ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 753 : เขตดาวโบไลด์ - การทดสอบเก่าแก่
ตอนที่ 753 : เขตดาวโบไลด์ – การทดสอบเก่าแก่
หวังเย่าและแมวมองไปที่จารึกหินตรงหน้า พวกเขาไม่กล้าที่จะผลีผลามแม้แต่น้อย
จารึกนี้แผ่คลื่นพลังอันเก่าแก่ออกมา มันคงอยู่มานานและถูกทิ้งไว้โดยคนเก่าแก่แน่ ๆ
“ไม่รู้ว่าจารึกนี้อยู่มากี่ปีแล้ว คลื่นพลังที่เหลือไว้บนจารึกนี้น่ากลัวจริง ๆ คนที่สร้างมันขึ้นมาคงเป็นเทพสวรรค์ ” แมวมองไปที่จารึกและพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ไม่ใช่แค่แมว หวังเย่าเองก็รู้ว่าจารึกนี้ต่างจากทุกสิ่งที่เขาพบมา ตอนที่เข้ามาในดินแดนนรกที่ลึกลับและน่ากลัวแบบนี้ การที่จะทิ้งจารึกที่เก่าแก่ไว้ได้ นอกจากเทพมังกรที่ตายไปในอดีตแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ?
หวังเย่าคิดถึงที่มังกรบอกว่าเขาเกี่ยวข้องกับเทพมังกร ดังนั้นสายตาที่เขามองไปยังจารึกนี้จึงต่างจากคนอื่นๆ
นี่คือสิ่งที่เขาในชีวิตที่แล้วได้ทิ้งเอาไว้ แต่ตอนนี้มันกลับสร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมาก แค่คลื่นพลังที่ทิ้งไว้บนจารึกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับได้ไหวแล้ว
ในตอนที่ทั้งสองมองไปที่จารึกนั้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ผู้เข้าร่วมต้องผ่านการทดสอบของหินนภา คนที่เข้าร่วมเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ทดสอบได้”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หวังเย่าและแมวก็มองหน้ากัน นี่คือพื้นที่ทดสอบงั้นหรือ ?
เมื่อมันเป็นพื้นที่ทดสอบ งั้นมันก็ต้องมาพร้อมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะในพื้นที่ต้องห้ามแบบนี้ ความยากคงยากเกินกว่าจะคาดถึง
และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนกลับออกไปในตอนนี้ คนตระกูลหยุนได้ขวางทางเขาเอาไว้แล้ว หวังเย่ารู้ว่าเขาได้แต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น เขาเดินหน้าเข้าไปก่อนจะวางมือไว้บนจารึก
ตอนที่มือสัมผัสกับจารึกนั้นก็มีพลังที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ไหลเข้ามาในตัวของเขา พลังนี้กวาดไปทั่วทั้งตัว หวังเย่ารู้สึกว่าความลับในตัวของเขากำลังโดนพลังนี้มองออก แต่เขาก็ไม่อาจจะต้านทานมันได้เลย
โชคยังดีที่พลังนี้อยู่แค่ชั่วครู่ก่อนจะสลายออกไป จากนั้นจารึกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ที่จารึกกลับเกิดตัวหนังสือขึ้นมา ‘ ป่า, ดาว, ท้องฟ้า, ดิน, มนุษย์ ‘ ไล่จากบนลงล่าง
ตัวหนังสือทั้งห้านี้แทนถึงความแข็งแกร่งหรือพรสวรรค์ของผู้ทดสอบ เมื่อคำว่าสวรรค์ปรากฏขึ้นมา ในวินาทีต่อมาก็มีข้อความส่วนที่สองปรากฏขึ้น
แมวเห็นตัวหนังสือนั้นก็กระจ่างทันที “ การทดสอบสวรรค์ มันถูกใช้เพื่อทดสอบอัจฉริยะ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงอยู่ได้แค่ขั้นที่ 2 เท่านั้น”
แต่แมวกลับแสดงสีหน้าสับสนออกมา แม้ว่าจะวัดตามกฎการทดสอบแล้ว เกณฑ์ของมันอาจจะสูง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่าในตอนนี้แล้วไม่น่าจะถึงขั้นดินได้
ตอนที่แมวสงสัยอยู่นั้น แสงจากจารึกก็ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นมันก็มาหยุดอยู่ที่ขั้นดาว
