ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 322 สมาคมบัวโลหิต
บทที่ 322
สมาคมบัวโลหิต
“ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์มันก็ต้องเหี้ยมโหดแบบนี้อยู่แล้ว เจ้ายังจะต้องการเหตุผลอะไรอีก? ไม่ใช่ว่าเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วหลังจากที่เข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่หรอกเหรอ?
ใบหน้าของหลินฉีก็ได้มืดหม่นลงเมื่อเธอได้ยินคำถามของเย่เย่ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยิ้มเยาะและตอบคำถามเย่เย่แล้วบุกเข้าไปหาเย่เย่ด้วยความเร็วเต็มที่
แม้ว่าตัวเขานั้นจะบาดเจ็บอยู่ แต่หลินฉีเองก็เป็นถึงยอดฝีมือราชันย์เทพ ในตอนที่เขาได้ระเบิดพลังและต่อยเย่เย่สุดแรงเกิดของเขา เหล่าผู้คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าราชันย์เทพที่อยู่ที่ลานกว้างนั้นต่างก็พากันรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าอึดอัดขึ้นมา
แต่ทว่าเย่เย่นั้นไม่ได้สนใจหลินฉีเลยแม้แต่น้อย ต่อให้หลินฉีอยู่ในสภาพพร้อมเต็มที่ก็ไม่อาจที่จะรับมือเย่เย่ได้นานนัก แล้วยิ่งในเวลานี้หลินฉีนั้นบาดเจ็บหนักอีกต่างหาก
ตูม!
เย่เย่ก็ได้ง้างหมัดของเขาและต่อยเข้าไปที่การโจมตีของหลินฉีอย่างไม่ยอมแพ้ และเกิดเสียงดังลั่นออกมาทันที
หลินฉีกระเด็นออกไปรวดเร็วกว่าตอนที่เขาบุกเข้ามาอีก และกระแทกเข้ากับพื้นของลานกว้างราวกับกระสอบทราย
“โอกาสน่ะเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นให้มา! ถ้านี่เป็นเหตุผลที่เจ้ารังเกียจข้า ข้าก็คงพูดได้แค่ว่าก่อนหน้านี้ข้าคงประเมินเจ้าสูงไป!”
เย่เย่ก็ได้ส่ายหัวให้หลินฉี และดูเหมือนจะมีแววตาที่ประชดประชันในดวงตาของเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ออกไปทางดูถูก ราวกับตัวเขากำลังยั่วโมโหหลินฉีมากขึ้นไปอีก เพราะ เย่เย่นั้นรู้สึกได้ว่าหลินฉีนั้นยังคงปิดบังเหตุผลที่แท้จริงอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นพวกยอมตายดีกว่าจะบอกความจริงเสียด้วย
แต่ทว่าหลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่พูดแล้ว หลินฉีก็ได้ยิ้มเยาะอีกหนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อและไม่พอใจ “เจ้าก็พูดได้นี่! อย่างข้าจะไปเอาโอกาสที่ไหนมาชนะในเมื่อทั้งความแข็งแกร่งและความสามารถของข้านั้นด้อยกว่าเจ้ามาก! มีแต่เพียงทำให้เจ้าหายไปเท่านั้น ตำแหน่งของข้าในเมืองโม่ไห่ถึงจะได้กลับคืนมา นี่แหละเหตุผลที่เจ้าต้องการล่ะ!”
หลังจากที่หลินฉีพูดเช่นนั้นเขาก็ได้พุ่งเข้าหาเย่เย่อีกหนอย่างไม่คิดชีวิต ง้างหมัดของเขาแล้วต่อยเข้าไปที่หัวของเย่เย่สุดแรงของเขา ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่สนใจในความเป็นความตายของเขาแล้ว
ตูม!
