หยางถึงได้หายตัวไปนานหลายปี ซึ่งในตอนที่ได้พบกันในตอนนั้นตัวเขาก็อยากที่จะถาม เหยียนลี่หยางในเรื่องนั้น แต่ทว่าเพราะตัวเขาเองก็กลัวการสั่งห้ามของผู้อาวุโสตระกูลเหยียน อีกทั้งถูหลานกับพรรคพวกนั้นก็เป็นเป้าหมายหลักที่ตัวเขาต้องตามจับก่อน เหยียนเสียอวิ๋นจึงต้องยอมละทิ้งความคิดที่จะตามจับตัวเหยียนลี่หยางและพาตัวเขากลับบ้านสกุลเหยียนไป
ในเวลานี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้รู้สึกเสียดายขึ้นมา
หลังจากที่คลาดกันในครั้งก่อน ตัวเขาก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรที่เขาจะมีโอกาสได้พบกับเหยียนลี่หยางอีก มันจึงกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นไปอีกที่จะค้นหาว่าทำไมเหยียนลี่หยางถึงได้ออกจากตระกูลเหยียนไปในเวลานั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ เหยียนเสียอวิ๋นนั้นรู้สึกยินดีนั่นคือความจริงที่ว่าเหยียนลี่หยางนั้นยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถมองเห็นได้จากความจริงที่ เหยียนลี่หยางนั้นมาที่วังสมบัติเพื่อมาขายซากมังกรสองหัวนั้นก็แสดงว่าเหยียนลี่หยางนั้นยังคงมีความรู้สึกดีๆให้กับตระกูล เหยียนอยู่ และความแข็งแกร่งของเขานั้นก็ได้แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนที่เขาออกไปจากตระกูลเหยียนเสียอีก ถ้าหากว่าตระกูลเหยียนเกิดมีภัยเหยียนลี่หยางก็คงจะไม่นั่งดูดายอยู่เฉยๆแน่ ด้วยเหตุนี้เหยียนลี่หยางนั้นก็ยังถือว่าเป็นไพ่ตายของตระกูลเหยียนอยู่และยากที่คนอื่นจะรู้ได้มากกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ในขณะที่กำลังเตรียมการประมูลซากมังกรสองหัวอยู่นั้น เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้แจ้งเรื่องที่ตัวเขาพบกับเหยียนลี่หยางโดยบังเอิญไปยังบ้านสกุลเหยียน ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่รู้แน่ชัดถึงท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลเหยียนที่มีต่อเรื่องนี้ แต่เหยียนเสียอวิ๋นนั้นก็เชื่อว่าข่าวเรื่องการกลับมาของเหยียนลี่หยางนั้นจะต้องทำให้เหล่าสมาชิกรุ่นใหญ่ของตระกูลเหยียนนั้นรู้สึกสบายใจมากขึ้นยามที่เกิดปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้ทุ่มแรงทั้งหมดที่เขามีไปกับการประมูลในอีก 3 วันให้หลัง หลังจากที่เขาได้ทำการชำระล้างไปก็ได้ทำให้การทำงานของวังสมบัติดีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และการเตรียมการประมูลนั้นก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น
แต่ทว่าการมาถึงของเกาซุ่นกับพรรคพวกนั้นก็ได้เข้ามาทำให้การเตรียมการของเหยียนเสียอวิ๋นต้องชะงัก ทำให้ตระกูล เหยียนที่เดิมทีวางตัวเป็นกลางนั้นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความโกลาหลของดินแดนเทียนหนานจนได้
“ท่านประมุขวังเหยียนเสียอวิ๋น ตัวข้านั้นมาที่ย่านริมชายฝั่งก็เพื่อมาตามหาแก่นภายในของมังกรสองหัวโดยเฉพาะ! ถ้าหากวังสมบัติของท่านยินดีที่จะขายแก่นภายในของมังกรสองหัวให้กับข้าแล้ว สำนักแก้วหลากสีของเราก็จะสำนึกในน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน ข้าหวังว่าท่านประมุขเหยียนจะไม่พลาดโอกาสนี้!”
