ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 312 พลิกสถานการณ์
บทที่ 312
พลิกสถานการณ์
แม้ถ้าเกิดว่าเย่เย่นั้นจะเลือกเข้าขุมอำนาจใดขุมอำนาจหนึ่งแล้ว ก็คงจะเข้าร่วมเพื่อใช้ทรัพยากรพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาในช่วงสั้นๆเท่านั้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ร่วมไปตลอดได้ แล้วยิ่งไม่ต้องเรื่องที่พัฒนาการของเย่เย่นั้นเหนือกว่าที่คนเหล่านี้คาดเอาไว้นัก และหลังจากที่ตัวตนของเขาที่เป็นประมุขอารามวิถีสวรรค์ถูกเปิดเผยแล้ว ก็จะไม่มีขุมอำนาจไหนที่สามารถปกป้องเข้าได้อีกและจะถูกกวาดล้างโดยทัณฑ์สวรรค์
นอกจากนี้การที่สิงเทียนหมิงกับพรรคพวกนั้นได้แสดงพลังของตัวเองให้เห็นเมื่อสักครู่นั้น ซึ่งท่าทีข่มขู่เช่นนี้ทำให้เย่เย่นั้นรังเกียจเขาขึ้นไปอีก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่เย่นั้นจะให้ความสนใจสิงเทียนหมิงและพรรคพวก
หลังจากเขาตอบกลับคำชวนของสิงเทียนหมิงไป บรรยากาศในลานกว้างนั้นก็ได้พลันเปลี่ยนไปในทันที
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเจ้าเมืองโม่ไห่ก็ดีหรือยอดฝีมือของ หลงเจียงก็ดี เมื่อเห็นท่าทีที่เยือกเย็นของเย่เย่ในขณะที่พวกเขากำลังแข่งขันเพื่อชิงตัวเขากันแล้วนั้น ก็ได้พลันมีสีหน้าบอกไม่ถูกบนใบหน้าของพวกเขา แต่จากนั้นสีหน้าของซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆในเมืองโม่ไห่นั้นต่างก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมา ในขณะที่ดวงตาของเจ้าเมืองหลงเจียงกับพรรคพวกนั้นกลับค่อยๆหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าคำพูดของเย่เย่นั้นคือการปฏิเสธ อย่างไรเสียเงื่อนไขที่ทางเมืองหลงเจียงเสนอให้นั้นเรียกได้ว่าสุดๆแล้ว แต่เย่เย่นั้นกลับไม่ตอบตกลงในทันที และโอกาสที่จะยอมตกลงรับคำเชิญนั้นก็ยังน้อยมากด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้คนในเมือง หลงเจียงจึงได้เลิกที่จะเก็บซ่อนความคิดของพวกเขาและตัดสินใจใช้แผนสองในทันที
“หึหึ ท่านเย่เย่ช่างสมกับที่เป็นผู้มาจุติที่แข็งแกร่งเสียจริงๆ อย่างท่านคงจะไม่สนใจคำเชิญของขุมกำลังที่เล็กๆอย่างพวกเราสินะ! แต่ท่านคงจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผู้ที่อ่อนแอนั้นต้องยอมสยบต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่า! ก่อนที่ท่านจะได้ฟื้นคืนไปถึงจุดสูงสุดในชีวิตที่แล้วของท่าน ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการประมาทขุมกำลังเล็กๆในโลกใบนี้นั้นบางครั้งมันก็มากกว่าที่ท่านคิดเอาไว้นัก!”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเย่เย่แล้ว สีหน้าของ สิงเทียนหมิงนั้นก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งในขณะที่พูดอยู่ตัวเขาก็ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจออกมา ราวกับตัวเขานั้นต้องการเตือนให้เย่เย่นั้นได้รับรู้ถึงความเป็นจริง
แต่เย่เย่นั้นก็เหมือนกับจะไม่เข้าใจความหมายของเขาเลยแม้แต่น้อย ยังคงประสานมือคารวะให้สิงเทียนหมิงอย่างสุภาพแล้วกล่าว “ขอบคุณที่เตือนข้า ต่อจากนี้ไปข้าจะระวังตัว!”
