ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 489 ขัดแย้ง
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงถอนพระปัสสาสะตรัสว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ! ดัง คํากล่าวที่ว่า ต้นไม้ใหญ่แยกกิ่งก้าน คนเติบใหญ่แยกบ้าน พวกลูกๆ เติบใหญ่ ต่างคนต่างก็มี ความคิดเป็นของตัวเองกันแล้ว พวกเรายังจะดึงลากพวกเขาไปมาได้อีกหรือ” นํ้าเสียงฟังดูเห็นอก เห็นใจเล็กน้อย
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันแดงเรื่อขึ้นในทันใด กล่าวขึ้นว่า “เหตุผลนี้แหละเพคะ! ดังนั้นชื่อเสียงแย่ๆ นี้ก็ให้ข้าแบกเอาไว้ก็แล้วกัน บรรดาผู้ตรวจราชการเหล่านั้นจะได้ไม่เอาไป วิพากษ์วิจารณ์ลับหลังเพคะ”
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงสดับฟังแล้วทรงย่นพระขนงขึ้น
โจวเสาจิ่นอดหัวใจกระตุกไม่ได้ ได้ยินแต่ฮูหยินเผิงเฉิงผู้นั้นร้องขึ้นมาในทันใดว่า “ใช่แล้ว เพคะ! ผู้ตรวจราชการเหล่านั้นกินข้าวแล้วไม่มีอะไรทํา เอาแต่คอยจับตาดูหลังบ้านของผู้อื่นไม่ วางตาทั้งวัน ปีนี้ฤดูใบไม้ผลินํ้าล้นตลิ่งที่แม่นํ้าเหลือง ฤดูร้อนนํ้าแล้งหนักที่เจียซิง พวกเขาไม่คิด วิธีช่วยแบ่งเบาภาระให้ฝ่ าบาท ในทางกลับกันวันๆ เอาแต่ฟ้องร้องเรื่องนั้นฟ้องร้องเรื่องนี้ ช่างไร้ ยางอายจริงๆ!”
ชิวซื่อรีบดันถาดบรรจุขนมต่างๆ ข้างมือไปตรงหน้าฮูหยินเผิงเฉิง กล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า ท่านพูดตลอดว่าขนมกุหลาบของวังหลวงรสชาติดียิ่งนักมิใช่หรือ ท่านกินขนมกุหลาบสักชิ้นนะ เจ้าคะ”
ฮูหยินเผิงเฉิงร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง หยิบขนมกุหลาบมาชิ้นหนึ่ง ทว่าหันไปมององค์ฮองเฮา เหนียงเหนียงด้วยสีหน้าตระหนกเล็กน้อย
4546
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงทรงถอนพระปัสสาสะครั้งหนึ่ง ตรัสขึ้นว่า “ข้าจะว่าอะไรท่าน ดี ยังดีที่ที่นี่ไม่มีคนนอก อาเซิ่นก็มิใช่คนปากสว่าง หากคําพูดนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะนําความ วุ่นวายมาให้จวนเผิงเฉิงป๋ ออีกแล้ว ท่านดูอย่างอาเซิ่น ไม่ว่าจะเป็นบุตรชาย หลานชายหรือว่าจะ เป็นบุตรสะใภ้ ไม่มีสักคนที่ไร้ความสามารถและคุณธรรม ท่านไม่รู้จักเรียนรู้จากอาเซิ่นเสียบ้าง!”
