ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 663 : หนูทดลอง
ตอนที่ 663 : หนูทดลอง
ในตอนเย็นฝนได้ตกไปทั่วทั้งเมืองจนน้ำนองเต็มถนน
ภายใต้ผู้คนที่เร่งรีบ หวังเย่ายังคงค่อย ๆ เดินถือร่มมุ่งหน้าไปที่โรงแรม
เขาเปิดประตูโรงแรมออกเบา ๆ
ตอนนั้นเฟิงก็ได้พูดขึ้นมา “หวังเย่ากลับมาแล้ว”
เฟิงนั้นแกร่งกว่าคนอื่น ๆ แค่ฟังเสียงฝีเท้า เขาก็สามารถบอกได้ว่าคนที่มานี้คือหวังเย่า
“เข้ามาด้านในก่อน อย่าไปยืนตากฝน” เฟิงเปิดประตูออกให้หวังเย่าเข้ามาในห้องก่อนจะรีบปิดประตูลงไปทันที
โรงแรมแห่งนี้โทรมอย่างมาก ยิ่งฝนตกก็ทำให้มันดูราวกับจะพังลงมาตอนไหนก็ได้
ครืน….
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพร้อมกับฝุ่นจำนวนมากที่ตกลงมาจากเพดานและคานของโรงแรม
“น้องเย่า รีบเข้ามาผิงไฟก่อน”
ทุกคนต่างก็รู้ว่าหวังเย่ามีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหวังเย่านั้นราวกับดวงอาทิตย์ที่ไม่รู้สึกหนาวเย็น
หวังเย่าพยักหน้าและไปนั่งรอบกองไฟกับคนอื่น ๆ
“อาเย่า นายไปไหนมา ? เราเหลือเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ” โจวอวิ๋นพูดขึ้นมา
“หัวหน้ากลุ่มอีกาดำนัดเจอเราที่คาสิโนชานเมืองตอนที่หิมะตกคืนนี้”
อันตงจ๋ามองไปที่หวังเย่าแล้วพูดขึ้น “พี่เย่า พี่บอกว่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเรา พี่คงไม่ได้เข้าไปในภูเขาแล้วจับสัตว์อสูรมาคนเดียวหรอกนะ ? ”
“พวกนายคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ ? ” หวังเย่าหัวเราะออกมา
“ฉันไม่คิดว่าเป็นไปได้ที่จะทำสัญญากับสัตว์อสูร เพราะเราต้องหาอสูรที่เพิ่งเกิดและอสูรตัวนั้นต้องเชื่องด้วยถึงจะสามารถจับมาทำสัญญาได้” อันตงจ๋ายักไหล่ “แม้ว่าพี่เย่าจะหาสัตว์อสูรให้เราได้ แต่การจะทำให้มันเติบโตใน 4 ชั่วโมงนี้ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
เฟิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตบขาหวังเย่าด้วยความกังวล “หวังเย่า นายไม่ต้องคิดมากไป นายคิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทุกคนยังไง ? หลงปู้หยู๋ยังรอเราให้ไปช่วยอยู่ เราไม่อาจจะรีรอได้”
“ลุงเฟิงไม่ต้องกังวล ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร ”
“เจ้าเด็กนี่ นายเรียกฉันว่าพี่แบบเดิมดีกว่า อย่าเรียกฉันว่าลุงเลย” สีหน้าของเฟิงบิดเบี้ยวไป
ทุกคนพากันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
ตอนที่ยังอยู่ในโลก เฟิงคือฮีโร่ของชาวหัวเซี่ย เขาคือคนที่ดูมีอายุประมาณ 30 ปี ทุกคนต่างก็เรียกเขาว่าพี่เฟิงเพราะเขาดูไม่มีท่าทีว่าจะแก่ลงเลย