การตอบกลับด้วยท่าทีที่เฉยเมยเช่นนี้ได้ทำให้ยอดฝีมือคนอื่นๆในเมืองหลงเจียงนั้นโกรธขึ้นมาทันที โดยเฉพาะสิงอู๋เจียง ในเวลานี้ตัวเขาไม่ได้เก็บซ่อนความไม่ยอมรับและความมุ่งร้ายที่มีต่อเย่เย่ของเขาแล้ว
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงได้มัวเสวนากับหมอนั่นขนาดนั้นด้วยครับ? รีบๆฆ่าเขาไปเลยดีกว่า! ในวันนี้จะมีใครที่จะมาสู้กับท่านได้? ยิ่งไปกว่านั้นยอดฝีมือระดับต้นๆของเมืองหลงเจียงก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ยังจะมีใครในเมืองโม่ไห่ที่จะมาต่อกรกับพวกเขาได้อีก? จะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย?”
ถึงแม้ว่าสิงอู๋เจียงนั้นจะมีวรยุทธ์ถึงแค่ระดับสูงสุดจอมเทพ แต่เพราะตัวเขาที่เป็นถึงนายน้อยเจ้าเมืองหลงเจียง ซึ่งเหล่ายอดฝีมือราชันย์เทพในเมืองก็ยังต้องเคารพเขา จึงได้ทำให้ สิงอู๋เจียงที่เป็นคนอวดดีอยู่แล้วก็ยิ่งดื้อรั้นมากขึ้นไปอีก
แล้วเมื่อสักครู่เขาได้ยินที่สิงเทียนหมิงนั้นจะให้เย่เย่เป็นเจ้าเมืองหลงเจียงอีก ทำให้สิงอู๋เจียงนั้นรู้สึกคิดผิดกับการตัดสินใจในตอนแรกของเขาและรู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นประเมินค่าของผู้มาจุติในใจของสิงเทียนหมิงต่ำเกินไป
แต่โชคยังดีที่เย่เย่นั้นไม่ได้ตอบตกลงข้อเสนอของ สิงเทียนหมิงทันทีและทำให้เขาเสียหน้าอีก สิงอู๋เจียงจึงไม่ยอมพลาดโอกาสอันหายากนี้กล่าวยุสิงเทียนหมิงให้ลงมือฆ่าเย่เย่ทันที จัดการทำลายศัตรูตัวฉกาจในอนาคตเสียตั้งแต่ตอนยังอ่อนแอ
“บังอาจ! ที่นี่คืออาณาเขตของเมืองโม่ไห่ของเรา ถ้าหากพวกเจ้าฆ่าท่านเย่เย่ พวกเราชาวเมืองโม่ไห่กับเมืองหลงเจียงของเจ้าก็คงจะต้องตายกันไปข้าง!”
ซ่างกวานอวี่ที่เห็นว่าผู้คนในเมืองหลงเจียงนั้นเหมือนต้องการที่จะฆ่าเย่เย่แล้ว เธอจึงได้รีบพายอดฝีมือของเมืองโม่ไห่มาหาเย่เย่แล้วล้อมเย่เย่เอาไว้
ซึ่งในเวลานี้เย่เย่นั้นก็ไม่ได้กลัวหรือปฏิเสธการปกป้องของคนในเมืองโม่ไห่แต่อย่างใด ซึ่งได้ทำให้สิงเทียนหมิงนั้นตัดสินใจได้
“ฮึ” แล้วเขาก็ได้พ่นลมออกทางจมูกแล้วค่อยๆเดินไปหาเย่เย่ทีละก้าว แล้วกล่าวกับซ่างกวานอวี่กับพรรคพวกอย่างดูถูก “ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าคู่ควรหรือไม่?”