เย่เย่ได้เตะสวนกลับไป ซึ่งทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายและทำให้หลินฉีกระเด็นกระดอนอีกหน แต่ก็ไม่ได้ฆ่าเขาแต่อย่างใด ราวกับไม่ยอมให้หลินฉีนั้นตายไปพร้อมกับความลับ
แต่ทว่าในเวลานี้หลินฉีนั้นตั้งใจที่จะตายจึงได้โจมตีใส่ เย่เย่อย่างสุดแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับหวังที่จะตายด้วยน้ำมือของเย่เย่
ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆนั้นต่างก็ทนดูไม่ไหว แต่ในเมื่อซ่างกวานจ้งนั้นได้มอบเรื่องนี้ให้เย่เย่จัดการแล้ว ก็แน่นอนตัวเขานั้นไม่สามารถที่จะคืนคำได้ ซ่างกวานอวี่จึงได้หันหน้าหลบด้วยความเสียใจและไม่อยากที่จะเห็นหลินฉีโจมตีใส่เย่เย่ซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับรนหาที่ตายเช่นนี้
แล้วภาคความทรงจำของพวกเธอทั้งคู่ก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอทีละภาพ ทำให้ซ่างกวานอวี่นั้นทั้งโกรธและเสียใจต่อหลินฉี แล้วสุดท้ายก็ได้แปรเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นการถอนหายใจที่ไร้ซึ่งพลังออกมา
ตูม!
ในขณะที่เย่เย่ได้ซัดเข้าไปที่อกของหลินฉีอีกหนนั้น สีหน้าของเขาก็ได้ค่อยๆแสดงให้เห็นถึงความหมดความอดทน เสื้อบนตัวของหลินฉีก็ได้ขาดวิ่นจนเผยให้เห็นรอยสักดอกบัวโลหิตสีแดงบทผิวหนังที่หน้าอกของหลินฉี
เมื่อเห็นรอยสักดอกบัวโลหิตแล้ว ซ่างกวานจ้งก็เหมือนจะนึกอะไรออกได้และถามหลินฉีที่โดนซัดจนกระเด็นกระดอนอีกหน “หลินฉี! เจ้าเข้าร่วมกับสมาคมบัวโลหิตตั้งแต่เมื่อไร? หรือว่าเจ้า…..”
เมื่อได้ยินคำถามของซ่างกวานจ้งแล้ว ทุกคนต่างก็หันเหความสนใจไปยังรอยสักดอกบัวโลหิตบนหน้าอกของหลินฉี
หลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆก็เหมือนจะนึกถึงที่มาของรอยสักโลหิตขึ้นมาได้ แล้วพวกเขาก็ได้มีสีหน้าที่เคร่งขรึมมากกว่าเมื่อสักครู่ขึ้นมา และสายตาของพวกเขาก็ได้มองกลับไปกลับมาระหว่างเย่เย่กับหลินฉี
ดวงตาของเย่เย่ก็ได้ปรากฏซึ่งความสงสัยขึ้นมา จึงได้ถามซ่างกวานจ้ง “ข้าขอถามท่านเจ้าเมืองหน่อย สมาคมดอกบัวโลหิตนี่คืออะไรเหรอ?”