หลังจากที่เกาซุ่นได้พายอดฝีมือของแก้วหลากสีและสิงเทียนหมิงมายังวังสมบัติ ตัวเขาก็ได้ขอเหยียนเสียอวิ๋นซื้อแก่นภายในของมังกรสองหัวทันที
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะรู้อยู่นานแล้วว่าซากของมังกรสองหัวที่นำมาประมูลนั้นไม่มีแก่นภายในอยู่ด้วยก็ตามที แต่เกาซุ่นนั้น กลับไม่เชื่อว่าจะไม่มีแก่นภายในของมังกรสองหัวอยู่ในวังสมบัติ อย่างไรเสียตระกูลเหยียนนั้นก็มีผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเทพอยู่มากมาย จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะร่วมมือกันสังหารมังกรสองหัวที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเทพลง ดังนั้น เกาซุ่นจึงได้ปักใจเชื่อว่าแก่นภายในนั้นจะต้องยังอยู่ในครอบครองของวังสมบัติหรือไม่ก็ตระกูลเหยียนเป็นแน่
เพื่อที่จะให้ได้แก่นภายในมาแล้วเกาซุ่นก็ตั้งใจที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา ในคราวนี้เกาซุ่นนั้นไม่ได้เพียงแต่จะพายอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักแก้วหลากสีมา แต่ยังได้พาสิงเทียนหมิงให้เข้ามาช่วยสนับสนุนเขาต่อ รวมถึงตั๋วทองจำนวนมหาศาลเพื่อขอซื้อต่อแก่นภายในของมังกรสองหัว
แต่ทว่าการตอบสนองของเหยียนเสียอวิ๋นนั้นยังคงเหมือนเดิม ทำให้เกาซุ่นและพรรคพวกนั้นเริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณชายเกา ไม่มีแก่นภายในของมังกรสองหัวอยู่ในวังสมบัติของพวกเราหรอก และมังกรสองหัวตัวนี้ก็ไม่ใช่ตระกูล เหยียนของเราเป็นคนฆ่าด้วย แต่เป็นของที่วังสมบัติของเราซื้อต่อมาจากผู้อื่น ซึ่งนอกจากซากของมังกรสองหัวนี้แล้ววังสมบัติของเราก็ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับแก่นภายในทั้งนั้น!”
เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้ระแวดระวังขึ้นมาในใจหลังจากที่รู้ถึงตัวจนของเกาซุ่น แต่ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้เก็บเอาคำขู่ของเกาซุ่นกับพรรคพวกมาใส่ใจ อย่างไรเสียตระกูลเหยียนนั้นก็เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน ต่อให้ความแข็งแกร่งนั้นจะไม่เทียบเท่ากับสำนักแก้วหลากสี แต่ก็ไม่ได้ห่างอะไรมากมายเหมือนอย่างสำนักแก้วหลากสีและเมืองโม่ไห่
ถ้าหากว่ามีแก่นภายในของมังกรสองหัวอยู่ในวังสมบัติแล้ว ตระกูลเหยียนก็คงตั้งใจจะขายแก่นภายในให้และ เหยียนเสียอวิ๋นก็คงจะตกลงเรื่องราคากับเกาซุ่นไปแล้ว แต่ในเมื่อไม่มีของเช่นนั้นอยู่ในวังสมบัติ เหยียนเสียอวิ๋นจึงได้ไม่กลัวต่อคำขู่ของเกาซุ่นและตอบกลับไปอย่างใจเย็น
ท่าทีของนั้นหนักแน่นมากและดวงตาของเขาก็มั่นคงมาก ไม่ว่าเกาซุ่นนั้นจะกดดันเขากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิม จนในที่สุดเกาซุ่นกับพรรคพวกก็ได้ค่อยๆคลายความสงสัยและท่าทีของพวกเขาก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนจากหมดความอดทนกลายเป็นเชื่อในสิ่งที่เหยียนเสียอวิ๋นกล่าวว่าเป็นจริง
