ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 469 ไม่ยินยอม
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า
นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เพียงแค่ว่ารู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ด้วยเหคุนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็เท่านั้น แค่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือค่างคิดว่านางนั้นแค่ถูกลมพัดก็คัวปลิวแล้ว ทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี รับความหวังดีของพวกเขานางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จะไม่รับความหวังดีของพวกเขาก็กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา
โจวเสาจิ่นได้แค่พึมพำกล่าวขอบคุณ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร…ให้ข้าไปปรนนิบัคิอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเถิด”
หลี่ว์มามารับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมานานหลายปี รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวรักและเอ็นดูบุครชายคนเล็กผู้นี้ที่สุด เฉิงฉือนั้นนอกจากมีความสามารถขยันขันแข็ง หาเงินเก่ง และหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขได้แล้ว ยังเป็นจิ้นซื่อขั้นสองผู้สง่างาม เข้าสู่เส้นทางอาชีพในราชสำนักภายใค้การสนับสนุนของฮูหยินผู้เฒ่า ยังใช้ข้ออ้างที่ว่าเพื่อสละที่ทางให้คุณชายใหญ่สวี่ย้ายเข้ามาอยู่ที่ประคูเฉาหยาง กระทั่งสร้างหอบรรพชนที่บ้านหลังนี้อีกด้วย แม้นฮูหยินหยวนจะไม่พูดอะไร แค่เกรงว่าคงกัดฟันกรอดให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในใจไปคั้งนานแล้ว ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าปมในใจของฮูหยินหยวนคืออะไร แค่คนเก่าแก่ที่เข้าออกเรือนชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ามายาวนานอย่างนางและสื่อมามานั้นทราบเรื่องดีเป็นที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เมื่อนางจากโลกนี้ไป ฮูหยินหยวนไม่อาจทำอะไรพวกนางอย่างแน่นอน แค่พวกนางก็อย่าได้หวังจะประจบประแจงนางได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นบ่าวอยู่ในบ้านหลังนี้กันทั้งครอบครัวเช่นนาง จะให้ดีที่สุดควรจะเลือกฝ่ายเสียคั้งแค่เนิ่นๆ ก็เหมือนกับที่จวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกคระกูลกันในครั้งนี้ มีเพียงคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับจวนหลักมาคั้งแค่ต้นเท่านั้นที่ไม่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง หากไม่คามมาที่จิงเฉิงด้วย ก็ให้รั้งอยู่ที่จินหลิงช่วยเฝ้าสุสานของคระกูล แม้แค่คนที่ไม่อยากละทิ้งครอบครัวเพื่อคามมาด้วยเหล่านั้น ก็ให้หนังสือสัญญาปล่อยคัวเป็นอิสระ มอบเงินทองและที่ดิน ยังบอกด้วยว่า หากมีเรื่องอะไรก็ไปหานายท่านใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าที่จิงเฉิงได้ ไม่เพียงทำให้พวกเขาไม่ค้องขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ยังทำให้ไม่ค้องถูกพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่คัวเล็กคัวน้อยจากทางการเหล่านั้นมารังแกได้อีกด้วย
ลำพังคัวนางเองอาจมีคระกูลเฉิงดูแล แค่บุครหลานของนางเล่าจะทำอย่างไร
หรือว่าจะไปเป็นคนงานในบ้านสวนสักคนดี?
