ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 468 ทำความรู้จักญาติพี่น้อง
คำตอบของเฉิงฉือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มจนตาหยี กระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานนางว่า “ท่านแม่” นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็อดทนต่อไปไม่ได้อีก กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้กล่าวชมนางอย่างโปรดปรานว่า “เด็กดี” แล้วบอกโจวเสาจิ่นเสียงอบอุ่นว่า “รีบไปหอบรรพชนกับเจ้าสี่เถิด เสร็จจากทำความรู้จักญาติพี่น้องแล้ว จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนข้า”
โจวเสาจิ่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
หลี่ว์มามาจะต้องเป็นคนทำหน้าที่ไปแอบฟังห้องหอของบ่าวสาวผู้นั้นแน่ๆ
ชาติก่อน ตอนที่นางและหลินซื่อเซิ่งแต่งงานกันนั้น อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าในใจของหลินซื่อเซิ่งยังมีคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นอยู่ นายหญิงผู้เฒ่าหลินจึงทำหน้าที่ดักฟังห้องหอของบ่าวสาวด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนค่อยๆ ออกจากเรือนหลักของลานทิงเซียงช้าๆ
เฉิงฉือเรียกเกี้ยวมาให้จริงๆ พานางที่นั่งอยู่บนเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชนไปด้วย กล่าวสนทนากับนางไปด้วยว่า “…ตอนที่เจ้าแวะมาเมื่อหลายวันก่อนนั้นลานทิงเซียงยังสร้างไม่เสร็จดี ตั้งใจไว้ว่าจะเอาไว้ให้เจ้าใช้รับรองสหายสนิทในยามปกติ พอท่านแม่ย้ายเข้าไปอยู่ข้าจึงเพิ่มระเบียงบริเวณด้านหน้าของเรือนหลัก ทำเป็นโถงรับรองสักห้องหนึ่ง รอให้แขกเหรื่อในบ้านกลับไปและท่านแม่ย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนเฮ่อโซ่วถังแล้ว นอกจากจะใช้ที่นั่นเป็นที่รับรองแขกสตรีแล้ว เจ้ายังใช้ที่นั่นเป็นที่อบรมให้คำชี้แนะบรรดาภรรยาของพ่อบ้านได้อีกด้วย…หอบรรพชนนั้นเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ พวกเราเป็นสามีภรรยาคู่แรกที่ได้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่นั่น…”
รอให้ต่อไปเมื่อพวกเขาแก่ชราและจากไปแล้ว ป้ายวิญญาณก็จะถูกบรรดาบุตรหลานนำไปตั้งในหอบรรพชนและได้รับการกราบไหว้จุดธูปเทียนจากคนรุ่นหลังสืบต่อไปเช่นกัน
พวกเขาจะครองคู่กันอย่างกลมเกลียวในบ้านหลังนี้ และมีบุตรหลานมากมายในบ้านหลังนี้เช่นกัน จะมีกันและกันไปจนแก่เฒ่า…
คิดเช่นนี้แล้ว เฉิงฉือพลันรู้สึกว่าทัศนียภาพตรงหน้านี้ดูงดงามขึ้นมาในทันใด
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
นางนั่งอยู่บนเกี้ยว ทว่าเฉิงฉือกลับประคองเกี้ยวเดินอยู่ข้างๆ นาง นางเงยหน้าขึ้นเป็นภาพวิวทิวทัศน์อันงดงามของขุนเขาและทะเลสาบของเรือนชั้นใน ทว่าเมื่อก้มหน้าลงกลับเห็นเพียงเส้นผมดำเงางามและปิ่นหยกขาวลายดอกบัวที่เสียบมวยผมของเขาเอาไว้เท่านั้น
ราวกับนั่งอยู่บนหัวไหล่ของเฉิงฉือก็ไม่ปาน
นางยิ่งกลัวว่าจะถูกผู้อื่นพบเห็นเข้า
เนื่องด้วยงานแต่งของพวกเขา ญาติสนิทมิตรสหายเก่าแก่ของตระกูลเฉิงที่มาร่วมงานได้ล้วนมากันเกือบหมด คนที่มาไม่ได้ก็พยายามหาทางมาให้ได้ เนื่องจากส่วนมากล้วนมิได้อาศัยอยู่ที่จิงเฉิง ทั้งหมดจึงพักอยู่ที่เรือนตะวันออก พวกเขาจะไปหอบรรพชน จึงต้องเดินผ่านเรือนตะวันออก