เพียงแต่เกาซุ่นนั้นก็ไม่ยอมที่จะให้การมาในครั้งนี้ต้องเสียเปล่าอีกแน่ หลังจากที่เขากรอกสายตาไปมาก็ได้พลันกล่าวกับเหยียนเสียอวิ๋น “ในเมื่อท่านประมุขวังเหยียนกล่าวเช่นนี้ มันก็คงเป็นการไม่สุภาพนักที่จะกดดันท่านต่อไป แต่ทว่าต่อให้ไม่มีแก่นภายใน ร่างของมังกรสองหัวนั้นก็ยังเป็นของล้ำค่ามากอยู่ดี และข้าก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องจัดการประมูลในวังสมบัติของท่านหรอก เอาเป็นว่าข้ายินดีที่จะจ่ายให้เป็นเงิน 8 ล้านตั๋วทองเพื่อขอซื้อต่อล่ะจะว่ายังไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดที่อวดดีของเกาซุ่นแล้ว เหยียนเสียอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะเลือดขึ้นหน้าอยากที่จะต่อยหน้าเกาซุ่นมาก
เพราะราคาที่พวกเขาได้ซื้อซากของมังกรสองหัวต่อมาจากเหยียนลี่หยางนั้นเป็นราคาสูงถึง 10 ล้านตั๋วทอง ซึ่งน่าจะขายได้อย่างน้อยๆก็สัก 15 ล้านตั๋วทองในการประมูลใน 3 วันหลังจากนี้ ในเวลานี้เกาซุ่นกลับคิดที่จะซื้อต่อซากมังกรสองหัวในราคาเพียง 8 ล้านตั๋วทอง ซึ่งได้ทำให้เหยียนเสียอวิ๋นนั้นรู้สึกได้ว่าเกาซุ่นนั้นช่างขาดสามัญสำนึกและไม่ได้เห็นหัววังสมบัติของเขาเลย
หลังจากที่เกาซุ่นเสนอราคามา เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้ปฏิเสธเกาซุ่นซึ่งๆหน้าอย่างไม่สุภาพนัก “คุณชายเกาคงจะล้อกันเล่นใช่ไหม! ทางวังสมบัติของเรานั้นได้ทำการส่งจดหมายเชิญไปยังกองกำลังใหญ่ๆให้มาวังสมบัติไปแล้ว ในเวลานี้ถ้าหากเกิดยกเลิกขึ้นมาก็จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของวังสมบัติของเราได้ และราคาที่คุณชายเกาเสนอมานั้นมันก็มากเกินไปหน่อยนะ ซากของมังกรสองหัวที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเทพนั้นเรียกได้ว่าอุดมไปด้วยสิ่งล้ำค่ามากมาย จะให้ข้าปล่อยขายในราคา 8 ล้านตั๋วทองได้อย่างไร?”
ถึงแม้ว่าเหยียนเสียอวิ๋นนั้นจะยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา แต่สิงเทียนหมิงกับคนอื่นๆต่างก็รู้สึกได้ถึงความเหินห่างในน้ำเสียงของเหยียนเสียอวิ๋นได้อย่างชัดเจนหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอของเกาซุ่น ถ้าหากไม่เห็นแก่เกาซุ่นที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีแล้ว ก็เกรงว่าพวกเขาคงจะถูกเหยียนเสียอวิ๋นไล่ตะเพิดออกไปแล้ว
แต่ทว่าตัวเกาซุ่นเองนั้นกลับยังไม่รู้เรื่องอะไร
ดูเหมือนว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในเมืองโม่ไห่นั้นจะทำให้หน้าของเกาซุ่นนั้นหนาขึ้นมา หลังจากที่ถูก เหยียนเสียอวิ๋นปฏิเสธซึ่งๆหน้าแล้ว เขาก็ได้ยื่นนิ้วชี้ออกมาให้ เหยียนเสียอวิ๋นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ข้าจะเพิ่มให้อีก 1 ล้านรวมเป็น 9 ล้านตั๋วทอง! ข้าหวังว่าท่านประมุขวังเหยียนจะยอมเสียสละและขายซากมังกรสองหัวให้กับข้า! ถ้าหากท่านประมุขวังเหยียนยอมตกลงข้าเกาซุ่นจะเป็นหนี้บุญคุณท่านมาก และความสัมพันธ์ระหว่างสำนักแก้วหลากสีกับตระกูลเหยียนของท่านก็จะแน่นแฟ้นมากขึ้นด้วย ว่ายังไงล่ะ?”