แต่ตอนนี้หวังเย่าดูเด็กอย่างมาก เขาดูเป็นชายหนุ่มอายุราว ๆ 27-28 ปีก็ว่าได้ เมื่อเห็นชายแก่ที่อายุ 37-38 ปี เขาก็อดไมได้ที่จะเรียกว่าลุง
“พี่เฟิงก็ได้ งั้นฉันจะรีบลงมือละนะ”
“ฉันรู้ว่าฉันไว้ใจนายได้ แต่ฉันไม่คิดจะกดดันอะไรนาย”
“สำหรับการพัฒนาของทุกคนแล้ว ฉันตั้งใจจะช่วยทุกคน ทุกคนจะได้ผนึกวิญญาณสัตว์อสูรเข้าไปในตัว”
เมื่อได้ยิน เฟิงก็แปลกใจเป็นอย่างมาก ตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เขามองไปที่หวังเย่าด้วยความตื่นเต้น “ว่าไงนะ ? นายจะผนึกวิญญาณสัตว์อสูรเข้ามาในตัวพวกเรางั้นหรือ ? ”
“ทำไม ? พี่ไม่ต้องการงั้นหรือ ? ”
“ฉันจะไม่ต้องการมันได้ยังไง ? ถามมาได้”
โจวอวิ๋นสงสัยขึ้นมา “วิญญาณสัตว์อสูร มันคืออะไร ? ”
เฟิงแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “การผนึกวิญญาณสัตว์อสูรให้พลังมากกว่าการมีสัตว์อสูรอยู่กับตัวซะอีก ฉันได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้กันมามาก มีแค่คนในกองกำลังใหญ่ ๆ เท่านั้นที่จะผนึกวิญญาณสัตว์อสูรได้ ขั้นตอนในการผนึกวิญญาณสัตว์อสูรนั้นซับซ้อน มันต้องทำการดึงวิญญาณของสัตว์อสูรออกมา จากนั้นก็ทำการลอกเส้นเลือด สุดท้ายแล้วก็เอาวิญญาณและเส้นเลือดของเราผสมรวมกัน เราจะเรียกคนที่มีวิญญาณสัตว์อสูรในตัวว่าผู้ผนึก”
หวังเย่าพูดขึ้นมา “การผนึกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่เทพไฟบอกว่ามันไม่ได้ยาก ทำไมพี่เฟิงถึงคิดว่ามันยากนัก ? ”
“สัตว์อสูรพวกนี้แกร่งกว่าสัตว์อสูรของเรารึเปล่า ? ” ลัวจ้าวฮวาถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เฟิงส่ายหน้า “วิญญาณสัตว์อสูรไม่ได้แกร่งนัก แต่วิญญาณพวกนี้จะไม่ต้องได้รับการลงโทษเมื่อผ่านเลเวลขั้นใหญ่ไปได้ การเติบแบบนี้สำหรับผู้ใช้อสูรแล้วมันถือว่ามีค่าอย่างมาก”
ทุกคนต่างก็มีสัตว์อสูร พวกเขารู้ว่ามันต้องใช้ทรัพยากรแค่ไหนกับการเลี้ยงดูสัตว์อสูร ค่ายารายเดือนเพียงอย่างเดียวก็เสียไปเยอะแล้ว คนทั่วไปไม่อาจจะรับได้ไหว แต่วิญญาณสัตว์อสูรนั้นต่างออกไป ผู้ใช้อสูรกินอะไร วิญญาณสัตว์อสูรก็ได้ดูซับอันนั้น มันไม่ได้เรื่องมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิญญาณสัตว์อสูรถูกผนึกไว้ในร่างผู้ใช้อสูร มันเท่ากับว่าผู้ใช้และสัตว์อสูรเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายของผู้ใช้อสูรจะแข็งแกร่งขึ้นและได้รับความสามารถที่ไม่คาดคิดมา หากเติบโตขึ้นสู่ช่วงหลังได้ วิญญาณสัตว์อสูรก็สามารถออกจากร่างของผู้ใช้อสูรและทำงานร่วมกันได้