ทันทีที่เขาพูดจบสิงเทียนหมิงก็ได้ตัดสินใจลงมืออย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าสังหารเย่เย่ทันที ซึ่งคนอื่นๆในเมืองหลงเจียงก็ได้รีบตามหลังสิงเทียนหมิงไปและคอยช่วยเหลือเขาในการจัดการกับพวกคนในเมืองโม่ไห่
ในภาวะคับขันนั้นเอง ก็ได้มีบุคคลที่คาดไม่ถึงจู่ๆก็โผล่ขวางตรงหน้าสิงเทียนหมิงและกล่าวกับเขาอย่างใจเย็น “สิงเทียนหมิง เมืองโม่ไห่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการนะ ถ้าหากเจ้าไม่อยากที่จะสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ข้าแนะนำให้เจ้าพาคนของเจ้ากลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เตรียมรับผลที่จะตามมาได้เลย!”
คนคนนั้นก็คือหลินฉีผู้ที่เย่เย่นั้นสงสัยว่าจะเป็นคนปล่อยตัวตนของเขารั่วไหลออกไปนั่นเอง!
ถึงแม้หลินฉีนั้นจะนิ่งเงียบมาตลอดจนถึงเมื่อสักครู่ และสายตาของเขาก็ได้มองไปยังด้านบนของเมืองโม่ไห่อยู่เป็นช่วงๆ ราวกับตัวเขานั้นกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ แล้วในตอนที่สิงเทียนหมิงกับพรรคพวกนั้นได้คิดฉีกหน้าพวกเขาและเตรียมที่จะใช้กำลังทำร้ายเย่เย่กับซ่างกวานอวี่อยู่นั้นเอง หลินฉีก็ได้ตัดสินใจมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวเตือนอีกฝ่ายว่าอย่าทำอะไรผลีผลามอย่างใจเย็น
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? หลบไปซะ!”
ก่อนที่สิงเทียนหมิงจะได้พูดอะไร สิงอู๋เจียงก็ได้พุ่งเข้าหาหลินฉีก่อนและต่อยเข้าไปที่อกของหลินฉีด้วยหมัด
ตูม!
แล้วพลังในระดับสูงสุดของจอมเทพนั้นก็ได้ระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทาง หมัดของสิงอู๋เจียงนั้นก็ได้พลันดึงดูดพลังปราณในอากาศรอบๆลานกว้างเข้าไป ทำให้หมัดของเขานั้นทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วดวงตาของหลินฉีก็ได้ปรากฏแสงออกมา แล้วเขาเองก็ได้ต่อยสิงอู๋เจียงสวนกลับไป ถึงแม้ว่าเขาจะโจมตีทีหลัง แต่เพราะหลินฉีได้เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้ว ทำให้หมัดของเขานั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าของสิงอู๋เจียงเลย
ตูม!
ทั้งสองหมัดเข้าปะทะกันราวกับมีฟ้าผ่าลงมาที่พื้น แล้วทั้งสองคนก็ได้พลันกระเด็นออกมาพร้อมกัน
เพียงแต่สิงอู๋เจียงนั้นสามารถตั้งตัวได้เร็วกว่าและดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แต่ทว่าเพราะวรยุทธ์ของหลินฉีนั้นไม่ได้ดีเท่ากับของสิงอู๋เจียง จึงได้กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งแล้วใบหน้าของเขาก็ได้ซีดเล็กน้อย
แต่ในขณะที่เขากระเด็นออกมานั้น ดูเหมือนว่าในที่สุดตัวเขาก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีใบหน้าขลาดกลัวบนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อยแล้วกลับมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ
“คิดทำเป็นมีเลศนัยงั้นเหรอ! ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าค่าใช้จ่ายในการมาขวางเมืองหลงเจียง!”
เมื่อสิงอู๋เจียงเห็นสีหน้าของหลินฉีแล้ว เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงจะแกล้งทำเป็นมีแผน จึงได้มีแววตาเย้ยหยันในดวงตาของเขา
ทันทีที่เขาพูดจบ สิงอู๋เจียงก็ได้วิ่งเข้าไปหาหลินฉีอีกหนและดึงเอาพลังทั้งหมดของเขาออกมาหมายที่จะซัดหลินฉีเสียให้ตาย
ซู่ม!