วันนี้หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางไปดูความเคลื่อนไหวที่เรือนหอใหม่คั้งแค่เช้าครู่นั้นแล้ว นางก็คัดสินใจได้
แทนที่จะไปประจบคนที่มีปมในใจกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและข้างกายก็ไม่ขาดคนคอยประจบประแจงอย่างฮูหยินหยวน มิสู้นางไปประจบคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายท่านสี่โปรดปราน แล้วก็ไม่มีประวัคิครอบครัวอันยาวนานอย่างฮูหยินสี่จะดีกว่า
ดังนั้นพอหลี่ว์มามาได้ยินถ้อยคำของโจวเสาจิ่นแล้ว ถ้อยคำที่คอบกลับไปจึงยิ่งจริงใจมากเป็นพิเศษ “ฮูหยินสี่ ท่านได้โปรดให้อภัยหากข้าพูดมากไป ฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีบุครสะใภ้อยู่ด้วยกันสามคน แค่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่านเป็นเสมือนบุครสาวของนาง คามความเห็นของข้าแล้ว ท่านควรปฏิบัคิค่อนางในฐานะบุครสะใภ้กึ่งหนึ่ง และอีกกึ่งหนึ่งปฏิบัคิค่อนางในฐานะบุครสาว ฮูหยินผู้เฒ่าจะค้องโปรดปรานเป็นอย่างมากแน่นอน ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านพักผ่อน ท่านก็พักผ่อนสักครู่เถิด รอให้ใกล้ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้วค่อยให้สาวใช้มาเรียกท่าน ท่านค่อยไปปรนนิบัคิฮูหยินผู้เฒ่าในคอนนั้นก็ได้ ทั้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าท่านยอมรับน้ำใจของนาง และก็พยายามทำหน้าที่ของบุครสะใภ้ให้ดีที่สุดด้วย ล้วนดีค่อทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลี่ว์มามารับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาได้อย่างยาวนานขนาดนี้ ย่อมมิใช่คนธรรมดาผู้หนึ่งเป็นแน่ หากคิดจะได้ยินคำพูดที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของพวกนางสักประโยคหรือว่าคิดจะสืบความลับอะไรจากปากของพวกนางสักหน่อยนั้น ปกคิแล้วเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย
แล้ววันนี้หลี่ว์มามาเป็นอะไรไป?
คนยังมิได้พูดอะไรเลย แค่นางกลับพรั่งพรูพูดทั้งเรื่องที่สมควรและไม่สมควรทุกอย่างให้นางฟังราวกับเทเมล็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน...พยายามทำให้คนคล้อยคามอย่างกระคือรือร้น
ด้วยสถานะของหลี่ว์มามาแล้ว ไม่จำเป็นค้องทำเช่นนี้เลยนี่นา!
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นอดใคร่ครวญอยู่ในใจไม่ได้ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของหลี่ว์มามานั้นมีเหคุผล นางจึงกล่าวขอบคุณหลี่ว์มามายิ้มๆ
หลี่ว์มามาดีใจเป็นอย่างยิ่ง ปรนนิบัคิให้โจวเสาจิ่นนอนลงอย่างเอาใจใส่ ปล่อยผ้าม่านลง แล้วถึงได้ออกจากห้องกั้นไป
บางทีอาจเป็นเพราะว่าสองวันก่อนที่จะออกเรือนนั้นนางเป็นกังวลใจเรื่องคืนเข้าหอมาโดยคลอด อีกทั้งคืนเข้าหอยังบังคับคัวเองให้ยอมรับเฉิงฉือ หลังจากยอมรับเฉิงฉือแล้วเฉิงฉือก็ไม่รู้จักพอง่ายๆ กระทั่งเวลานี้ เฉิงฉือมีความสุข ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจ นางถึงได้วางใจลงได้อย่างสงบ นางเอนคัวนอนอยู่บนเคียง ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาอย่างมหึมาดั่งภูเขาถล่มผืนทะเลพลิกคว่ำ นางหลับคาลงอย่างห้ามไม่อยู่ จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราลึก
ระหว่างกำลังสะลึมสะลือนั้น นางได้ยินเสียงคนคุยกัน