นี่หากว่าถูกผู้คนพบเห็นเข้า นางคงหนีไม่พ้นข้อครหาว่าเป็นคนเอาแต่ใจและนิสัยแย่ผู้หนึ่งเป็นแน่ และหากพูดให้ลึกลงไปอีก อาจถึงขั้นถูกพูดต่อไปว่าเป็นคนหยิ่งทะนงชอบบงการ ไม่เคารพผู้อาวุโส เช่นนั้นชีวิตนี้นางอย่าได้คิดจะมีที่ให้ยืนได้แล้ว
ต่อให้นี่จะเป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดเตรียมเอาไว้ให้ แต่นางก็คงไม่อาจอธิบายให้ทุกคนฟังทุกครั้งที่พบหน้าหรอกกระมัง
ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะคิดว่านี่นางกำลังถือขนไก่แสดงอำนาจนึกว่าเป็นลูกธนู ยิ่งปกปิดก็ยิ่งทำให้เรื่องแจ่มชัดมากขึ้น
นางโน้มตัวไปสะกิดไหล่ของเฉิงฉือเบาๆ กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “นายท่านสี่ ข้า…ข้าลงไปเดินเองดีกว่า! ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือรู้ว่านางขี้กลัวและระมัดระวัง รู้ว่านางไม่คุ้นชิน แล้วเขาจะทนทำให้นางลำบากใจได้อย่างไร
แต่จะให้นางเดินไปที่หอบรรพชนด้วยสภาพเช่นนี้ เขาก็กลัวว่านางจะไม่ไหวจริงๆ
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องกล่าวโทษที่เขาไม่รู้จักพอ
แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะหนักหนาถึงเพียงนี้
มาเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว
เฉิงฉือกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “รอให้ถึงหน้าประตูหอบรรพชนก่อนพวกเราจะเดินเข้าไปกัน”
นี่ถือเป็นการให้เกียรติและเคารพบรรพบุรุษด้วย
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก
กระทั่งถึงหน้าธรณีประตูสีดำของหอบรรพชนแล้ว เฉิงฉือประคองโจวเสาจิ่นลงจากเกี้ยว ทั้งๆ ที่รู้ว่านางต้องเดินเข้าไปด้วยตัวเอง แต่ก็ยังคงถามขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าไหวหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเขินอายยิ่งนัก ไหนเลยจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้กับเขา พยักหน้าให้ส่งๆ ด้วยความอับอาย
เฉิงฉือยิ้มพลางเดินเข้าไปในหอบรรพชนพร้อมกับนาง
คนที่ช่วยเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บูชาอยู่ภายในหอบรรพชนคือพ่อบ้านใหญ่ฉิน
เขามองเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นด้วยความปลาบปลื้มใจ แบ่งธูปและเทียนยื่นส่งให้พวกเขา นำพวกเขาไปโขกศีรษะต่อหน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ
ภายในหอบรรพชนยังอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันเคลือบมะเยาหิน ป้ายวิญญาณก็เพิ่งทำมาใหม่ ขาดรายละเอียดของตระกูลเก่ากว่าร้อยปีและความขึงขังของพิธีการที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเดือนปีนั้นไป
พ่อบ้านใหญ่ฉินทอดถอนใจแล้วก็อดไม่ได้กล่าวกับเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้นว่า “เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว เจ้าต้องพยายามขยายกิ่งก้านใบออกไปอย่างขยันขันแข็ง ช่วยกันเอาใจใส่ดูแลและขยับขยายตระกูลเฉิงกับพวกพี่ๆ ถึงจะถูก”
เฉิงฉือขานรับคำว่า “ขอรับ” เสียงหนึ่งอย่างนอบน้อม
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเขามิใช่บ่าวรับใช้ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลเฉิงและเป็นศิษย์พี่ของเฉิงฉือด้วย หากไม่มีตระกูลฉิน บางทีอาจจะไร้ซึ่งตระกูลเฉิงในวันนี้แล้วก็เป็นได้