เพราะท่าทีของซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกที่ผิดปกติไป และตัวเย่เย่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อของสมาคมดอกบัวโลหิตมาก่อนนั้น ได้ทำให้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ลางสังหรณ์ของเขาได้บอกกับเขาว่าสมาคมดอกบัวแดงนี้มันจะต้องเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่หลินฉีจ้องจะเล่นงานเขาเป็นแน่
“สมาคมบัวโลหิตนั้นเป็นองค์กรที่ลึกลับสุดๆในดินแดนว่านหลิง ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์ แต่จุดประสงค์ของพวกเขานั้นก็คล้ายคลึงกันกับทัณฑ์สวรรค์นั่นคือไล่ฆ่าผู้มาจุติอย่างสุดความสามารถ”
หลังจากที่ได้ยินคำถามของเย่เย่แล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้ถอนหายใจออกมาและค่อยๆอธิบายเรื่องของสมาคมดอกบัวโลหิตให้เย่เย่ฟัง
“สมาชิกส่วนใหญ่ของสมาคมดอกบัวแดงนั้นคือเหล่าจอมยุทธ์ที่ทุกข์ทรมานจากถูกทำลายไปในช่วงยุครุ่งเรืองของผู้มาจุติ ทำให้ความเกลียดชังผู้มาจุติของพวกเขานั้นออกมาจากหัวใจเลยล่ะ ว่ากันว่าประมุขของสมาคมดอกบัวโลหิตนั้นได้สังหารผู้มาจุติด้วยตัวเองเป็นจำนวนที่น่าทึ่งมาก และมีผู้มาจุตินับไม่ถ้วนที่ต้องตายด้วยน้ำมือของสมาคมดอกบัวโลหิตด้วยวิธีการต่างๆทุกปี”
ในขณะที่อธิบายให้เย่เย่ฟังอยู่นั้น ซ่างกวานจ้งก็ได้เดินไปหาหลินฉีแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ลำบากใจ “หลินฉี เรื่องราวในอดีตที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นรึ? เห็นแก่ความเป็นศิษย์-อาจารย์กัน เจ้าพอจะเล่าได้ไหมว่าอะไรทำให้เจ้าเกลียดชังผู้มาจุติมากขนาดนั้น?”
ทันทีที่คำถามนี้หลุดออกมา ทุกคนในลานกว้างรวมถึง เย่เย่ก็ได้พากันจับจ้องไปที่หลินฉีด้วยความเคร่งขรึมและสงสัยในดวงตาของพวกเขา
ใบหน้าของหลินฉีนั้นซีดเผือดและมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก เขานั้นรู้ตัวดีว่าตัวเขานั้นกำลังจะตายแล้วจึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะหนีออกจากจวนเจ้าเมือง เพื่อที่จะรักษาความลับของสมาคมดอกบัวโลหิตแล้ว เขาก็ได้เลือกที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดแทนที่จะเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมตัวเขาถึงได้เล็งทำร้ายเย่เย่
แต่ในเวลานี้ในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นถูกเปิดเผยแล้ว และมีน้ำเสียงขอร้องในคำพูดของซ่างกวานจ้ง หลินฉีจึงได้ยอมที่จะพูดพร้อมรอยยิ้มที่ประชดประชัน “ใช่แล้ว ข้าเป็นสมาชิกของสมาคมดอกบัวแดง เดิมทีข้าเกิดมาในตระกูลใหญ่ในแผ่นดินว่านหลิง จนกระทั่งคนในตระกูลได้ถูกพรากเอาไปโดยผู้มาจุติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปอย่างกลับตาลปัตร ดูเหมือนผู้มาจุติจะคิดว่าตระกูลหลินฉีนั้นคงจะไม่มีค่าคู่ควรกับฐานะที่สูงส่งของเขา แล้วตระกูลหลินก็ได้ถูกทำลายจนสิ้นทันทีที่เขาลงมือ แล้วคนในตระกูลทั้ง 81 ชีวิตเหลือเพียงแค่ข้าคนเดียวที่รอดมาได้”
พอพูดถึงผู้มาจุติแล้วดวงตาของหลินฉีก็ได้เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไม่รู้จบ ราวกับว่าตัวเขาต้องการที่จะทำลายอีกฝ่ายให้กลายเป็นหมื่นชิ้น และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบต่ำ “พ่อแม่และญาติของข้า รวมถึงอาจารย์ที่สอนข้าฝึกวิชาและเหล่าผู้อาวุโสและคนในตระกูลอีกนับไม่ถ้วนต่างก็ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดโดยเจ้าสัตว์ร้ายนั่น! ตั้งแต่นั้นมาตัวข้าก็ได้สาบานว่าจะไล่ฆ่าผู้มาจุติให้หมดในตลอดชีวิตของข้า! พวกมันคือปีศาจร้ายที่ไม่สมควรจะเกิดมาในโลกนี้ และทุกคนในแผ่นดินว่านหลิงที่ช่วยพวกมันก็ควรจะถูกฆ่าด้วย! เป้าหมายสูงสุดของสมาคมดอกบัวโลหิตคือการทำให้ผู้มาจุติหายไปจากโลกนี้ และเพื่อที่จะทำให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ทำได้สำเร็จต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต!”
