ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 630 : กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว
ตอนที่ 630 : กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว
หัวของเมอเรย์ถูกโยนไปที่ดาดฟ้าของยานรบที่อยู่ไกลออกไป โปโปวิชมองไปที่หัวตรงหน้าด้วยสายตาเฉยเมย
แน่นอนว่าตอนที่หัวกำลังจะชนกับโล่พลังของยานนั้น ชายร่างใหญ่ตัวดำทมิฬก็ได้กระโดดออกมาและใช้มือรับหัวนี้เอาไว้
ทหารรอบ ๆ พากันมองไปที่ชายคนนั้นก่อนจะตะโกนออกมา “นายพล ! ”
ชายคนนั้นไปยืนอยู่ข้าง ๆ โปโปวิชด้วยสีหน้าเฉยเมย เขาส่งหัวของเมอเรย์ให้กับทหารแล้วพูดขึ้น “เก็บไว้เอากลับไปฝังด้วย”
“ได้”
ทหารทำความเคารพและใช้มือทั้งสองข้างรับหัวของเมอเรย์เอาไว้ก่อนจะหันกลับไป
การปรากฏตัวของนายพลคนนี้ไม่ได้ทำให้โปโปวิชแปลกใจเลย เขามองไปที่อีกฝ่ายและถามขึ้นมา “คีปิง นายคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งของนายแล้ว นายจะสามารถเอาชนะเด็กนี่ได้รึเปล่า ? ”
คีปิงมองไปที่หวังเย่าและพูดขึ้น “80 เปอร์เซ็นต์”
“หือ ? ขนาดนั้นเลยหรือ ? ” โปโปวิชยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อตอนนั้นหวังเย่าก็มองไปที่คีปิงและพูดขึ้นมา “ชายคนนี้เดินทางตัดมิติได้งั้นหรือ ? แต่ไม่มีใครน่าจะมีสกิลแบบนี้ได้”
หวังเย่าช็อกกับสกิลของคีปิงอยู่ไม่น้อย แต่สีหน้าซ็อกของเขาก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาในทันที ท่าทีแบบนี้ราวกับยั่วยุเขาอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้คีปิงกลับทำให้หวังเย่าไม่พอใจขึ้นมาได้
ฝูงสัตว์อสูรที่อยู่ด้านหลังของหวังเย่าได้เข้าโจมตียานรบภายใต้การควบคุมของเอไนน์
คีปิงมองไปที่เอไนน์แล้วชี้ไปที่เธอ ยานรบโดยรอบเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร พวกนั้นได้เล็งไปที่เอไนน์ทันที
ตูม…
ทันใดนั้นเลเซอร์ก็ยิงเข้าใส่เอไนน์ หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมีตำแหน่งที่สูงไม่น้อย แค่สั่งการครั้งเดียวก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ฐานะของอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นลำแสงนับไม่ถ้วนที่ยิงออกมา หวังเย่าก็เปิดโล่เงาและโล่เอลฟ์พร้อมกับพุ่งเข้าใส่โปโปวิชทันที
เอไนน์ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เธอยังเป่าขลุ่ยต่อและควบคุมสัตว์อสูรให้โจมตียานโดยรอบ รอบตัวเธอตอนนี้มีโล่เอลฟ์ก่อตัวขึ้นมา มันหมุนวนไปมาพร้อมกับรับมือกับการโจมตีโดยรอบไปด้วย
แฟนธอมที่อยู่ไกลออกมาไปได้จัดการกับเกาโดจนมันกลายเป็นซากเหลือแต่กระดูก
หลังจากที่หายหน้าไปกว่าครึ่งปี ความแข็งแกร่งของแฟนธอมก็พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะกับการที่ได้สัมผัสกับโลกภายนอกมานาน กระบวนการคิดของเขาก็เปิดกว้างขึ้นมาอย่างมาก
เมื่อรวมกับความรอบรู้ที่เขามีอยู่แล้วรวมถึงเลเวลที่เพิ่มขึ้นมา สัตว์อสูรตรงหน้านี้ เขาก็สามารถจัดการไม่ได้ยากเลย
หลังจากที่จัดการกับเกาโดได้แล้ว แฟนธอมก็มองไปที่หวังเย่า ทั้งสองคนมองตากันแล้วเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทันที
ตอนนั้นตัวของแฟนธอมก็หมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนจะทำการฟันออกมาใส่โล่พลังของยานหลัก
ปัง !