แสงยังส่องประกายขึ้นไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังจะทะลวงผ่าน แต่หลังจากส่องแสงได้สักพักมันก็ไม่อาจจะขึ้นไปถึงระดับป่าได้ มันอยู่แค่ระดับดาวเท่านั้น
“ระดับดาว แม้แต่ในอดีตก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่หาจับตัวได้ยากแล้ว” แมวพยักหน้าด้วยความพอใจและพูดขึ้น “อัจฉริยะระดับดาวในเขตดาวโบไลด์นั้นมีแค่หยิบมือเท่านั้น ถ้าใครอยู่ในระดับนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นของจักรวาลได้”
แม้แมวจะพูดแบบนั้น แต่หวังเย่าก็ไม่ได้ดีใจอะไร
สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์นั้นในมุมมองของเขาคือสิ่งที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ การที่มาถึงจุดนี้ได้หวังเย่ารู้ว่าเขามีพรสวรรค์มากแค่ไหน เขาพยายามผ่านความยากลำบากมาแค่ไหน สิ่งนี้เขารู้ดีแก่ใจ
แต่สิ่งที่เขาสนใจคือการทดสอบต่อไป เมื่อมันมีตัวหนังสือปรากฏขึ้นมาบนจารึกนี้ มันก็หมายความว่าเขาน่าจะผ่านการทดสอบส่วนแรกไปแล้ว
“ระดับ 4 ระดับดาว เปิดการทดสอบ ! ” เสียงจากจารึกดังขึ้นอีกครั้ง
จารึกเกิดการเปลี่ยนแปลงไป มันมีลำแสงรวมตัวกันที่ใจกลางจารึกก่อนที่จะเกิดวังวนขึ้นมา
หวังเย่าและแมวมองไปที่วังวนก็รู้ว่านี่คงเป็นการทดสอบที่จารึกพูดถึง
“เข้าไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้าก็คงต้องเดินหน้าต่อ ส่วนนี้ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้” แมวพูดขึ้นมา
หวังเย่ารู้ว่าเขาต้องรับการทดสอบ แต่เมื่อเห็นรูปปั้นรอบ ๆ แล้ว เขาก็ยังกังวลเรื่องการทดสอบอยู่ดี เพราะรูปปั้นพวกนี้อาจจะเป็นพวกที่ล้มเหลวในการทดสอบก็เป็นได้
แต่คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเลือกที่จะทดสอบแล้วก็คงต้องเดินหน้าต่อ หวังเย่าไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนที่จะเดินเข้าไปในวังวนพร้อมกับแมว
เมื่อทั้งสองเข้าไปในวังวน วังวนก็ค่อย ๆ ปิดตัวลงอย่างช้า ๆ แสงบนจารึกกระพริบขึ้นอีกครั้งก่อนที่คำว่า ‘ป่า’ จะส่องแสงออกมา แต่ไม่นานแสงนั้นก็หม่นลงไปอย่างรวดเร็ว
“เขามีพรสวรรค์ถึงระดับนั้นเลยหรือ ? ” เสียงบนท้องฟ้าดังขึ้นด้วยความแปลกใจ “ดูเหมือนว่าระดับดาวจะธรรมดาสำหรับเขาเกินไป”
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ หวังเย่าไม่รู้ตัวเลย หลังจากที่ถูกส่งผ่านเข้ามิติมา หวังเย่าก็พบว่าตรงหน้าของเขาไม่ใช่โคลอสเซียมอีกต่อไป แต่มันกลับมีภูเขาปราฏขึ้นมาจำนวนมาก
ทั้งสองยืนอยู่บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ รอบตัวพวกเขามีแต่ภูเขาและเนินเขารวมถึงป่าที่ดูอุดมสมบูรณ์
หลังจากที่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ หวังเย่าก็เหม่ออยู่สักพัก แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่านี่คือการส่งผ่านมิติก็ตาม
ที่นี่ไม่เหมือนกับชั้น 4 แม้แต่น้อย หวังเย่าสงสัยว่าการส่งผ่านมิตินี้ผิดพลาดและได้ส่งทั้งสองมายังอีกที่ แต่ตอนที่พวกเขาไม่ทันได้รวบรวมสตินั้น ก็มีเสียงร้องดังขึ้นมาจากด้านล่างภูเขา
ทั้งสองมองตามก็พบว่าที่ตีนเขานั้นมีกองกำลังสองกองกำลังสู้กันอยู่ หนึ่งในนั้นแต่งตัวแปลกประหลาด มันไม่เหมือนกับกองกำลังของดาวเคราะห์ที่หวังเย่าเคยเห็นมา แต่การแต่งตัวของพวกนั้นกลับทำให้หวังเย่ารู้สึกว่ามีเสน่ห์
อีกกองกำลังที่สู้กันอยู่นั้น หวังเย่าคุ้นตาเป็นอย่างดี มันคือสัตว์อสูรไฟ พวกมันคือสัตว์อสูรในชั้น 4 !
