ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 462 หยั่งเชิง
“นี่ก็จริง!” สือควนกล่าวยิ้มๆ “ได้ยินว่าหยางโซ่วซานโยกย้ายแรงงานไปหนึ่งแสนคน เตรียมจะขุดลอกแม่น้ำเหลือง หากน้องจื่อชวนออกจากสำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “แรงงานหนึ่งแสนคนเป็นเรื่องที่โยกย้ายกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ นอกจากนี้ถึงแม้ฤดูหนาวปีนี้จะหนาวเย็น ทว่าเป็นปีอธิกมาสเดือนสี่ เกรงว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงเร็ว แรงงานหนึ่งแสนคนยังไปไม่ถึงแม่น้ำเหลือง ก็ใกล้จะถึงฤดูหว่านไถแล้ว…”
สือควนได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจการคำนวณปฏิทินด้วย!”
“เป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้นขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วก็ไม่ได้คำนวณได้แม่นยำอะไรเท่าไรนัก”
สือควนกล่าว “น้องจื่อชวนอยากเอาตัวเองออกมาจากเรื่องนี้หรือไม่”
“มิใช่ว่าอยากเอาตัวเองออกมาหรอกขอรับ” เฉิงฉือรินสุราให้สือควนอีกจอกหนึ่ง พลางกล่าว “เนื่องจากข้าได้รับการฝากฝังจากขุนนางใหญ่ซ่ง อย่างไรก็ไม่อาจทำให้เขาเสียน้ำใจในครั้งนี้ได้ เพียงแต่ว่าหยางโซ่วซานเพิ่งจะมารับงานต่อจากกู๋จิ่งอวี้ อยากจะสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ขึ้นมา ค่อนข้างรีบร้อนเกินไปเล็กน้อย ซึ่งมิใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก ข้าจึงอยากจะหลบเลี่ยงทิศทางลมนี้สักหน่อยก็เท่านั้น”
ความหมายโดยนัยก็คือ หยางโซ่วซานผู้นี้ดื้อรั้นหัวแข็ง ไม่ดูแลการขุดลอกแม่น้ำเหลืองในครั้งนี้ให้ดี
สือควนครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าขุนนางใหญ่หยวนเป็นญาติของพวกเจ้าหรอกหรือ เจ้าลองเดินอยู่ในเส้นสายของขุนนางใหญ่หยวนดูก็ได้นี่นา!”
เฉิงฉือยิ้มขื่น กล่าวขึ้นว่า “ขุนนางใหญ่หยวนไม่ลงรอยกับขุนนางใหญ่ซ่งขอรับ!”
สือควนได้ยินแล้วสีหน้าดูไร้ทางออกเล็กน้อยเช่นกัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ข้าช่วยเป็นด้ายประสานให้เจ้าสักเส้นดีหรือไม่ หวังจ้วนรองเจ้ากรมขุนนางกับข้าเคยติดต่อกันอยู่บ้าง มิสู้ไปหาเขาดู หาข้ออ้างหนึ่งโยกย้ายเจ้ากลับมาก่อน รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ งานที่แม่น้ำเหลืองก็เหลือไม่มากแล้ว เจ้าค่อยไปจี่หนิงตอนนั้นก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียเจ้าก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายจัดการน้ำกรมโยธา ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล” กล่าวถึงตรงนี้ เขาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว หลายปีมานี้ดอกบัวที่ราชอุทยานหลวงไท่เย่ฉือล้วนบานได้ไม่ค่อยดีนัก คนของสำนักดูแลพระราชวังให้คนของฝ่ายจัดสรรและดูแลทิวทัศน์ไปดูแล้ว บอกว่าต้องทำความสะอาด องค์ฮ่องเต้ทรงเตรียมจะให้กรมโยธามาเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ ข้าว่าเจ้ามิสู้ใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างกลับเมืองหลวงมาจัดการเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง” ขณะที่กล่าว เขาก็กดเสียงต่ำลง เอ่ยว่า “อาจจะทรงให้องค์รัชทายาทมาควบคุมดูแล และให้พระราชนัดดาพระองค์โตมาเป็นผู้ช่วย”
เฉิงฉือมิสนใจ
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าชาติก่อนตระกูลเฉิงถูกองค์ฮ่องเต้สั่งลงทัณฑ์ทั้งตระกูลเป็นต้นมา ในใจของเขาก็อัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคืองหนึ่งมาโดยตลอด
ตระกูลเฉิงไม่มีทางคิดคดเป็นกบฏได้
องค์ฮ่องเต้ทำให้ตระกูลเฉิงไร้ผู้สืบทอดสกุล นั่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “หลักๆ แล้วข้าเพียงอยากจะหลีกเลี่ยงการขุดลอกแม่น้ำเหลืองในครั้งนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น”
สือควนมองสำรวจเฉิงฉืออย่างละเอียด รู้สึกว่าเขาไม่ผิดจากที่เคยได้ยินมาจริงๆ รู้สึกยกย่องชื่นชมอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “น้องจื่อชวนช่างเป็นผู้ทรงคุณธรรมจริงๆ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ทรงคุณธรรมกับผู้ไร้คุณธรรมก็ห่างกันเพียงหนึ่งเส้นบางๆ กั้นเท่านั้น เวลานี้ข้าปรารถนาจะให้เวลากับที่บ้าน จึงเป็นธรรมดาที่จะได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม แต่ถ้าเวลานี้ข้าอยากจะให้หน้าที่การงานราบรื่น คงไม่แคล้วได้เป็นผู้ไร้คุณธรรมไปแล้ว!”
สือควนชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ยกจอกสุราขึ้นแสดงความนับถือต่อเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “น้องจื่อชวนมีจิตใจกว้างขวาง ข้าเทียบไม่ได้จริงๆ เรื่องกลับเข้าเมืองหลวงของเจ้า ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าก็แล้วกัน”
น้ำเสียงการพูดดูมั่นใจยิ่งนัก
แววตาของเฉิงฉือสว่างวาบ นั่งอยู่ที่ร้านเหล้าเล็กๆ ท้ายซอยแห่งนั้นกับสือควนไปเกือบจะหนึ่งชั่วยาม ดื่มและพูดคุยกันจนลิ้นพันกันเล็กน้อยแล้ว ถึงได้นำเอาสุราที่เหลืออยู่ทั้งสองขวดมอบให้สือควนทั้งหมด ทั้งสองคนเดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกมาจากร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้น สือควนนั่งเกี้ยวออกไปจากหน้าประตู ส่วนเฉิงฉือขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลจากท้ายซอยแห่งนั้น แต่เมื่อเขาขึ้นมาบนรถม้าแล้ว แววตาที่ดูเมามายเล็กน้อยนั้นก็พลันกระจ่างใสขึ้นมาในทันที สั่งการไหวซานที่รออยู่ในรถม้าเป็นเวลานานนั้นให้เตรียมกระดาษและหมึก นั่งเขียนจดหมายแผ่นหนึ่งอยู่บนรถม้าแล้วส่งให้ไหวซาน ให้เขานำไปส่งให้โจวเสาจิ่น
ไหวซานไม่กล้าชักช้า ถือกระดาษไปที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างรีบร้อน นำไปส่งให้ซางมามา
โจวเสาจิ่นเปิดออกอ่านครั้งหนึ่ง เฉิงฉือถามนางว่ารู้จักหวังจ้วนหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วคนผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งอะไร
นางครุ่นคิดอย่างละเอียด บอกเฉิงฉือไปว่า หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เถลิงราชย์แล้ว หวังจ้วนก็ได้เข้าดำรงตำแหน่งแทนชวีหยวนผู้เป็นเจ้ากรมโยธาและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งจิ่นเซินคนก่อนอย่างรวดเร็ว ขึ้นมาเป็นสมาชิกราชเลขาธิการและที่ปรึกษาระดับสูงคนใหม่ในราชสำนัก ส่วนบุตรชายของเขาถูกดึงตัวจากสำนักฮั่นหลินไปเป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลทรัพย์สินยศขั้นห้าล่าง มีครั้งหนึ่งที่หลินซื่อเซิ่งและผู้อื่นเคยรับงานของพิธีล่าสัตว์ด้วยกันครั้งหนึ่ง ตอนวางใบเสร็จคิดค่าใช้จ่ายต้องไปหาบุตรชายของหวังจ้วนเพื่อประทับตรา ด้วยเหตุนี้ยังส่งสร้อยไข่มุกที่มุกแต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้งสองชั้นไปให้เส้นหนึ่งด้วย ตอนนั้นเองนางถึงได้รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายดูแลทรัพย์สินคือบุตรชายของหวังจ้วน นอกจากนี้ หลังจากที่ตระกูลเฉิงถูกสั่งตรวจสอบแล้วนั้น เลี่ยวเส้าถังเคยไปขอร้องหยวนเหวยชาง แต่ถูกเขาปฏิเสธ คล้ายกับว่าเหตุผลที่ปฏิเสธจะบอกเป็นนัยว่าเขามิได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้แล้ว หวังจ้วนอาจจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าราชเลขาธิการ ตัวเขาเองก็ไร้อำนาจจะปกป้องตัวเองเช่นกัน
เฉิงฉือได้รับกระดาษแล้วก็แสยะยิ้มเย็น