นางรีบยอบกายทำความเคารพตามไปด้วยอย่างนอบน้อม
นัยน์ตาของพ่อบ้านใหญ่ฉินเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาให้เห็น
ระหว่างเดินทางกลับโจวเสาจิ่นยืนกรานจะเดินด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเองก็มิได้บีบบังคับนาง
โชคดีที่ห้องโถงหลักอยู่ไม่ไกลจากหอบรรพชน ตอนที่โจวเสาจิ่นให้กำลังใจตัวเองว่าอย่าหยุดเดินเป็นครั้งที่สามนั้น ก็ถึงห้องโถงหลักพอดี
พื้นหินสีดำ กำแพงสีขาวขุ่น สันหลังคาสีเทา แผ่นป้ายสีดำเงาเขียนตัวอักษรสีทองสามตัวว่า ‘ผานจงถัง’ โถงแห่งตระกูลที่แข็งแกร่งเอาไว้
อักษรสามตัวนี้เฉิงจิงเป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง
เป็นตัวอักษรตามแบบฉบับของราชสำนัก
แต่อักษรตัวใหญ่ ดูอิ่มเต็มสมบูรณ์ งดงามอ่อนโยน ดูยิ่งใหญ่มีพลัง
นี่คือชื่อเรียกบ้านของจวนหลักในปัจจุบัน
เอามาจาก ‘พงศาวดารจักรพรรดิเหวินผู้ทรงธรรม’ มีความหมายว่าบุตรหลานรุ่งโรจน์เจริญรุ่งเรือง วงศ์ตระกูลแข็งแกร่งดุจหินผา
โจวเสาจิ่นนึกถึงคำกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าของพ่อบ้านใหญ่ฉินเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ลอบรู้สึกดีใจอยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่ โชคดีที่ร่วมหอกับนายท่านสี่แล้ว ไม่อย่างนั้นบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายที่ตั้งความหวังเอาไว้กับเฉิงฉืออย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านี้จะผิดหวังมากเพียงใด!
“มาแล้วเจ้าค่ะมาแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวมากันแล้วเจ้าค่ะ!” มีบ่าวรับใช้ร้องตะโกนอย่างดีใจ ในน้ำเสียงเผยความยินดีออกมาหลายส่วน
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้รู้สึกเบิกบานตามขึ้นมาด้วย
นางยิ้มพร้อมกับเดินตามเฉิงฉือเข้าไปในห้องโถงหลัก
ภายในห้องมืดสลัวแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ด้านตะวันออกเป็นนายท่านและคุณชายทั้งหลาย ส่วนทางด้านตะวันตกเป็นฮูหยินและสะใภ้ทั้งหลาย ตรงกลางมีเก้าอี้มีเท้าแขนว่างเปล่าตั้งอยู่หนึ่งคู่ ซ้ายและขวามีบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างละหนึ่งคน
สตรีผู้นั้นคือคนที่โจวเสาจิ่นไม่มีทางจำผิดแม้จะมองจะที่ไกลๆ ก็ตาม ซึ่งก็คือหยวนซื่อนั่นเอง
นางสวมเสื้อแขนกว้างทงซิ่วเอ่าสีแดงสดทอลายด้วยสีทอง ประดับปิ่นวงแหวนของฮูหยินขั้นสามเอาไว้ มองเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
ส่วนบุรุษสวมชุดจิ่นเผาตัวยาวสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคล หน้าตามีความคล้ายคลึงเฉิงฉือห้าถึงหกส่วน อากัปกิริยาสง่างามสมเป็นบัณฑิต สีหน้าดูอบอุ่น ทว่าดวงหน้ากลับมีสง่าราศีที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับเฉิงจิงคนที่อยู่ในความทรงจำของโจวเสาจิ่นผู้นั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ
พอเห็นพวกเขาเข้ามา เขาก็หันมายิ้มให้พวกเขาอย่างพึงพอใจยิ่ง
มีโฆษกของพิธีการกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ผู้มาใหม่ทำความเคารพนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว…ค่อยยกน้ำชาให้พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่!”