ในขณะที่หลินฉีพูดกำลังจะจบก็ได้มีแสงปรากฏในดวงตาของเขา แล้วน้ำเสียงของเขาก็ได้หนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจับจ้องไปที่เย่เย่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลและไม่มีความกลัวปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
พอคนอื่นๆในลานกว้างได้ยินที่หลินฉีพูดแล้ว พวกเขาต่างก็พากันเงียบกริบพร้อมกัน และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ
ถึงแม้ว่าหลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆนั้นจะเคยได้ยินเรื่องของสมาคมดอกบัวโลหิตมานานแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่าความต้องการที่จะฆ่าผู้มาจุติของสมาคมดอกบัวโลหิตนั้นจะแรงกล้าและหนักแน่นมากขนาดนี้ และพวกเขาก็ไม่คิดด้วยว่าจะมีสมาชิกของสมาคมดอกบัวโลหิตซ่อนเร้นอยู่ในหมู่พวกเขามาตลอดเช่นนี้
ในบรรดานั้นซ่างกวานอวี่ก็ได้น้ำตาไหลออกมามากมายและมองไปที่หลินฉีด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าหลินฉีนั้นได้ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ลงไปแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเมืองโม่ไห่ก็ดีหรือจะเย่เย่ก็ดี หลินฉีนั้นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำลงไป
“เฮ้อ!”
หลังจากที่ได้ยินที่หลินฉีสารภาพออกมา ซ่างกวานจ้งก็รู้สึกเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกหลายสิบปีในทันที และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาหันหลังกลับแล้วค่อยๆเดินทีละก้าว โดยไม่ได้ขอให้เย่เย่ปล่อยหลินฉีไป โดยเฉพาะในฐานะที่เขาเป็นเจ้าเมืองโม่ไห่ด้วยแล้ว ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะเข้าใจความยากลำบากของหลินฉีดี แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป้าหมายของเขาคือเย่เย่คนที่เมืองโม่ไห่พยายามที่จะเอาใจแล้วด้วย
เมื่อเห็นจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากดวงตาของหลินฉีโดยไม่ปิดบังแล้ว เย่เย่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็เคยแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาในตอนที่หลินฉีนั้นรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เพียงแต่หลินฉีในเวลานั้นยังไม่ได้คิดสังหารเย่เย่ทันทีและรีบเก็บซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานี้หลินฉีนั้นไร้ซึ่งความกลัวใดๆจึงได้ปล่อยรังสีมุ่งร้ายมายังเย่เย่อย่างชัดเจนสุดๆเช่นนี้
เย่เย่นั้นไม่ได้ฆ่าหลินฉีหรือปล่อยให้เขาไปแต่อย่างใด ราวกับเขากำลังรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับอดีตของหลินฉี
เย่เย่ค่อยๆเดินไปตรงหน้าหลินฉีแล้วกล่าวกับหลินฉีที่กำลังตัวสั่นเครือด้วยสีหน้านิ่งๆ “เจ้ามีจุดยืนของเจ้า แค่ข้าเองก็มีหลักการของข้า! ต่อให้เจ้าเกลียดชังผู้มาจุติด้วยเหตุผลส่วนตัวก็ตาม แต่ข้าก็ไม่เคยยุ่งอะไรกับเจ้าเลย ถ้าหากข้าถูกปรักปรำแล้วนิ่งเฉยอย่างไร้เหตุผลแล้ว ข้าก็คงจะตายไปสักร้อยหนแล้ว! แต่เพื่อเห็นแก่ความอุทิศตนของเจ้าที่มีต่อเมืองโม่ไห่แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้ารอด หากว่าเจ้าสามารถทำให้เท้าของข้าขยับออกจากจุดที่ยืนอยู่ได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปและไม่ผิดสัญญาด้วย!”
