ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 288 เจิ้งชิงเทียนเข้าร่วมการต่อสู้
บทที่ 288 เจิ้งชิงเทียนเข้าร่วมการต่อสู้
บทที่ 288 เจิ้งชิงเทียนเข้าร่วมการต่อสู้
บนท้องฟ้า ลู่หยวนชี้ท้องนภาด้วยสองนิ้วในมือขวา แสงสีทองซึ่งอยู่ปลายนิ้วกลายเป็นสีขาว พลังที่อยู่ภายในนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง
อูโจ้วหรี่ตาขณะที่มองปลายนิ้วของอีกฝ่าย แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น
ทันใดนั้น!
วงแสงซึ่งอยู่ด้านหลังของลู่หยวนก็ลอยขึ้นเหนือท้องนภา หมู่เมฆสีขาวเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ก่อตัวเป็นรูปร่างด้านหลังของเขา
ร่างที่เกิดจากเมฆาคล้ายกับร่างของสตรี ผมยาวประบ่า มือประสานอยู่เบื้องหน้า เสากระบี่ขนาดใหญ่อยู่ใต้ฝ่ามือ ร่างเหยียดตรง สายตามองไกลออกไป แม้กลุ่มเมฆจะเลือนราง แต่ยังสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าและคุณธรรมของร่างนี้!
อูโจ้วตกตะลึง แม้เขาไม่ทราบว่าผู้อยู่ในเมฆาเป็นใคร แต่พลังที่แผ่ออกมาจากร่างนี้ก็ทำให้รู้สึกถึงความยำเกรง แม้กระทั่งตัวเขาก็บังเกิดความยอมจำนนจากก้นบึ้งของจิตใจ!
เมื่ออูโจ้วตระหนักถึงสิ่งนี้ เขาก็ฝืนสะกดความตั้งใจที่จะยอมจำนน
สายตาของเขาวาวโรจน์ด้วยโทสะ
เขาคือผู้นำเผ่าสาปมาร!
จะมายอมจำนนต่อร่างมายาได้อย่างไร?!
“อูโจ้ว ผนึกนี้เจ้าได้รับการสอนสั่งจากผู้อื่นใช่หรือไม่!”
แม้เสียงของลู่หยวนไม่ได้ดัง แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ผนึกราชันความมืด ผนึกทะลวงสวรรค์ ล้วนเป็นตัวตนสูงสุดในบรรดาผนึกกฎเกณฑ์ หากเป็นพลังธรรมดาจะใช้งานพวกมันไม่ได้!”
“ข้าขอเดาแล้วกัน…”
ลู่หยวนยกยิ้มขณะที่ดวงตาทั้งสามจับจ้องไปยังอูโจ้ว เผยให้เห็นความขี้เล่นในแววตา
อูโจ้วพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “เจ้าหนู แม้ข้าจะไม่ทราบว่าเจ้าใช้อุบายอะไรจนสามารถคลายผนึกทะลวงสวรรค์ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันนี้เจ้าจะรอดชีวิตกลับไป!”
“อีกอย่าง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคาดเดาในสิ่งที่ไม่ควรรู้ก่อนตายจะดีกว่า หาไม่แล้วทั้งตระกูลที่คอยหนุนหลังเจ้าจะถูกสังหารในชั่วข้ามคืน!”
“คนเหล่านั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่เจ้าผู้อยู่ครึ่งก้าวขั้นเทียมเทพจะหาเรื่องได้!”
เมื่อสิ้นคำของอูโจ้ว ลู่หยวนเพียงยิ้มหยันแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “คนเหล่านั้นหรือ? พวกมันก็แค่สุนัขผู้อยู่ใต้อาณัติตระกูลชิว กล้าพูดได้อย่างไรว่าจะสังหารทั้งตระกูลของข้า?! น่าขันสิ้นดี!”
รูม่านตาของอูโจ้วหดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำของลู่หยวน
เขาไม่คาดคิดว่าเด็กผู้นี้จะคาดเดาถูกต้อง!
มันรู้ได้อย่างไร?!