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นจึงคุกเข่าลงบนเบาะรองที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วคำนับทำความเคารพเก้าอี้มีเท้าแขนที่หุ้มด้วยผ้าแพรสีแดงปักลายดอกไม้ จากนั้นยกน้ำชาทำความเคารพเฉิงจิงและหยวนซื่อ
เฉิงจิงและหยวนซื่อรับจอกชามาจิบเป็นพิธีคำหนึ่งแล้วมอบของขวัญพบหน้าให้
ส่วนโจวเสาจิ่นมอบรองเท้าและถุงเท้าเป็นของขวัญตอบแทน
ซางมามาและปี้อวี้ยืนช่วยพวกเขาอยู่ข้างๆ คนหนึ่งรับผิดชอบช่วยส่งรองเท้าและถุงเท้า ส่วนอีกผู้หนึ่งรับผิดชอบรับของขวัญพบหน้ามาเก็บเอาไว้ ยังต้องแอบท่องจำด้วยว่าใครเป็นคนมอบของขวัญพบหน้าเหล่านั้นอีกด้วย เพื่อรอกลับไปลงบัญชีที่เรือนหอ ต่อไปเมื่อต้องไปมาหาสู่กับคนเหล่านี้จะได้ใช้เป็นบรรทัดฐานในการมอบของขวัญให้พวกเขาได้
โชคดีที่สถานะของเฉิงฉือค่อนข้างสูง คนที่รับการคำนับจากพวกเขาได้มีไม่มาก ยิ่งเฉิงเซ่าเป็นคนจิตใจดี สายตาที่มองโจวเสาจิ่นจึงเต็มไปด้วยความรักความเมตตา ส่วนบรรดาคนรุ่นเดียวกันและรุ่นเด็กกว่านั้น โจวเสาจิ่นเพียงต้องยืนย่อเข่าให้อยู่ตรงนั้นหรือไม่ก็ยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้าให้ก็พอแล้ว
เหมือนกับที่เฉิงเจียกล่าวมา หยวนหมิงสามีของเฉิงเซียวนั้นเป็นคนตลกขบขันชื่นชอบการหยอกล้อมากเป็นพิเศษ ยามผู้อื่นแต่งงานอย่างมากที่สุดก็กล่าวแสดงความยินดีเพิ่มมาอีกสักประโยคเท่านั้น ทว่าเขากลับกล่าวหยอกเย้าเฉิงฉือยิ้มๆ ว่า “ท่านอาฉือขอรับท่านอาฉือ ท่านจะให้ข้ายอมได้อย่างไร อาสะใภ้ช่างเด็กเกินไปแล้ว รอให้ถึงตอนที่ข้าพาบุตรสาวกลับมาเยี่ยมบ้านนั้น มิต้องช่วยเลี้ยงน้าหญิงและน้าชายตัวน้อยในเปลหรือขอรับ”
หยวนเปี๋ยอวิ๋นก้าวออกมาตบท้ายทอยของเขาไปฝ่ามือหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “บุตรสาวของเจ้าอยู่ที่ใดกัน เอาแต่พูดจาเหลวไหลทั้งวันไม่มีความจริงเลยแม้แต่ข้อเดียว”
หยวนหมิงนั้นรูปร่างสูงโปร่ง คิ้วเข้มดุจกระบี่ดวงตาสุกใสดั่งดวงดารา หน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง
เวลานี้เขากุมศีรษะทำท่าทางประหนึ่งหนูที่หวาดกลัวคนที่มีรูปร่างตรงข้ามกับเขา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ส่วนกู้ซวี่นั้น มองจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ก้าวออกมาทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมพลางขานเรียกคำหนึ่งว่า “ท่านอาสะใภ้สี่”
มีคนอายุมากกว่าตนและยังมีท่าทางสูงส่งมากขนาดนี้มาเรียกตนว่า ‘ท่านอาสะใภ้’ เช่นนี้ โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าความกดดันของตนช่างใหญ่หลวงนัก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เผิงเจ่าผู้เป็นสามีของเฉิงเซิงจึงเป็นชายหนุ่มขี้อายผู้หนึ่ง
ตอนที่เขามาทำความเคารพโจวเสาจิ่นนั้น โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง
ส่วนสหายสนิทของเฉิงฉืออย่างพวกหยวนเปี๋ยอวิ๋นและกู้จิ่วเนี่ยนั้นรู้สึกว่าจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ถึงแม้ในดวงตาของทุกคนจะแฝงรอยยิ้มหยอกเย้าเอาไว้หลายส่วน แต่ล้วนส่งตรงไปให้เฉิงฉือทั้งสิ้น เมื่อมาถึงคราวของนางก็เปลี่ยนเป็นให้เกียรติเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เมื่อทำความรู้จักพวกผู้ใหญ่ที่แต่งงานมีครอบครัวกันแล้ว ก็ถึงคราวของบรรดาเด็กๆ แล้ว
คนแรกเลยก็คือหลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิงอย่างเฉิงสวี่
เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สดใสร่าเริงก่อนหน้านี้แล้ว เฉิงสวี่ในเวลานี้กลายเป็นคนเงียบขรึมและพูดน้อย
เขามีสีหน้าเฉยชาไม่แสดงความรู้สึก ก้มหน้าก้มตาก้าวออกไปทำความเคารพเฉิงฉือและโจวเสาจิ่น รับซองแดงและรองเท้าถุงเท้าที่เฉิงฉือยื่นให้แล้วก็ถอยออกมายืนข้างๆ ทั้งไม่มองเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นเลยสักครั้ง และก็ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวด้วย
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คิดจะกล่าวทักทายเขาเช่นกัน รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
รอให้เขาถอยออกไปแล้ว ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มสดใสงดงามออกมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจากรับของขวัญจากคุณชายตระกูลกัวและคนอื่นๆ แล้ว จากนั้นก็ไปทำความเคารพฮูหยินและสะใภ้ทุกท่านที่อยู่ทางด้านตะวันตกพร้อมกับเฉิงฉือ
นางไม่รู้เลยว่าตอนที่เฉิงสวี่เงยหน้าขึ้นมามองนางนั้นสายตาของเขาดูสิ้นหวังและเจ็บปวดมากเพียงใด
วันนี้เป็นวันมงคลของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่น ผู้ใดจะยังสนใจคนรุ่นเด็กที่แอบอยู่ตรงมุมห้องผู้หนึ่งกัน?