แล้วตัวของสิงอู๋เจียงก็ได้พุ่งเข้าไปราวกับลูกศรที่พุ่งออกจากสายธนู แล้วก็ได้พุ่งเข้ามาถึงตัวหลินฉีในทันที แล้วมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาอาฆาต ซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆในเมืองโม่ไห่นั้นก็ได้พลันสีหน้าเปลี่ยน และรีบเตือนหลินฉีให้ระวังตัว
สิงเทียนหมิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั้น ก็ได้มองดูเหตุการณ์เหล่านี้จากวงนอก และคิดที่จะช่วยสิงอู๋เจียงสังหารหลินฉีให้ตายคาที่
เพราะหลินฉีนั้นเป็นศิษย์คนเดียวของซ่างกวานจ้ง แม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ได้สำคัญเท่าซ่างกวานอวี่ การสังหารหลินฉีนั้นจึงไม่อาจทำให้ซ่างกวางจ้งนั้นคลุ้มคลั่งได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายกำลังใจของผู้คนในเมืองโม่ไห่อย่างสาหัสได้ สิงเทียนหมิงจึงได้ไม่ห้ามลูกชายของเขา
แต่เขาก็ไม่คิดว่าเพราะความสนใจของเขานั้น สิงอู๋เจียงจึงได้บาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา และเกือบจะกลายเป็นคนพิการไม่อาจที่จะฝึกวิชาต่อได้อีก!
“รี้!”
ในขณะที่สิงอู๋เจียงได้พุ่งตัวเข้าหาหลินฉี และหลินฉีก็ยังคงยืนนิ่งเฉยราวกับคนโง่อยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากเหนือน่านฟ้าเมืองโม่ไห่อีกหน
“สิงอู๋เจียง เจ้าช่างรนหาที่ตาย!”
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงของซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่ดังเข้าหูของทุกคนทันที
ซึ่งก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตั้งตัว อินทรีทองหกปีกอีกตัวก็ได้มาปรากฏตัวอยู่เหนือน่านฟ้า แล้วก็ได้มีชายวัยกลางคนอายุใกล้ๆ 50 ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลินฉี ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่และสีหน้าของเขาก็ไม่ได้โมโหหรืออวดดีแต่อย่างใด ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้สิงอู๋เจียงที่กำลังพุ่งเข้าหาหลินฉีนั้นตกใจในทันที
“แย่แล้ว ถอยออกมา!”
เมื่อสิงเทียนหมิงเห็นชายวัยกลางคนซ่างกวานจ้งปรากฏตัวออกมานั้น เขาก็ได้ตะโกนบอกสิงอู๋เจียงอย่างกระวนกระวาย
ในเวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อสักครู่หลินฉีนั้นถึงได้ดูเยือกเย็น ที่แท้เมืองโม่ไห่เองก็เหมือนกับเมืองหลงเจียงที่แอบเลี้ยงอินทรีทองหกปีกเอาไว้เป็นไพ่ตาย และเหตุผลที่ว่าทำไมหลินฉีถึงได้กล้าเข้ามาขวางสิงเทียนหมิงนั้นก็เพื่อถ่วงเวลานั่นเอง เพราะตัวเขานั้นได้ส่งคนขี่อินทรีทองหกปีกไปยังสำนักแก้วหลากสีเพื่อไปรับซ่างกวานจ้งแล้วหลังจากที่ตัวตนของเย่เย่นั้นถูกเปิดเผย
เพราะหลินฉีนั้นเชื่อว่าซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนั้นจะกลับมาถึงเมืองในอีกไม่ช้า ตัวเขาจึงได้ไม่ประนีประนอมเมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจคุกคามที่แข็งแกร่งของเมืองหลงเจียง จนในที่สุดซ่างกวานจ้งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังและมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลินฉีช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทันการ ส่วนสิงอู๋เจียงจากที่ถือไพ่เหนือกว่าเมื่อสักครู่นั้น เมื่อเผชิญหน้ากับการขัดขวางของ ซ่างกวางจ้งในเวลานี้แล้ว สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนไปในทันที
ส่วนสิงเทียนหมิงที่คิดจะรีบเข้าไปช่วยนั้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว! ทันทีที่ซ่างกวานจ้งปรากฏตัวออกมา เขาก็ได้ซัดใส่ สิงอู๋เจี้ยงที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที
ตูม!