โล่สั่นไหวก่อนจะแตกออกเผยให้เห็นโปโปวิชและคีปิงที่ยืนอยู่ด้านบน
หวังเย่าพุ่งตามเข้าไปติด ๆ เขากางมือทั้งห้าออกพร้อมกับลูกไฟที่ก่อตัวขึ้นมาก่อนจะพุ่งไปตรงหน้าของโปโปวิช
หากโดนการโจมตีนี้เข้าไปก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโปโปวิชจะต้องตาย ดาวเฟนเซอร์จะเสียแม่ทัพในการคุมทัพไป จากนั้นมันก็จะเกิดความวุ่นวาย วิกฤตครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปด้วย
ไฟในมือของหวังเย่าอาจจะดูเล็ก แต่พลังของมันก็สูงจนน่ากลัว ในพริบตาไฟก็ได้อัดแน่นให้เล็กว่าเดิมหลายสิบเท่า
ตอนที่ลูกไฟกำลังจะอัดเข้าใส่โปโปวิช คิ้วขาว ๆ ของเขากลับโดนเผาไปก่อน ความร้อนนี้ถึงกับทำให้เขาสะดุ้ง
เขาขมวดคิ้วแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าเกรงกลัวออกมาเลย แต่ตอนนั้นเองกลับมีร่างหนึ่งมาขวางตรงหน้าของเขาเอาไว้ นี่คือคีปิง เขาได้ยกมือขวาขึ้นมารับมือกับลูกไฟของหวังเย่าเอาไว้
ปัง…
เสียงระเบิดดังก้องขึ้นมา
มือของหวังเย่ามีลูกไฟอยู่ ส่วนมือของคีปิงนั้นกลับมีลูกบอลสายฟ้า
“หินกฎสายฟ้า ! ” หวังเย่าหรี่ตาลงและรู้สึกดดันขึ้นมาอย่างมาก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีหินกฎที่เลเวลอยู่ประมาณ 120 แม้ว่าจะใช้พลังของมันออกมาได้แค่ครึ่งเดียว แต่ก็ยังเอาชนะลูกไฟของเขาได้ !
ทั้งสองได้เข้าปะทะกันและต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ปัง…
ไฟถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าพร้อมกับม่านสีแดงที่ปกคลุมทั้งสองเอาไว้
ไม่ว่าม่านนี้จะผ่านไปที่ไหน มันก็ราวกับใบมีดที่ตัดยานรบโดยรอบให้ขาดเป็นชิ้น ๆ
ดวงตาของหวังเย่าแดงก่ำ เขาไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้เหมือนปกติ และรู้สึกว่าตัวแข็งทื่อและชา
ส่วนในฝั่งของคีปิงเองก็ใช่ว่าจะไม่เป็นไร กล้ามเนื้อหลายส่วนของเขามีควันลอยออกมาราวกับเขาจะโดนเผาทั้งเป็น
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเช่นนั้น แฟนธอมก็ได้พุ่งเข้าหาโปโปวิชแทน
แต่อย่ามองว่าโปโปวิชนั้นแก่หงำเหงือกอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเขาเหมือนกับเต่าล้านปี ถึงจะดูอ่อนแอและเชื่องช้าแต่ต่อหน้าอันตรายแล้ว เขากลับตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว
เขายกมือขวาออกไปรับมือกับดาบของแฟนธอมเอาไว้ แต่มันกลับไม่มีเลือดกระจายออกมาเลยแม้แต่น้อย
โปโปวิชยิ้มให้กับแฟนธอม เขาผลักมือออกไปพร้อมกับดาบของแฟนธอมที่งอไปด้วย ไม่นานแฟนธอมก็ต้องกระเด็นกลับไป
ในเวลาเดียวกันที่ยานรบหลักก็มีทหารจากกองกำลังพิเศษกว่าสิบนายกระโดดออกมาเข้าโจมตีหวังเย่า
เมื่อเห็นพวกนั้นเข้ามา หวังเย่าก็ไม่กล้าที่จะอยู่อีกต่อไป เขาเสี่ยงที่จะโดนสายฟ้าและรีบถอยกลับมาทันที
ปัง…
ในตอนที่จะโดนฟ้าผ่านั้น หวังเย่าก็ได้ทำการเปิดโล่เงารับมือกับสายฟ้าเอาไว้