ฮูหยินเผิงเฉิงมิได้กล่าวคําใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าวขึ้นว่า “ยิ่งรักมากก็ยิ่งใส่ใจมาก องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงอย่าได้ ทรงเอาเรื่องพวกนี้ไปใส่พระทัยมากเลยเพคะ ผู้ตรวจราชการเหล่านั้นผู้ใดบ้างไม่คิดใช้พระนาม ของฝ่ าบาทมาสร้างตําแหน่งหน้าที่ให้ตัวเอง พวกเขาจับตาดูจวนเผิงเฉิงป๋ อ นั่นก็เพราะจวนเผิง เฉิงป๋ อมีอํานาจและควรค่าพอ องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงควรจะรู้สึกดีพระทัยถึงจะถูกเพคะ”
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงสดับฟังแล้วก็ทรงพระสรวลออกมา ตรัสว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้อง ปลอบใจข้าหรอก ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน” จากนั้นพระนางทรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่อง อื่นว่า “เจ้าย้ายมาอยู่จิงเฉิงแล้วคุ้นชินบ้างหรือยัง ได้ยินว่านายท่านรองของพวกเจ้ายังอยู่ที่สํานัก ฮั่นหลินอยู่หรือ อยากเปลี่ยนสถานที่หนึ่งหรือไม่ สํานักฮั่นหลินแม้นจะดีแต่ก็สันโดษมากเกินไป เล็กน้อย เจ้าลองดูว่าอยากไปรับราชการต่างเมืองสักปีสองปีหรือไม่ ไปเป็นคณะข้าหลวงฝ่ าย กิจการเกลือหลวงจําพวกนั้น…”
นี่เป็นการให้ตระกูลเฉิงกอบโกยเงินทองอย่างโจ่งแจ้งเลยมิใช่หรือ
ท่านผู้นี้คือองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงจริงหรือไม่
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าความร้อนในร่างกายเดือดพล่าน เหงื่อผุดออกมาไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่แปลกใจเลยสักนิด รีบยกกายขึ้นกล่าวขอบพระทัยองค์ฮองเฮา เหนียงเหนียง กล่าวว่า “พระองค์เองก็ทรงรู้จักข้าดี เกิดอยู่จินหลิง โตอยู่จินหลิง แต่หลังจากที่แต่ง
4547
เข้าตระกูลเฉิงแล้ว เวลาโดยมากกลับอยู่ที่จิงเฉิง หากพระองค์ให้ข้าเลือก ข้ายินดีมาจิงเฉิงเพคะ มีพระองค์คอยคุ้มครอง อีกทั้งยังได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับฮูหยินเผิงเฉิง สะดวกสบายใจกว่าจินหลิงมาก ส่วนด้านของเจ้ารองนั้นถึงแม้ว่าจะสันโดษไปบ้าง ทว่าก็ เหมาะสมกับนิสัยของเขา ตอนนี้จึงให้เขาตั้งใจอยู่ที่สํานักฮั่นหลินเช่นนี้ไปก่อนอีกสักสองสามปี รอให้ผ่านไปสักสองสามปีให้เขาหนักแน่นมั่นคงขึ้นอีกสักนิด ข้าค่อยมาขอพระเมตตาจากเหนียง เหนียงให้เขาสักครั้งหนึ่งก็ยังไม่สายเพคะ” ปฏิเสธข้อเสนอขององค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงไปอย่าง สุภาพ
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงมิได้พิโรธแต่อย่างใด ทรงตรัสขึ้นยิ้มๆ ว่า “ตอนที่แม่นมเฟิ่ งเซิ่ง ยังอยู่นั้นก็บอกว่าเจ้าเป็นคนวางแผนเก่งผู้หนึ่ง ในเมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนี้ คาดว่าไม่น่าผิดพลาด อย่างแน่นอน ต่อไปต้องเข้าวังมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ถึงจะถูก ทางด้านของฮูหยินเผิงเฉิง เจ้าเองก็ต้อง ไปมาหาสู่บ่อยๆ ด้วยถึงจะถูก นางเป็นคนที่จิตใจไม่ได้คิดอะไร ทว่ามักทําให้คนขุ่นเคืองใจได้ง่าย ผู้หนึ่ง มีเจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ ข้าเองก็ไม่ต้องคอยเป็นห่วงนางทั้งวันแล้ว”
เป็นพระดํารัสที่ทําให้ฮูหยินเผิงเฉิงและชิวซื่อต่างหน้าแดงกํ่าไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่ง แล้วใหญ่กล่าวติดๆ กันว่า “มิกล้าเพคะ” กล่าวอีกว่า “ฮูหยินเผิงเฉิงเองก็เพราะมีพระองค์คอย คุ้มครองอยู่ ถึงได้ไม่เอาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหล่านั้นมาใส่ใจ อีกทั้งตอนนี้ยังมีหลาน สะใภ้ที่คล่องแคล่วอย่างชิวซื่ออยู่ด้วย จึงยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงนางแล้วเพคะ พระองค์วางใจเถิด มีชิ วซื่อปรนนิบัติอยู่ข้างกายนาง ไม่มีเรื่องเกิดขึ้นกับนางแน่นอนเพคะ”
สายพระเนตรขององค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงเคลื่อนไปตกอยู่บนร่างของชิวซื่อ ทรงตรัส ยิ้มๆ ว่า “เด็กผู้นี้ก็เป็นคนดีผู้หนึ่ง!” จากนั้นทรงคว้าถัวลิสงให้ชิวซื่อหนึ่งกํามือ ตรัสขึ้นว่า “ข้าและ ย่าของเจ้า ยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยจะคุยกันสักหน่อย เจ้ากับโจวซื่อออกไปเล่นกันเถิด!” จากนั้น คว้าเมล็ดแตงโมให้โจวเสาจิ่นหนึ่งกํามือ
4548
โจวเสาจิ่นและชิวซื่อรีบลุกขึ้นมาในทันที ย่อเขาทําความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงและ คนอื่นๆ จากนั้นถอยออกไปจากห้องโถง ไปพักผ่อนอยู่ในห้องนํ้าชาข้างห้องโถง
ชิวซื่อจึงแบ่งถัวลิสงให้โจวเสาจิ่นครึ่งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่น่าจะเป็นถั่วลิงสงของซานตง เปลือกสีแดง ด้านในของทุกๆ ฝักล้วนมีถั่วอยู่สามถึงสี่เม็ดทั้งสิ้น ถึงแม้เม็ดจะค่อนข้างเล็ก ทว่า รสชาติดียิ่ง เจ้าลองชิมดู!”