ลู่หยวนแย้มยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของอูโจ้ว ดูเหมือนจะเป็นตระกูลชิวอย่างที่คาดไว้!
เดิมทีเขามั่นใจเพียงครึ่งเดียว แต่บัดนี้ชัดเจนแล้ว!
ไม่มีทางที่เผ่าสาปมารผู้เข้าสู่ค่ายกลปรภพเมื่อห้าแสนปีก่อนจะสำรวจผนึกกฎเกณฑ์ด้วยตัวเองได้!
อูโจ้วต้องได้รับการชี้แนะจากใครบางคน!
ทางเข้าและออกค่ายกลปรภพเป็นความลับของแผ่นดินใหญ่ แม้แต่ลู่หยวนก็ไม่ทราบ
หมายความว่าผู้ที่เข้าไปพบเผ่าสาปมารได้จะต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดา!
บนแผ่นดินหลัก มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่มีภูมิหลังดังกล่าว!
บัดนี้ อูโจ้วปรากฏตัวอีกครั้งในแดนมัชฌิม ซึ่งผนึกที่ใช้คือเป็นผลของการขัดเกลามาจากผนึกวิถีคุณธรรม
ผนึกวิถีคุณธรรมถูกสร้างโดยเจิ้งชิงเทียน จึงมีเพียงผู้ครอบครองกลิ่นอายแห่งวิถีคุณธรรมที่สามารถสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ได้!
ส่วนผนึกกฎเกณฑ์ทั้งห้าที่ได้รับการขัดเกลา มีเพียงตระกูลชิวที่ใช้บ่อยที่สุด!
ลู่หยวนครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยชื่อตระกูลออกมา!
เดิมทีเขาเพียงพูดจาล่อหลอก แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง!
ลู่หยวนเผยสีหน้าเย้ยหยันขณะที่ความเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตา
ตระกูลชิวคิดการณ์ใหญ่ไม่เบา!
หากพวกเขามอบผลึกกฎเกณฑ์ให้แก่อูโจ้ว ย่อมต้องได้รับบางสิ่งกลับคืน!
อูโจ้วควบคุมซากศพนับไม่ถ้วนภายในค่ายกลปรภพได้!
หากร่วมมือกับตระกูลชิว เขาจะต้องกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังไม่อาจมองข้ามได้!
หลังจากอูโจ้วประหลาดใจครู่หนึ่ง เขาจึงสงบสติก่อนจะประสานมือ ทำให้อักขระรอบข้างเริ่มก่อตัว
“เจ้าหนู วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”
ลู่หยวนถอนสายตากลับมา พลันหุบยิ้มลง
“อูโจ้ว วันนี้เจ้ามีเพียงสองทางเลือก ยอมจำนนหรือตาย!”
อูโจ้วระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าหนู คิดหรือว่าจะทำให้ข้ายอมจำนนได้?!”
“ตอนที่ข้าเป็นผู้นำเผ่าสาปมาร เกรงว่าปู่ของเจ้ายังไม่เกิดขึ้นมาด้วยซ้ำ! ช่างไม่รู้ว่าฟ้าสูงดินต่ำเป็นเช่นไร!”
“จริงหรือ?”
ลู่หยวนเอ่ยคำเหล่านี้อย่างแผ่วเบา ขณะลดนิ้วมือขวาลง ทำให้แสงสีขาวทั้งหมดมารวมอยู่ที่ฝ่ามือ
อูโจ้วพยายามรวบรวมอักขระเพื่อที่จะสร้างผนึกอีกครา แต่ทันใดนั้น ลู่หยวนผู้ยังอยู่ในสายตาเมื่อครู่กลับหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง!
ส่วนภาพมายาของเสากระบี่ยังคงตั้งตระหง่าน!