หลังจากที่เย่เย่พูดจบ ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆก็ได้มองมาที่เย่เย่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของซ่างกวานอวี่นั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึงขอบคุณ และคิดว่าเย่เย่นั้นคิดที่จะปล่อยหลินฉีไปอย่างอ้อมๆเช่นนี้
แม้แต่หลินฉีที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วนั้นก็ยังต้องประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหลอกลวงใดๆในดวงตาของเย่ๆ หากรวมกับพยานมากมายที่อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว ในใจของหลินฉีนั้นก็ได้ลุกขึ้นสู้เพื่อความอยู่รอดอีกครั้ง
ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครอยากที่จะตายหรอก และต่อให้หลินฉีรอดไปได้ในวันนี้ เขาก็ไม่รู้สึกขอบคุณเย่เย่หรอกและยังคิดที่จะฆ่าเขาหากว่ามีโอกาสในอนาคต แต่ในเมื่อเย่เย่นั้นเสนอที่จะให้โอกาสเขาเอง แน่นอนว่าหลินฉีนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
“ตายซะ!”
หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆก็ได้ตะโกนออกมาอย่างดุดัน หลินฉีก็ได้พุ่งเข้าหาเย่เย่ด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ถึงแม้ว่าในเวลานี้ตัวเขาอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย แต่ขับเคลื่อนด้วยตั้งใจที่จะรอดอย่างแรงกล้าแล้ว การโจมตีครั้งนี้ของหลินฉีได้มาถึงขีดสุดนับตั้งแต่ที่เขาได้บรรลุขึ้นชั้นราชันย์เทพ
ตูม!
พลังปราณในอากาศบริเวณลานกว้างนั้นก็ได้เกิดการปั่นป่วนขึ้นมา แล้วพลังปราณในอากาศก็ได้ถูกดึงและหลอมรวมอยู่ที่กำปั้นของหลินฉี ลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรงทำให้ ซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆนั้นไม่อาจยืนอยู่นิ่งได้ๆ และไม่อาจที่จะลืมตาขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ
แต่ไม่มีใครเลยที่จะถอยห่างออกไป พวกเขาต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนอยู่ที่เดิม เพื่อที่จะดูผลที่ออกมาของการต่อสู้นี้
ส่วนเย่เย่ก็ได้ยืนมองดูหลินฉีที่กำลังพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขา ใบหน้าของเขายังคงเยือกเย็นอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย ตัวเขายืนนิ่งอยู่กับโดยไม่หลบและตัวเขาเองก็ได้ต่อยหลินฉีสวนกลับไปด้วย
“ระเบิด!”
ในขณะที่เขาง้างหมัดนั้น เย่เย่ไม่เพียงแต่รีดเร้นพลังของวิญญาณมังกรในร่างกายออกมาใช้อย่างเต็มที่ แต่ยังคงระเบิดพลังปราณมังกรที่มือของเขาด้วย
ตูมๆๆ!
ทั้งสองหมัดปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังกังวานกว่าตอนที่ทั้งคู่ปะทะกันก่อนหน้านี้หลายเท่า มีแสงของพลังค่อยๆขยายออกมาห่อหุ้มตัวของเย่เย่และหลินฉีเอาไว้ แล้วก็ได้เกิดการระเบิดขึ้นมาทันใด ความร้อนที่บ้าคลั่งนี้ได้ทำให้คนที่มีวรยุทธ์ไม่ถึงนั้นต้องถอยห่างออกไป