โจวเสาจิ่นเองก็แบ่งเมล็ดแตงโมให้นางครึ่งหนึ่งอย่างไม่ตระหนี่
ทั้งสองคนจึงนั่งดื่มชา กินของว่างและพูดคุยเรื่องไม่สลักสําคัญอยู่ในห้องนํ้าชา ไม่มีผู้ใด ไปเปิดหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือความน่ากลัวของวังหลวงเลย
ดื่มชาหมดไปประมาณสองถึงสามจอก มีนางกํานัลเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า กล่าว เสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน และฮูหยินซื่อจื่อของเฉิงเอินโหวล้วนมากันแล้วเจ้าค่ะ”
ชิวซื่อมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง เห็นโจวเสาจิ่นมีท่าทางนิ่งสงบคล้ายปลาไม่ดิ้นนํ้าไม่ กระเพื่อมแล้วก็เม้มปากหัวเราะออกมา ถามนางกํานัลผู้นั้นไปตรงๆ ว่า “พวกนางมาจากที่ใด หรือ”
นางกํานัลผู้นั้นเห็นนางมิได้เลี่ยงโจวเสาจิ่น จึงตอบตามตรงว่า “มาจากวังบูรพาเจ้าค่ะ”
ชิวซื่อยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ทราบแล้ว” นางกํานัลผู้นั้นจึงถอยกลับออกไป เงียบๆ
“ยามปกติฮูหยินสี่อยู่บ้านทําอะไรบ้างหรือ” ชิวซื่อสนทนากับโจวเสาจิ่นต่อ “อีกไม่กี่วัน เป็นวันเกิดของบุตรสาวข้า หากฮูหยินสี่มีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่บ้านข้าเถิด!”
โจวเสาจิ่นขานรับคํายิ้มๆ ทว่าในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องของจวนเผิงเฉิงป๋ อและจวนเฉิง เอินโหว
4549
ชาติก่อน ก็เพราะตระกูลหลินเป็นตระกูลทหารยศขั้นสี่ที่สืบทอดต่อกันมาตระกูลหนึ่ง และเป็นเพราะมีกูไหน่ไนเป็นไท่เฟยผู้หนึ่งที่พอจะพูดอะไรต่อหน้าพระพักตร์องค์ไทเฮาได้ หลินซื่อ เซิ่งเองก็เป็นคนมีผลงานดีผู้หนึ่ง ตระกูลหลินถึงได้เดินนําหน้าผู้อื่นได้ แต่ตระกูลหลินก็เทียบไม่ได้ กับตระกูลเก่าแก่หลังการก่อตั้งราชวงศ์เหล่านั้น นางเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าระหว่างจวนเฉิง เอินโหวและเผิงเฉิงป๋ อนั้นมีความขัดแย้งอะไรกัน…วันนี้เฉิงฉือต้องการสืบเรื่องที่ตระกูลเฉิงถูก กําจัดทั้งตระกูล ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์ต่อเขาหรือไม่
ไม่แปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะตําหนิว่าหยวนซื่อไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง นางแค่ตามฮูหยินผู้ เฒ่ากัวเข้าวังมาครั้งหนึ่ง ก็ค้นพบแล้วว่าระหว่างจวนเผิงเฉิงป๋ อและจวนเฉิงเอินโหวมีปัญหากัน อยู่ ถ้าหากนางได้รวมตัวกับฮูหยินเหล่านั้นบ่อยๆ เกรงว่าคงจะได้รู้มากยิ่งขึ้น
เพียงแต่ว่านางเป็นคนรักสันโดษมากเกินไป ไม่เหมือนเฉิงเจิงที่เข้าออกวังบ่อยๆ เช่นนั้น ได้…คิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกสะดุดใจขึ้นมา