จึงไม่มีใครในห้องโถงหลักสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาเลยสักคน
หลังจากทำความรู้จักญาติพี่น้องเสร็จแล้ว เฉิงฉือถูกรั้งให้อยู่ที่ห้องโถงหลัก ส่วนโจวเสาจิ่นถูกพาตัวไปที่ลานทิงเซียง
ปี้อวี้ร้อนใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินสี่ ข้าขอกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ วันนี้ได้รับของขวัญพบหน้ามาเป็นจำนวนมาก ข้ากลัวว่าประเดี๋ยวข้าจะจำสับสนกันเจ้าค่ะ”
แม้นผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงจะมีไม่มาก ทว่าญาติสนิทมิตรสหายเก่าแก่กลับมีเป็นจำนวนมาก
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปก่อนเถอะ! ทางด้านนี้ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยปรนนิบัติแล้ว บ่าวรับใช้ของท่านแม่ทางด้านโน้นข้าล้วนรู้จัก มีซางมามาไปกับข้าก็พอ”
ปี้อวี้พยักหน้า พาสาวใช้สองคนยกของขวัญพบหน้าของโจวเสาจิ่นกลับไปที่เรือนหอ
ส่วนซางมามาก้าวออกมาประคองโจวเสาจิ่นเอาไว้ ยังกล่าวอย่างรักษาหน้าให้นางยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินสี่ยุ่งมาทั้งเช้าคงจะเหนื่อยแล้วกระมัง ข้าจะประคองท่านเองเจ้าค่ะ!”
การประคองของนางไม่เหมือนกับของคนอื่น
แทบจะเป็นไม้ค้ำยันพานางเดินไปอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นมองนางอย่างซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง
กระทั่งไปถึงเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว มีฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่เพียงสองถึงสามท่านเท่านั้น นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว ถัดมาเป็นมารดาหม้ายของอู๋ซิ่วเจ่าหัวหน้าราชบัณฑิตหลวงสำนักฮั่นหลิน และมารดาของเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายของกรมการตรวจตราแล้ว ก็ยังมีมารดาของหงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนรองอยู่ด้วย
โจวเสาจิ่นถึงได้นึกขึ้นได้ว่า หงซิ่วพี่ชายร่วมอุทรของหงซื่อดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหมและดูแลรับผิดชอบเมืองก่วงตงและก่วงซี สอบผ่านจิ้นซื่อขั้นสองประจำปีการสอบเจี่ยซวีรัชศกหย่งชังปีที่สิบสอง เป็นสหายร่วมปีการสอบของนายท่านผู้เฒ่าเฉิงเซ่าของจวนหลัก
ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติเหล่านี้…ช่างซับซ้อนยิ่งนัก!
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
โชคดีที่ถึงแม้ความสัมพันธ์จะซับซ้อน แต่ผู้คนกลับไม่ซับซ้อนนัก
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายรับน้ำชาจากนางและมอบของขวัญพบหน้าให้นางแล้ว โจวเสาจิ่นก็ถูกหลี่ว์มามาพาไปยังห้องที่กั้นด้วยฉากกั้นในห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
“ฮูหยินผู้เฒ่าบอกเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ” หลี่ว์มามายิ้มอย่างกระตือรือร้นมากกว่าปกติหลายส่วน “ฮูหยินสี่เพิ่งแต่งเข้ามา เกรงว่าจะไม่ค่อยได้นอนพักผ่อนดีๆ นัก ที่เรียกท่านมาเป็นพิเศษนี้ก็เพื่อให้ท่านได้นอนพักอยู่ในห้องของนางสักหน่อยเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………………….