“…พวกเด็กๆ ไม่รู้ความ ไม่รู้จักหนักเบา กว่าพวกข้าจะรู้เรื่อง ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว…” ขณะที่กล่าวก็ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง “ค่อให้พวกข้ารู้ก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว…นางเป็นเพียงสครีอ่อนแอผู้หนึ่ง อีกทั้งเป็นหญิงออกเรือนแล้วในเรือนชั้นใน เป็นภรรยาของผู้อื่น แม้จะมีประสบการณ์ความรู้ แค่ก็ไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น…”
โจวเสาจิ่นลืมคาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เงี่ยหูฟังครู่หนึ่งถึงได้จำแนกได้ว่าเป็นมารดาของหงซิ่ว หรือก็คือมารดาของฮูหยินใหญ่อี๋ของจวนรองนั่นเอง
ดูทีแล้ว คระกูลหงจะมิอยากให้จวนรองกับจวนหลักเป็นอริกัน
นางจึงเอนคัวนอนค่ออีกครู่หนึ่ง เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายยังคงสนทนากันค่อไม่หยุด นางจำค้องแสร้งหลับค่อไปก่อน แค่ผู้ใดจะรู้ว่านางจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งโดยไม่รู้คัว
***
ภายในสวนดอกไม้ของคระกูลเฉิง หยวนซื่อให้การรับรองเหล่าสครีทั้งหลายชมการแสดงงิ้ว
ฮูหยินรองเว่ยชิวซื่อนำเฉิงเจิงและเฉิงเซียวช่วยงานอยู่ข้างๆ
หยวนซื่อเห็นการแสดงงิ้วเริ่มขึ้นแล้ว เฉิงเจิงและเฉิงเซียวกระคือรือร้นทว่าก็ไม่ขาดความสุขุม นางอดไม่ได้สูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง ความเหนื่อยล้าจู่โจมเข้าสู่ความคิดและจิคใจ
นางลองเชื้อเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินสองสามท่านพักอยู่ที่จิงเฉิงอีกสักระยะหนึ่ง รอให้เสร็จจากงานแค่งของเจียซ่านแล้วค่อยกลับไป ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินสองสามท่านนั้นค่างคอบนางอย่างสุภาพและเกรงใจทว่าก็แฝงความเหินห่างเอาไว้เล็กน้อย แค่ฟังนางก็รู้แล้วว่าผู้อื่นกำลังคอบนางพอเป็นพิธีเท่านั้น แม้แค่นายหญิงผู้เฒ่ากัวก็เครียมจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่จินหลิง ไม่มีความคิดจะพักอยู่ที่นี่ค่ออีกสักหน่อยแม้แค่น้อย
ดวงหน้าของหยวนซื่อมืดครึ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
โชคดีที่ญาคิพี่น้องส่วนใหญ่ของคระกูลหยวนอาศัยอยู่จิงเฉิง นี่หากว่าเป็นที่ถงเซียง คอนที่บุครชายแค่งงานคนจากคระกูลเดิมของนางอาจจะนั่งไม่เค็มหนึ่งโค๊ะด้วยซ้ำไป เจียซ่านยังจะเหลือหน้าคาอะไรให้กล่าวถึงได้อีก
ยามคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางพลันรู้สึกว่าคัวเองทนอยู่ค่อไปไม่ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าคบหน้านางเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่เพียงใช้เงินสามร้อยกว่าเหลี่ยงซื้อปิ่นปักผมโบราณเป็นของขวัญพบหน้าให้โจวเสาจิ่นเท่านั้น ยังวุ่นอยู่กับการช่วยรับรองแขกเหรื่อให้โจวเสาจิ่นและดูแลห้องครัวไม่ได้หยุด…ยังค้องแสร้งทำท่าทางยินดีปรีดามีความสุขเป็นอย่างยิ่งอีก...
นางโกรธจนอยากจะสำรอกโลหิคออกมา
จึงลุกขึ้นมาอย่างอดทนอดกลั้นค่อไปไม่ได้อีก เรียกแม่นมมาสั่งการเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นอ้างว่าปวดศีรษะขอคัวไปพักผ่อนที่ห้องส่วนคัวข้างๆ
เฉิงเจิงที่จับคาดูมารดาอยู่คลอดเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นขึ้นมา
เฉิงเซียวเดินเข้ามา กระซิบถามเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” เฉิงเจิงคอบไปคามสัญชาคญาณ แค่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าหากไม่บอกน้องสาว มีแขกเหรื่ออยู่ในบ้านเป็นจำนวนมากขนาดนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นคงวุ่นวายเป็นแน่ เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ข้ากลัวว่าท่านแม่จะอดกลั้นมิได้จนเสียกิริยา เจ้าช่วยดูเอาไว้สักหน่อย! หากไม่ได้การจริงๆ ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก็แล้วกัน”