หากว่าดึงเฉิงเจิงเข้ามาในเรื่องนี้ได้ จะช่วยให้เรื่องสัมฤทธิผลดีขึ้นหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางคุยสัพเพเหระกับชิวซื่อ กระทั่งมีนางกํานัลเข้ามาเชิญพวกนางไปที่ ห้องโถง บอกว่าคนของตระกูลเฉิงเอินโหวมากันแล้ว ให้พวกนางไปกล่าวทักทายครั้งหนึ่ง ทั้งสอง คนถึงเดินเคียงคู่กันไปที่ห้องโถง
ตระกูลเฉิงเอินโหวเองก็มีพื้นเพที่มิได้สูงส่งนัก เมื่อก่อนตอนที่ฮองเฮาสวี่ยังมิได้รับการ แต่งตั้งนั้น พวกเขาก็เป็นเพียงตระกูลช่างปั้นที่มีฝีมือตระกูลหนึ่งเท่านั้น ต่อมายามสู่ขอบุตรสะใภ้ หากมิใช่บุตรสาวของขุนนางที่มีอํานาจก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลขุนนางที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ใหม่ทั้งสิ้น การกระทํายังไม่สู้จวนเผิงเฉิงป๋ อด้วยซํ้า จะดีร้ายจวนเผิงเฉิงป๋ อยังรู้ว่าต้องสู่ขอหญิง สาวจากตระกูลบัณฑิตผู้หนึ่ง ทว่าจวนเฉิงเอินโหยวกลับให้ความสําคัญกับสินติดตัวของสะใภ้ มากกว่า
4550
โจวเสาจิ่นมองสตรีที่สวมทองประดับเงินกันเต็มห้องนั้นแล้วไม่อยากจะพูดคุยด้วย
กลับเป็นฮูหยินเฉิงเอินโหวที่มองนางแล้วดวงตาเป็นประกาย ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “นี่ คือสะใภ้คนเล็กของเจ้า? คุณหนูรองตระกูลโจว?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ ไม่มีความคิดจะคุยกับพวกนางเช่นกัน
ฮูหยินเฉิงเอินโหวจึงมองสํารวจโจวเสาจิ่นคร่าวๆ ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ที่บ้านของ สะใภ้คนเล็กของเจ้ายังพี่สาวน้องสาวที่อายุเหมาะสมเหลืออยู่อีกหรือไม่ หลานชายที่บ้านเดิมของ ข้ายังไม่ได้แต่งงาน เขาไม่ร้องขออะไร ขอเพียงเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามก็พอ สะใภ้คนเล็ก ของเจ้านี้หน้าตางดงามจริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกนางมีกันสามพี่น้อง พี่สาวคนโตแต่งงานแล้ว ส่วน น้องสาวปีนี้เพิ่งจะสามขวบ ล้วนไม่เหมาะสมแล้วทั้งนั้น!”
ฮูหยินเฉิงเอินโหวเจื้อยแจ้วกล่าว “น่าเสียดายๆ!”
ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว แม้แต่องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงสดับฟังแล้วสีพระพักตร์ยัง ไม่น่ามองขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถือโอกาสกล่าวอําลา
ฮูหยินเผิงเฉิงเองก็ลุกขึ้นมาด้วย
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับทรงชําเลืองทอดพระเนตรฮูหยินเผิงเฉิงครั้งหนึ่ง ตรัสขึ้นว่า “พรุ่งนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาท ประเดี๋ยวท่านไปถวายพระพรองค์รัชทายาท พร้อมกับข้าสักครั้งหนึ่ง!”