โล่เงาทนได้แค่วินาทีเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะพังลง
การโจมตีนี้สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ร้ายแรงกับหวังเย่าได้ แต่เพราะโล่เงาให้ความอมตะกับเขา 3 วินาที เขาจึงไม่เป็นอะไร
หวังเย่าปาดเลือดที่มุมปากแล้วพุ่งไปที่ด้านหลังของแฟนธอม ก่อนที่ทั้งสองจะพากันมุ่งหน้ากลับไปยังแนวหลังของกองกำลังดวงดาว
เมื่อเห็นหวังเย่าบาดเจ็บ แฟนธอมก็ได้พาหวังเย่าหนีออกไป ดังนั้นเอไนน์จึงไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ เธอก็รีบกลับไปคอยคุ้มกันหวังเย่าทันที
“ไล่ตามไป ! ” คีปิงตะโกนขึ้นมา
“เดี๋ยว ! ” โปโปวิชยกมือขึ้นห้าม
“ผู้การ ? ” คีปิงแปลกใจ
“หวังเย่าจะลากกองกำลังของเราออกไป เราจะเสียเปรียบได้ การไล่ตามเขาไปก็มีแต่เราที่จะตายเปล่า ๆ ”
“แต่ถ้าไม่ฆ่าหวังเย่าในตอนนี้ ผมกลัวว่าเราคงมีปัญหาตามมาแน่”
“นายคิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าเด็กนั่นมีความสามารถแค่ไหน ? อย่าคิดว่าเด็กนั่นแกร่งพอ ๆ กับนาย แม้ว่าเขาจะดูเหมือนบาดเจ็บ แต่อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย เขาแค่แสร้งทำ ถ้านายประมาท เขาสามารถฆ่านายได้ นายเชื่อฉันรึเปล่าล่ะ ? ”
“ แต่…”
“ไม่ เขาแสร้งทำ ต่อหน้าคนของเราที่มากแบบนี้ เขายังหนีออกไปได้และล่อพวกเราให้เข้าไปที่รังของเขา นายคิดว่านายจะได้ประโยชน์อะไรหากตามเข้าไป ? ”
โปโปวิชอธิบายจบก็ได้กลับไปที่ห้องรับรอง
…
บนยานหลักของกองกำลังดวงดาว
กองทัพที่นำโดยอัลเฟรด, นอร์แมน, โอพีเลย และเจนกิ้น ได้รับชัยชนะกลับมา จนตอนนั้นเองที่พวกเขาพบหวังเย่าที่ตัวเต็มไปด้วยบาดผลกลับมาที่ยานหลัก
“หวังเย่า นายบาดเจ็บหนักงั้นหรือ ? ” โอพีเลียถามขึ้นมาด้วยความกังวล
“ฉันเกือบตายแล้ว แต่ฉันเป็นอมตะ 3 วินาที ฮ่าฮ่า…” หวังเย่าพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เขากินหญ้าฟื้นฟูพร้อมกับร่างกายที่เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาทันที
อัลเฟรดเดินเอามือไขว้หลังเข้ามา “ต้องขอบคุณนายด้วยหวังเย่า จากที่ตอนแรกเราเสียเปรียบ แต่นายสามารถทำให้เราได้เปรียบได้ เดาว่าคงอีกไม่นานที่เราจะเอาชนะโปโปวิชได้ ”
“ผู้การ จะให้ดีเดี๋ยวผมกับเจนกิ้นและคนอื่น ๆ จะนำทีมพิเศษเข้าไปจัดการกับโปโปวิชเอง” นอร์แมนพูดขึ้นมา
“ไม่มีประโยชน์ ตะกี้นี้หวังเย่าได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่มีคนแบบคีปิงอยู่ด้วยเลย ซึ่งทำให้เรายิ่งหมดโอกาสเข้าไปอีก” อัลเฟรดพูดออกมาพร้อมกับคิ้วที่ขมวด
เจนกิ้นพึมพำออกมา “ผู้ดูแลอีกฝ่ายโดนหวังเย่าจัดการไปแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นดูจะเท่าเทียมกันแต่ยิ่งสู้นานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้น ยังไงซะอุปกรณ์ของพวกนั้นก็ดีกว่าของเรา”