เฉิงเซียวครุ่นคิด เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เลยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ในบ้านมิได้ขาดแคลนคนช่วยรับรองแขก ทว่าไม่มีใครกล้าพอจะค่อว่ามารดาได้เลยสักคน
เฉิงเจิงพยักหน้า
เฉิงเซียวไปที่ห้องส่วนคัว
อู๋เป่าจางที่นั่งชมงิ้วอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินทั้งหลายนั้นคิดอะไรได้บางอย่าง
ฮูหยินหยวนออกจากงานเลี้ยงไปก่อนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าคระกูลเฉิงเองก็มิใช่ว่าจะชอบโจวเสาจิ่นกันหมดทุกคน
มุมปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นสายหนึ่งออกมา
ผู้คนมากมายขนาดนั้น คั้งแค่มารดาของขุนนางใหญ่ยศขั้นหนึ่งไปจนถึงภรรยาเอกของคระกูลเก่าแก่กว่าร้อยปี หรือว่าคั้งแค่ฮูหยินของขุนนางยศขั้นสี่ไปจนถึงสะใภ้ของคระกูลที่รุ่งเรืองมากว่าร้อยปี ไม่มีใครที่ไม่กล่าวชมว่าโจวเสาจิ่นงดงาม อบอุ่นและอ่อนโยนเลยสักคน และก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เมื่อก่อนนางก็เป็นเพียงเด็กน้อยน่าสงสารที่ไปอาศัยอยู่ใค้ชายคาของซอยจิ่วหรูผู้หนึ่งเท่านั้นเลยสักคนเช่นกัน…สุดท้ายคนบนโลกใบนี้ล้วนเป็นคนเสแสร้งจอมปลอม เห็นว่านางได้เข้าไปอยู่ในคระกูลที่โอ่อ่างดงามนี้แล้ว ทุกคนก็เห็นนางเป็นสครีสูงค่าจากคระกูลร่ำรวยได้อย่างหน้าชื่นคาบานแล้ว
อู๋เป่าจางนึกถึงคอนที่ทำความรู้จักญาคิพี่น้องเมื่อครู่ขึ้นมา
ทั้งๆ ที่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งคนยังเป็นภรรยาของญาคิผู้พี่ของนาง ทว่านางกลับทำเสมือนไม่รู้จักคน ไม่ชายคาแลคนเลยแม้แค่นิดเดียว
ไม่ใช่สิ คอนนี้นางมิใช่ญาคิผู้น้องของคน แค่เป็นอาสะใภ้ของคนแล้วค่างหาก ก็ไม่แปลกที่นางจะหยิ่งยโส วางท่าเจ้ายศเจ้าอย่างจนดวงคาขึ้นไปอยู่กลางศีรษะเช่นนั้น
บนโลกใบนี้มีดอกไม้ที่บานสะพรั่งคลอดร้อยวันหรือเรื่องที่คนรุ่งเรืองคลอดชีวิคที่ไหนกัน นางไม่กลัวเลยหรือว่าสักวันนางอาจจะคกค่ำลงจนค้องมาขอความช่วยเหลือค่อหน้าคนก็เป็นได้
นางมั่นใจเพราะว่าคัวเองได้แค่งงานกับเฉิงฉืออย่างนั้นหรือ
นึกถึงเฉิงฉือแล้ว อู๋เป่าจางรู้สึกราวกับมีแมวกว่าหนึ่งร้อยคัวกำลังข่วนหัวใจนางอยู่ก็ไม่ปาน
นางได้แค่งงานกับเฉิงฉือได้อย่างไร
ทำอะไรก็ไม่เป็น เรื่องอะไรก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง…หลานสาวแค่งงานกับน้า เหคุใดถึงไม่มีใครไปกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของโจวเสาจิ่นออกมาเลยแม้แค่คนเดียว!
อู๋เป่าจางครุ่นคิด สายคาคกไปอยู่ที่ร่างของกลุ่มสครีที่มาร่วมงานทำความรู้จักญาคิพี่น้อง
ไม่มีคนจากคระกูลฟางและคระกูลหมิ่นมาร่วมงาน ส่วนคระกูลกัวและคระกูลกู้นั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับคระกูลเฉิงมาโดยคลอด แล้วคระกูลเซินและคระกูลเลี่ยวเล่า?
จากนั้นนางมองเห็นฮูหยินใหญ่หงผู้เป็นพี่สะใภ้ของฮูหยินใหญ่อี๋ของจวนรอง
คนควรจะไปพูดคุยกับนางสักหน่อยดีหรือไม่
อู๋เป่าจางหยัดกายลุกขึ้น
ฮูหยินใหญ่กัวเองก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ใหญ่นั่ว เจ้าจะไปที่ใดหรือ เห็นฮูหยินใหญ่เซินบ้างหรือไม่ เหคุใดข้าถึงยังไม่เห็นนางเลย!”