ฮูหยินเผิงเฉิงขานรับคําอย่างนอบน้อม
4551
องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงรับสั่งให้ซ่งกูกูไปส่งโจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกจากวัง
โจวเสาจิ่นเดินตามอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันไปยัดถุงเงินถุง หนึ่งให้ซ่งกูกูที่เดินเคียงคู่อยู่กับนางเงียบๆ
ซ่งกูกูเองก็มิได้เกรงใจ ยิ้มพลางพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ส่งพวกนางจนถึงปากประตู ซีจื๋อ
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นรถม้า ทั้งสองคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อม กัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เหนื่อยมากแล้วกระมัง!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ก็ได้เก็บเกี่ยวมาไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ! อีกไม่กี่วันจะ เป็นวันเกิดของบุตรสาวของสะใภ้ใหญ่ชิวผู้นั้น นางเชิญข้าไปร่วมดื่มสุราเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลาวยิ้มๆ “สุดท้ายแล้วพวกเราเป็นตระกูลบัณฑิต ใกล้ชิดกับพวกเขามากเกินไปก็ไม่ดี แต่ถ้าไม่คบหากันเลยก็ไม่ดีอีกเช่นกัน พวกเจ้าเป็นคนรุ่นเด็ก หากว่าคบหากันได้ ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า คิดว่าหากมิใช่เพราะอยากจะสืบเรื่องของตระกูลเฉิงในชาติก่อนใน กระจ่างแจ้งล่ะก็ เกรงว่านางคงไม่อยากออกไปไหนแม้แต่วันเดียว
เมื่อกลับถึงห้อง นางรีบเขียนจดหมายส่งไปให้เฉิงฉือหนึ่งฉบับ
กระทั่งได้รับจดหมายตอบกลับของเฉิงฉือ ประตูเฉาหยางก็ปัดกวาดฝุ่ น ติดยันต์ บูชา เทพเจ้าเตาไฟ เตรียมฉลองปีใหม่เล็กกันแล้ว
4552
เฉิงฉือบอกนางมาในจดหมายว่าเขาจะเร่งเดินทางกลับวันที่ยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดเดือน สิบสอง เพื่อมาฉลองปีใหม่เป็นเพื่อนนาง มีเรื่องอะไร รอพวกเขาได้พบหน้าแล้วค่อยว่ากัน
โจวเสาจิ่นดีใจอย่างลิงโลด เอาจดหมายวางทาบหน้าอกเอาไว้กว่าครู่ใหญ่ถึงได้เอาไป เก็บไว้ในกล่องไม้จันทน์แดง คอยสั่งการให้บ่าวรับใช้เอาผ้าห่มมาอุ่นและจัดเครื่องเรือนด้วยความ เบิกบานใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพิ่งกลับมาจากบ้านของใต้เท้าเผิงหัวหน้าฝ่ายเสมียนกรมการคลังซึ่งเป็น บ้านของน้องสาวฮูหยินเฟิ่ งเซิ่ง ได้ยินแล้วก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “มิใช่ว่าเมื่อสองวันก่อนเพิ่ง จะปัดกวาดฝุ่นไปเองหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องทําความสะอาดเรือนอีกแล้ว”
ปี้อวี้เม้มปากยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่านายท่านสี่จะกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทั้งประหลาดใจและดีใจ จากนั้นหัวเราะออกมา สั่งการปี้อวี้ว่า “พวกเจ้า ไปช่วยฮูหยินสี่สักหน่อย อย่าปล่อยให้นางเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียว”
ปี้อวี้ขานรับคํายิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” ด้านซอยซิ่งหลินส่งคนมาบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับฮูหยินผู้ เฒ่ากัวไปฉลองปีใหม่ทางด้านโน้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปบอกฮูหยินว่าอีกไม่กี่วันนายท่านสี่จะกลับมาแล้ว ข้าจะรอนายท่านสี่กลับมาก่อนแล้วค่อยไป”
คนที่มาเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับคําอย่างนอบน้อมแล้วถอยกลับไป
อาหารมื้อคํ่าของคืนปีใหม่เล็กของตระกูลเฉิงจึงจัดที่ประตูเฉาหยาง
กระทั่งถึงวันที่ยี่สิบหก โจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ รอเฉิงฉืออยู่ในบ้านอย่างกระวน กระวายอยู่ไม่เป็นสุข
4553
แต่จวบจวนถึงเวลาจุดโคมไฟและประตูเมืองปิดไปแล้ว พ่อบ้านที่ไปรออยู่นอกประตู เฉาหยางก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก
นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหมือนกับคืนที่เฉิงฉือออกเดินทางในวันนั้นไม่มีผิด เตียงพลันเปลี่ยนเป็นทั้งใหญ่และกว้างขวาง ทําให้นางรู้สึกหนาวเล็กน้อย