“งั้นก็ดีน่ะสิ !” โจวอวิ๋นตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อได้ฟังที่เฟิงพูด
อันตงจ๋าลูบจมูกแล้วพูดขึ้น “งั้นพี่เย่า…แล้วผู้ดูแลที่จะทำการผนึกวิญญาณล่ะ ? ”
หวังเย่าพูดขึ้น “นายลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเองก็เป็นผู้ดูแล ? ”
“ใช่ เกือบลืมไปเลยว่าพี่เป็นผู้ดูแล ใช่สิ…พี่เป็นผู้ดูแลขั้นเทพเลยรึไง ? ”
“แม้ว่าจะไม่แน่ใจ แต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันเหนือว่าผู้ดูแลทั่วไป” หวังเย่าพูดขึ้น
“งั้น…แล้วใครจะดึงวิญญาณมันออกมา ? ”
“ก็ฉันเอง ! ”
“พระเจ้า” ทั้งสี่คนต่างก็พากันอุทานออกมา
“อย่าบอกนะว่า…นายใช้ค่ายกลเป็นด้วย ? ” เฟิงถึงกับคิ้วขมวด
หวังเย่าขยิบตา “ใช่…มีปัญหาอะไรงั้นหรือ ? ”
ลัวจ้าวฮวามองไปที่หวังเย่าและขยิบตาให้ “พี่เย่า ฟังจากที่พี่บอกมาแล้ว พวกเราตกใจไม่ได้รึไง ? ”
“ตกใจงั้นหรือ ? มีอะไรให้น่ากังวลกัน ? มันก็แค่ผนึกวิญญาณสัตว์อสูร พวกนายไม่ได้ตายซะหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เฟิงและคนอื่น ๆ ก็อึ้งอยู่นานก่อนที่เฟิงจะพูดขึ้นมา “หวังเย่า…นาย…พูดจริงงั้นหรือ ? ตอนที่ฉันมาอยู่ที่เขตดาวโบไลด์ ฉันเห็นหลายคนล้มเหลวในการผนึกวิญญาณสัตว์อสูร พวกนั้นโดนวิญญาณสัตว์อสูรยึดร่างไปจนพวกเขาโดนฆ่า”
หวังเย่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดขึ้นมา “มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยรึไง ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ ! ” เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ
“เทพไฟรู้ว่าฉันจะทำการผนึกวิญญาณสัตว์อสูรให้กับคนอื่น ถ้ามันมีอันตราย เขาคงบอกฉันไปแล้ว แต่เขากลับบอกฉันว่าฉันมีพรสวรรค์ รึว่าเขาแค่ปลอบใจฉัน ? ” หวังเย่าพึมพำกับตัวเอง
“อาเย่า คนอื่นอาจจะไม่เชื่อนาย แต่ฉัน โจวอวิ๋น จะอยู่เคียงข้างนายเสมอ ฉันอยากเป็นคนแรกที่รับการผนึก ! ”
“ไร้สาระ…ฉันก่อน” ลัวจ้าวฮวาก้าวออกมาและพูดขึ้น
“หยุดเลย…พวกนายจะไปตายก่อนฉันได้ยังไง ? ฉันไม่ใจกว้างพอจะให้ใครตายก่อนหรอกนะ” อันตงจ๋าพูดขึ้นมา
พวกนี้บ้าไปแล้ว !
ตอนนั้นเองก็มีฟ้าผ่าลงมาจนทำให้เห็นใบหน้าของทั้งสี่คน
“ฉันพูดจริง ๆ พวกนายรอไปก่อน…” อันตงจ๋าพูดขึ้น
“นายสิรอไปก่อน ถ้าฉันทำไม่สำเร็จ ฉันฝากนายสลักชื่อหลุมศพให้ฉันด้วย ! ” โจวอวิ๋นกลัวนิด ๆ แต่เขาก็ยังอยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้ “อาเย่า ฉันก่อน”
สายฟ้าผ่าลงมาอีกครั้งเผยให้เห็นสีหน้าหม่นหมองของหวังเย่า หวังเย่าค่อย ๆ หันกลับมาและพูดขึ้น “ได้ งั้นนายจะเป็นหนูทดลองตัวแรก..”