“คุณชายเกาอย่างที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่ วังสมบัติของเราจะต้องจัดการประมูลนี้ตามกำหนดการอย่างแน่นอน! ถ้าหากคุณชายเกาอยากที่จะได้ซากมังกรสองหัวก็ขอเชิญมาเข้าร่วมในการประมูลในวันนั้นเถิด พวกเราวังสมบัติจะยินดีต้อนรับท่านอย่างแน่นอน!”
เหยียนเสียอวิ๋นก็ยังคงยิ้มและกล่าวปฏิเสธข้อเสนอของเกาซุ่นไปอีกหน คิ้วของเขานั้นก็ได้ขมวดขึ้นมานิดหน่อยราวกับว่าตัวเขานั้นเริ่มที่จะหมดความอดทนกับเกาซุ่นและอยากที่จะส่งเขากลับออกไปในทันทีทันใด
ถึงแม้ว่าตระกูลเหยียนนั้นจะเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน แต่สำนักแก้วหลากสีนั้นก็ยังเป็นขุมกำลังที่ใหญ่เป็นอันดับสองต่อจากสำนักต่างไฟอยู่ดี ตระกูลเหยียนจึงย่อมไม่กล้าฉีกหน้าของสำนักแก้วหลากสีเว้นแต่จำเป็นต้องทำจริงๆ ดังนั้นถึงแม้ว่าเหยียนเสียอวิ๋นนั้นจะเริ่มหมดความอดทนกับเกาซุ่นและพรรคพวก แต่เขาก็ยังต้องอดทนและไม่ยอมปล่อยให้คนของเขาไล่คนเหล่านี้ออกไปง่ายๆ
แต่ทว่าการประมูลก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว และ เหยียนเสียอวิ๋นก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย ถ้าหากเกาซุ่นยังคงมันปั่นป่วนเช่นนี้ต่อ มันจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากกับวังสมบัติได้
ในเวลานี้ถ้าหากมีหนทางที่จะเป็นการไม่ล่วงเกิน เกาซุ่นและยังทำให้เกาซุ่นยอมออกไปจากวังสมบัติด้วยแล้วล่ะก็ เหยียนเสียอวิ๋นก็คงคิดที่จะใช้วิธีนั้นโดยไม่ลังเลเลย ไม่ว่าจะต้องเสียสละอะไรก็ตามขอเพียงแค่ขับไล่เทพยาจกนี้ออกไปได้ เหยียนเสียอวิ๋นก็คิดว่าคงจะคุ้มค่ามากอยู่ดี
แม้เกาซุ่นจะมีใบหน้าเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแต่จริงๆแล้วตัวเขานั้นกำลังแอบสังเกตท่าทีของเหยียนเสียอวิ๋นอยู่ เมื่อเขาเห็นว่าเวลานั้นได้สุกงอมดีแล้วก็ได้ไม่รอช้าทันที และกล่าวข้อเสนอที่แท้จริงกับเหยียนเสียอวิ๋น “ข้าบอกอยากจะซื้อแก่นภายในของมังกรสองหัวแต่ท่านก็บอกว่าไม่ พอข้าบอกอยากจะซื้อซากของมังกรสองหัวแต่ท่านก็ยังบอกว่าไม่ นี่ท่านประมุข วังเหยียนตั้งใจที่จะทำให้ข้าต้องกลับไปมือเปล่าอย่างนั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าข้าจะเข้าใจถึงความลำบากใจของท่านประมุขวังเหยียนดี แต่อย่างน้อยท่านก็ควรจะชดเชยข้ามาบ้าง ยกตัวอย่างเช่นบอกข้ามาทีว่าใครกันที่เป็นคนขายซากมังกรสองหัวให้กับวังสมบัติของท่าน!”