อูโจ้วรีบกวาดสายตามองไปโดยรอบ จนในที่สุดก็พบกับลู่หยวนซึ่งอยู่บนชั้นเมฆา
แต่เขาไม่ทราบว่าร่างมายาของสตรีปรากฏขึ้นที่ข้างกายของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ นางถือกระบี่ขณะที่หมู่เมฆรอบข้างเคลื่อนตัวและผันผวน ยิ่งดูทรงอำนาจ
ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่เหนือเมฆา
ส่วนร่างมายากำลังหันข้าง มือขวากุมกระบี่ไว้ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง สายตาหลุบต่ำขณะเผยสีหน้ายอมจำนน คนผู้นี้ก็คือเจิ้งชิงเทียน!
“นายท่าน!”
เจิ้งชิงเทียนคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าลู่หยวน พลังมารทั้งหมดบนร่างถูกปกปิดเอาไว้ ยิ่งทำให้พลังแห่งวิถีคุณธรรมทรงพลัง!
นางยังคงมีพลังน่าเกรงขามแม้จะกำลังคุกเข่าอยู่ก็ตาม!
ลู่หยวนมองอูโจ้วผู้อยู่ด้านล่างแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้สร้างผนึกกฎเกณฑ์ทั้งหมดบนแผ่นดินหยวนหง ส่วนผนึกสองสามอย่างที่อูโจ้วเรียนรู้มาจากผนึกวิถีคุณธรรม ข้าหวังว่าเจ้าจะจำกัดพวกมันได้”
เจิ้งชิงเทียนตอบรับทันที “เจ้าค่ะ นายท่าน!”
ลู่หยวนมีสีหน้าสงบ “สั่งสอนมันให้ข้า!”
“น้อมรับคำสั่งของนายท่าน!”
เจิ้งชิงเทียนลุกขึ้น ดาบยาวในมือพลันส่งเสียงร้องแผ่วเบา
นางยกมือขวา เสียงร้องของดาบยิ่งชัดเจนประหนึ่งสัตว์ร้าย
เจิ้งชิงเทียนมองกระบี่วิถีโลกาซึ่งอยู่ในมือด้วยความคะนึงหา ทันใดนั้นความทรงจำมากมายก็ผุดขึ้นมา
พอมาคิดดู นางก็ไม่เคยต่อสู้ร่วมกับมันเป็นเวลากว่าสามแสนปีแล้ว!
วันนี้นายท่านมอบกระบี่วิถีโลกาเพื่อช่วยสนับสนุนการต่อสู้ ซึ่งถือว่าช่วยคลายความกังวลในใจของนางไปได้มาก
เจิ้งชิงเทียนละสายตาจากกระบี่ ขณะที่ดวงตางดงามคู่นั้นจับจ้องไปยังอูโจ้วผู้อยู่ด้านล่าง จิตวิญญาณต่อสู้พลันปรากฏขึ้น
หากผู้ทรงพลังอย่างอูโจ้วอยู่ในช่วงสามแสนปีก่อน เกรงว่าเขาจะไม่สามารถต้านทานกระบี่ของเจิ้งชิงเทียนได้!
แต่เจิ้งชิงเทียนในยามนี้ถูกพลังมารกัดกร่อนและถูกผนึกมาเนิ่นนาน จึงทำให้สูญเสียพลังไปมาก นางจึงไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายภายในสิบกระบวนท่าได้หรือไม่
นี่เป็นครั้งแรกที่นายท่านส่งนางมาต่อสู้!
นางจะต้องแสดงฝีมือให้ดี!
เจิ้งชิงเทียนสงบสติก่อนจะชี้กระบี่วิถีโลกาไปที่อูโจ้วผู้อยู่เบื้องล่าง ริมฝีปากสีชาดขยับไปมา
“ค่ายกล! วิถีคุณธรรม!”
สิ้นคำของนาง หมู่เมฆใต้เท้าพลันแยกตัว ก่อนจะปกคลุมทั่วหล้าประหนึ่งสายลม
ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสีเมื่อถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาว ทำให้สรรพสิ่งหายไป
อูโจ้วสัมผัสได้เพียงว่าภาพเบื้องหน้าสั่นไหว ก่อนจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ถูกแสงสีขาวปิดล้อมไว้แล้ว
หัวใจของเขากระตุกวูบ ขณะที่รีบรวบรวมอักขระไว้ในมือ