หวังเย่านั่งลงและพูดขึ้นมา “ถ้าเอาชนะแบบซึ่งหน้าไม่ได้ งั้นก็ต้องคิดหาทางอื่น”
โอพีเลียตาเป็นประกายแล้วพูดขึ้นมา “หวังเย่า นายมีวิธีที่ดีงั้นหรือ ? ”
หวังเย่าค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “ในบ้านเกิดของฉัน มันมีกลยุทธที่เรียกว่ากลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว [1] ซึ่งคือเราควรล่อศัตรูออกมาทีละนิด ๆ ”
“นายจะบอกว่า…นายจะไปล่อพวกนั้นงั้นหรือ ? ” อัลเฟรดถามขึ้นมา
“ถูกต้อง ผมจะไปที่ดาวนั้นและทำเหมือนที่พวกมันทำ ! ” หวังเย่าพยักหน้า
นอร์แมนคิ้วขมวด “แม้ว่านายจะหารูหนอนไปที่ดาวนั้นได้ แต่ฉันกลัวว่ามันคงยากที่จะเป็นภัยต่อทั้งดาวด้วยความสามารถที่นายมี ? ”
ทุกคนต่างก็พยักหน้า
หวังเย่ายิ้มออกมา “ดิวสามารถสร้างค่ายกลเพื่อทำลายกฎโลกของดาวทมิฬได้ ฉันเองก็ทำได้เหมือนกัน”
นอร์แมนหรี่ตาลง “แต่มันไม่ง่ายเลย มันต้องใช้แร่แม่เหล็กจำนวนมาก ถ้าไม่ได้ตรวจสอบจุดอ่อนของพวกนั้น มันอาจจะใช้เวลา 40-50 ปี มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้ในทันที”
หวังเย่าส่ายหน้า “ฉันคิดว่ามันยากแต่ตั้งแต่ที่ฉันศึกษาค่ายกลทั้ง 12 อันที่ดิวทิ้งเอาไว้ ฉันคิดว่ามันคงไม่ยากที่จะสร้างมันขึ้นมากับการที่ฉันมีหินกฎไฟระดับ 120 แต่ดาวเฟนเซอร์น่ะอยู่แค่ระดับ 110 เท่านั้น”
อัลเฟรดตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “นายทำได้จริง ๆ หรือ ? ”
“คุณคิดว่าผมพูดเล่นรึไง ? ” หวังเย่ายิ้มออกมา
เขามองไปรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคงต้องให้ทุกคนยื้อแนวป้องกันเอาไว้ ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
“แฟนธอม นายรอฉันติดต่อ เตรียมพร้อมเปิดรูหนอนไปที่ดาวเฟนเซอร์” หวังเย่าบอกกกับแฟนธอม ก่อนที่ตัวเองกำลังจะเดินทางกลับไปยังดาวทมิฬ
“พี่เย่า นายมั่นใจหรือ ที่จะไม่ให้ฉันไปด้วย ? ”
“ฉันไม่ได้ไปสู้ นายอยู่ที่นี่ค่อยปกป้องทุกคนเถอะ”
“ก็ได้” แฟนธอมพยักหน้า
“หวังเย่า นายดูแลตัวเองด้วย ! ” ทุกคนต่างก็พากันเดินไปส่งหวังเย่าที่ยาน
ปล. กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว หรือ เหวยเว่ยจิ้วจ้าว เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์นี้ใช้กับการที่ศัตรูรวบรวมกำลังทหารและไพร่พลไว้เป็นจุดเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดกำลังและความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น กลยุทธ์นี้เป็นการดึงแยกศัตรูให้แตกออกจากกัน เพื่อให้กำลังไพร่พลทหารกระจัดกระจาย ศัตรูจะคอยระแวดระวังมีความห่วงหน้าพะวงหลังแล้วจึงบุกเข้าโจมตี ตามความหมายของตำราพิชัยสงครามคือ การบุกเข้าโจมตีในจุดที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โจมตีในจุดที่ศัตรูไม่ได้เตรียมการตั้งรับและคอยระวังป้องกัน ย่อมถือว่าได้เปรียบและได้รับชัยชนะมาแล้วครึ่งหนึ่ง