สิงอู๋เจียงก็เป็นเหมือนกระสอบทรายและกระเด็นลอยขึ้นฟ้าเมื่อถูกซัดโดยซ่างกวานจ้ง ก็ได้กระอักเลือดออกมากลางอากาศและสิ้นสติไปเมื่อตกถึงพื้น
“เจียงเอ๋อเจ้าเป็นอะไรไหม?”
เมื่อสิงเทียนหมิงเห็นเช่นนี้แล้วก็ได้รีบวิ่งเข้าไปหา สิงอู๋เจียงเพื่อดูอาการ เมื่อเขารับรู้ได้ถึงอาการบาดเจ็บของ สิงอู๋เจียงแล้ว แล้วใบหน้าของเขาก็ได้เขียวปั๊ดในทันทีและตัวของเขาก็ได้หายไปจากตรงนั้นทันที
“ซ่างกวานจ้ง เจ้าอยากจะตายนักเหรอ!”
“สิงเทียนหมิง เจ้าจะลองดูก็ได้นะ!”
ครืนนนน!
สิงเทียนหมิงที่หายไปเมื่อสักครู่นั้นก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าซ่างกวานจ้ง แล้วทั้งสองคนก็ได้แลกฝ่ามืออย่างสุดกำลังของพวกเขาออกไป มีลมพัดไปทั่วทั้งลานกว้าง หลินฉีกับคนอื่นๆที่อยู่ห่างจากทั้งคู่นั้นก็ยังต้องถูกผลักให้ถอยเพราะกระแสลมแรงนั้น แทบจะยืนไม่ติดพื้น
ในตอนที่สิงเทียนหมิงนั้นตรวจดูอาการของสิงอู๋เจียงเมื่อสักครู่ เขาก็พบว่าซ่างกวานจ้งนั้นได้ทำลายวรยุทธ์ทั้งหมดของสิงอู๋เจียงด้วยฝ่ามือเดียว ถึงแม้ว่าสิงอู๋เจียงนั้นจะยังสามารถฝึกวิชาได้ใหม่หลังจากนี้ แต่สิงเทียนหมิงก็ไม่อาจเก็บกดความโกรธของเขาเอาไว้ได้ และได้เข้าสู้ถึงตายกับซ่างกวานจ้งในแทบจะทันที!
“ท่านเจ้าเมือง ข้าจะช่วยท่าน!”
“เจ้าพวกคนชั่วจากเมืองหลงเจียงจะต้องตาย!”
“ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่แล้วก็อย่าได้หวังจะกลับไปเลย!”
ในขณะที่ซ่างกวานจ้งกับสิงเทียนหมิงกำลังดวลกันตัวต่อตัวอยู่นั้นเอง ยอดฝีมือราชันย์เทพอีก 2 คนที่ติดตาม ซ่างกวานจ้งอยู่บนหลังของอินทรีทองหกปีกมายังเมืองโม่ไห่กับหลิ่วซื่อหมิงที่บาดเจ็บจนต้องถอยออกไปเมื่อสักครู่นั้น ก็ได้กลับมาอยู่ใกล้ๆซ่างกวานจ้ง และหมายที่จะโจมตีใส่สิงเทียนหมิงพร้อมกัน
“หน็อยแน่พวกแก!”
“กล้าที่จะทำร้ายพวกเราเมืองหลงเจียงอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าคิดว่าพวกเจ้าทำได้ก็ลองดู!”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เหล่าราชันย์เทพจากเมืองหลงเจียงก็ได้วิ่งมาจากด้านหลังของสิงเทียนหมิงเพื่อช่วยเขา แล้วทั้งสองฝ่ายก็ได้เปิดศึกดวลเดือดกันขึ้น