ฝ่ายดูแลทรัพย์สินนั้นรับผิดชอบดูแลทรัพย์สมบัติของพระราชวัง เครื่องรางของขลัง และตราประทับ ส่วนกรมโยธารับผิดชอบดูแลกำแพงเมืองการขุดลอกคูคลอง การก่อสร้างซ่อมแซม ช่างฝีมือกองทหารรักษาการณ์ และแม่น้ำคูคลองต่างๆ ทั่วใต้หล้า…กรมโยธาทำงานเสร็จแล้ว ต้องไปประทับตราที่ฝ่ายดูแลทรัพย์สิน จากนั้นถึงค่อยไปวางใบเสร็จคิดเงินกับกรมการคลัง บิดาควบคุมดูแลกรมโยธา บุตรชายควบคุมดูแลตราประทับ นี่ช่างเปรียบได้กับยื่นเงินของราชสำนักจากมือข้างซ้ายส่งไปให้มือข้างขวาเสียจริง ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการคิดคำนวณของสองพ่อลูกคู่นี้ทั้งสิ้น
ถ้าหากหวังจ้วนผู้นี้มิใช่คนที่องค์ชายสี่ไว้ใจนั่นถึงจะเป็นเรื่องแปลก!
เฉิงฉือเผากระดาษที่โจวเสาจิ่นเขียนทิ้งไป
เขาให้ไหวซานนำของขวัญล้ำค่าไปเยี่ยมสือควน “…บอกว่าแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือ เรื่องงานที่อุทยานหลวงตะวันตกนั้นให้ช่างมันเถิด ทำให้ข้าได้กลับมาพักผ่อนที่เมืองหลวงสักสองสามเดือน ได้จัดการเรื่องงานแต่งให้แล้วเสร็จได้พอดีนั่นต่างหากที่สำคัญกว่า”
เฉิงฉือถึงได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ เตรียมตัวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าชิงเฟิงกลับเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ นายท่านใหญ่เวิ่นได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว อย่างไรก็ต้องการขอพบท่านให้ได้ขอรับ…”
เนื่องจากเป็นญาติของตัวเอง เฉิงฉือจึงเชิญเฉิงเวิ่นมานั่งในห้องหนังสือ ให้ชิงเฟิงไปชงชาอย่างดีมารับรองเขา เมื่อจัดการตัวเองเสร็จแล้วถึงได้ไปพบเฉิงเวิ่น
เฉิงเวิ่นออกไปเดินรอบๆ มาหนึ่งรอบตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากได้พบเห็นความเจริญรุ่งเรืองของจิงเฉิงแล้ว เขาก็ยิ่งมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ลูบกำปั้นของตัวเอง เตรียมตัวลงสนามสักตั้งด้วยอารมณ์ฮึกเหิม เมื่อเห็นเฉิงฉือเดินเข้ามา ก้าวออกไปเพียงสองสามก้าวก็คว้าแขนของเฉิงฉือเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “น้องชายฉือ ข้าวางแผนจะเช่าร้านที่ประตูซีจื๋อสักร้านหนึ่งมาทำการค้าใบชา เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นก็ต้องดูว่าท่านมีเงินจำนวนเท่าไร”
เฉิงเวิ่นถูใบหูพลางกล่าวด้วยดวงหน้าแดงว่า “ข้าตั้งใจจะขายหุ้นส่วนที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ออกไปบางส่วน น่าจะรวบรวมเงินมาได้สักหนึ่งหมื่นเหลี่ยงอยู่กระมัง”
เฉิงฉือรู้ว่าเขาอยากให้ตนให้เขายืมเงินเพื่อทำการค้า