หวังเย่าและแมวไม่สนว่าทำไมสภาพแวดล้อมที่นี่ถึงได้ต่างจากชั้น 4 อย่างสิ้นเชิง ทั้งสองได้รีบวิ่งลงจากเนินเขาไปทันที
“ช่วยพวกเขาก่อน ! ” หวังเย่าบอกกับแมวก่อนจะพุ่งเข้าไปในสนามรบ
ปัง !
หัวของสัตว์อสูรไฟแตกออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าผู้คนโดนสัตว์อสูรไฟโจมตีจนบาดเจ็บหนัก แม้ว่าพวกนี้จะเป็นคนระดับสูงของเมืองปูหยาง แต่ต่อหน้าสัตว์อสูรที่มากกว่าหลายเท่าแล้ว มันก็ยากที่พวกเขาจะสู้ได้
“พระเจ้า เรามีแต่จะบาดเจ็บและล้มตายไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันเกรงว่าทั้งกองทัพคงโดนทำลาย ! ” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“จางจิน นายนำคนไปโจมตีจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ฉันมอบอำนาจให้นาย ! ” คนที่เหมือนกับเป็นแม่ทัพสังเกตสถานการณ์โดยรอบแล้วบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชา
จางจินได้ยินแบบนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบปฏิเสธทันที “ไม่ ! แม้ว่าวันนี้เราจะตายที่นี่กันหมด แต่ผมจะปกป้องนายพลให้ได้”
ทหารคนหนึ่งโดนกัดเข้าที่คอก่อนจะโดนสูบเลือดไปจนตาย
ก่อนที่สัตว์อสูรไฟจะได้โจมตีต่อ ก็โดนทหารที่อยู่ใกล้ ๆ จัดการ
สถานการณ์ดูวุ่นวายขึ้นมาเรื่อย ๆ พร้อมกับคนบาดเจ็บที่มากขึ้นไปด้วย ตอนนี้พวกเขาโดนสัตว์อสูรไฟล้อมเอาไว้แล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้นแม่ทัพก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “นี่คือคำสั่ง ! พวกนายอยากจะตายกันที่นี่รึไง ? ”
“นายต้องส่งข่าวกลับไปที่เมืองปูหยางเพื่อให้พวกเขาเตรียมรับมือเอาไว้ ! พวกนายอยากเห็นเมืองปูหยางกลายเป็นเถ้าและมีกระดูกกองเป็นภูเขารึไง ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพสาว จางจินก็ลังเลก่อนจะพูดขึ้นมา “นายพลสบายใจได้ ผมจะกลับไปที่เมือง แม้ว่าร่างนี้จะแหลกสลายแค่ไหนก็ตาม ผมจะทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ ! ”
เขารู้แล้วว่าไม่มีเวลาลังเลอีกต่อไป นายพลสาวจะต้านทานสัตว์อสูรไฟพวกนี้เอาไว้ นี่คือทางที่ดีที่สุดที่จะลดความเสียหาย นี่คือทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้
ภายใต้คำสั่งของแม่ทัพ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที เธอใช้คนแค่ร้อยคนในการต้านทานสัตว์อสูรไฟเหล่านี้ ส่วนคนที่เหลือนำโดยจางจิน ได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อโจมตีจุดอ่อนของกองทัพสัตว์อสูร
ภายใต้การปกป้องของแม่ทัพและทหารอีกกว่าร้อยคน สุดท้ายจางจินก็พาคนฝ่าวงล้อมออกไปได้
เมื่อเห็นพวกนั้นออกจากสนามรบไปแล้ว แม่ทัพก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะมองไปที่สัตว์อสูรไฟตรงหน้า
“แม้ว่าฉันจะต้องตายที่นี่ แต่ก็จะลากพวกแกไปด้วย”