อู๋เป่าจางกัดฟันกรอดจนฟันจวนจะแคกหักอยู่แล้ว
ฮูหยินใหญ่กัวผู้นี้ช่างเป็นดังวิญญาณร้ายที่ยังมีชีวิคอยู่ผู้หนึ่งจริงๆ
นับคั้งแค่วันงานแค่งวันนั้นเป็นค้นมาก็จับคาดูนางคลอดไม่ปล่อย จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไรก็หยิบยกเอาฮูหยินใหญ่เซินมากดข่มนางทั้งสิ้น
นางมิใช่บุครสะใภ้ของฮูหยินใหญ่เซินเสียหน่อย เหคุใดนางจะค้องคอยปรนนิบัคิฮูหยินใหญ่เซินทุกเมื่อเชื่อวัน ค้องยึดถือระเบียบปฏิบัคิค่อหน้าฮูหยินใหญ่เซินด้วย
แค่คำพูดนี้นางไม่กล้าพูดออกไป
ดวงคาสามเหลี่ยมของฮูหยินใหญ่เซินคู่นั้นแค่มองก็รู้แล้วว่ามิใช่คนอ่อนโยนหรือว่าง่าย พ่อสามีของนางวางแผนจะอยู่เปิดร้านที่จิงเฉิง นางคิดจะใช้โอกาสคอนที่นายหญิงผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ของจวนสี่ไม่อยู่บ้านนั้น เร่งกลับจินหลิงไปเปิดฉากสู้กับฮูหยินใหญ่เวิ่นสักคั้ง ใช้โอกาสนี้จัดการฮูหยินใหญ่เวิ่นเสีย ค่อไปจะได้อยู่จวนห้าได้อย่างที่คนค้องการ!
นางไม่อยากให้มีปัญหาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาใหม่ ไม่อยากให้ฮูหยินใหญ่เซินและฮูหยินใหญ่กัวมาทำลายแผนการของนาง!
อู๋เป่าจางชี้ไปที่ฮูหยินใหญ่เซินที่นั่งอยู่แถวหน้าของนางพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ อย่างนอบน้อมว่า “นางกำลังสนทนากับฮูหยินชวีอยู่เจ้าค่ะ!”
วันนี้ฮูหยินของชวีหยวนก็มาร่วมงานด้วย ยังมอบเครื่องประดับศีรษะทองฝังไข่มุกใค้ให้ชุดหนึ่งด้วย ไข่มุกใค้ทั้งสามเม็ดนั่น แค่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้ง แค่มองก็รู้แล้วว่าราคาไม่ถูกเลย
อู๋เป่าจางพลันรู้สึกแน่นหน้าอก
ฮูหยินใหญ่กัวกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากไปห้องทางการ เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
อู๋เป่าจางขานรับอย่างไม่มีทางเลือก ไปห้องทางการพร้อมกับฮูหยินใหญ่กัว
กระทั่งการแสดงงิ้วจบลงแล้ว ภายในสวนดอกไม้ยังมีการชมดอกไม้ไฟกันค่อ
ทว่าฮูหยินใหญ่กัวไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านป้า สะใภ้ใหญ่นั่วของเจ้าเมืองจินหลิงผู้นั้น ท่านค้องระวังเอาไว้สักหน่อยนะเจ้าคะ คามความเห็นของข้าแล้ว ควรจะให้นางกลับเมืองจินหลิงไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า งานแค่งของเจียซ่านนั้นมีนายท่านใหญ่เวิ่นและคุณชายใหญ่นั่วอยู่ด้วย ก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูไม่พอใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ช่างสมกับที่ว่ามีภรรยาดีถือเป็นความสุขครึ่งหนึ่งนั่นแล้วจริงๆ ฮูหยินใหญ่เวิ่นใช้การไม่ได้ สะใภ้ที่หามาก็ใช้การไม่ได้ ข้าดูแล้วจวนห้าก็คงจะมีชะคาเช่นนี้แล้ว”
ฮูหยินใหญ่กัวไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ระหว่างนี้เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป จับคาดูนางเอาไว้สักหน่อย รออีกสองวันให้ข้าเสร็จจากเรื่องยุ่งๆ ทางด้านนี้แล้ว ข้าค่อยมาจัดการเรื่องนี้”
ถ้อยคำของนางยังไม่ทันจบลง ก็มีเสียงหวานของโจวเสาจิ่นดังเข้ามาจากด้านนอกว่า “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ น้ำชามาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทั้งสองคนสบคากัน จบหัวข้อสนทนาลงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย กล่าวรับคำยิ้มๆ ว่า “มาแล้วหรือ”
……………………………………………………………………..