เขากล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “หากข้าเป็นพี่ชายเวิ่น จะหาผู้เชี่ยวชาญให้ได้สักคนหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที การค้าใบชานี้ดูเหมือนจะง่าย ทว่าต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องรับใบชาก่อนฤดูชิงหมิง[1]และก่อนฤดูหว่านเมล็ดแรก[2]มาขายก็ไม่ง่ายแล้ว ไม่อย่างนั้นหากรับใบชาใหม่มาขายล่าช้ากว่าผู้อื่น หรือว่าเกิดการล่าช้าระหว่างขนส่งล่ะก็ การค้าของทั้งปีนั้นก็คงจะจบสิ้นกันแล้ว ถ้าหากไม่มีเรื่องแยกตระกูล ข้าก็คงจะมอบหมายให้หลงจู๊ใหญ่สักคนพาเสมียนออกมาด้วยสักสองสามคนไปดูให้ท่านได้ แต่ตอนนี้จวนหลักเองก็สูญเสียกำลังวังชาไปมาก เกรงว่าคงไม่อาจช่วยท่านได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม จะดีร้ายข้าก็อยู่ในแวดวงการค้านี้มานานหลายปี คงจะพอหาทางแนะนำพ่อค้าใบชารายใหญ่ให้ท่านได้สักสองสามคน ส่วนเรื่องหลงจู๊และเสมียนในร้านนั้น คงได้แต่ต้องรอดูว่าพวกเขาพอจะแนะนำใครดีๆ ให้ได้บ้างหรือไม่แล้ว”
นี่ดีกว่าการให้เขายืมเงินเสียอีก!
เฉิงเวิ่นซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “จื่อชวน ยังคงเป็นเจ้าที่ตรงไปตรงมา สมกับที่เป็นคนทำการใหญ่จนประสบความสำเร็จ เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง นับตั้งแต่ที่เจ้าส่งต่อร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ให้จวนรองแล้ว จวนรองก็ให้พ่อบ้านใหญ่ของทางด้านโน้นเป็นคนไปดูแล จากการแบ่งจ่ายรายได้หนึ่งครั้งต่อหนึ่งฤดูกาลอย่างที่เจ้าเคยกำหนดไว้ก็เปลี่ยนเป็นตัดจ่ายหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีแทน นี่ล้วนไม่ต้องกล่าวถึง ยังไล่คนเก่าคนแก่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เหล่านั้นออกไปด้วย ข้าดูแล้วหลังจากที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ไปอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องล่มสลายเป็นแน่ จื่อชวน เจ้าเคยคิดจะกลับไปบ้างหรือไม่ ข้าทราบมาว่าพี่ชายเหมี่ยนถ่ายโอนหุ้นส่วนให้จวนสามไปแล้ว ข้าจะไปพูดกับจวนสามให้รวมส่วนที่อยู่ในมือของข้าไปด้วย แล้วพวกเราสองครอบครัวไว้ใจให้เจ้าเป็นคนดูแลกิจการให้! เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร”
คนเก่าคนแก่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ที่เขากล่าวถึง คงหมายถึงพี่ชายน้องชายและหลานชายของอนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นกระมัง
เรื่องบางอย่าง หากไม่มีที่ให้เปรียบเทียบก็ไม่มีวันรู้สั้นยาว!
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชายเวิ่นเลอะเลือนแล้ว ตอนนี้ข้าได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักอย่างเป็นทางการแล้ว จะไปทำการค้าอีกได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านลองดูจิงเฉิงแห่งนี้ สถานที่อันรุ่งเรืองที่เต็มไปด้วยผู้คนยิ่งใหญ่ มั่งคั่งไปด้วยสิ่งของมากมาย ได้อยู่ที่นี่นานวันเข้า ผู้ใดจะอยากกลับจินหลิงไปดูแลครอบครัวเล็กๆ อย่างซอยจิ่วหรูกัน”
“จริงด้วยๆ!” เฉิงเวิ่นกล่าวแสดงความเห็นด้วยไม่หยุดในทันที เอ่ยต่อว่า “ไม่ต้องว่าแค่เจ้าเท่านั้น แม้แต่ข้าก็ไม่อยากกลับไปแล้ว น้องชายฉือ เจ้าว่าข้าพาครอบครัวย้ายมาที่จิงเฉิงเลยดีหรือไม่ ข้าเบื่อที่จะอยู่ที่เมืองจินหลิงแล้วจริงๆ”
อยู่จิงเฉิงเขาเป็นเฉิงเวิ่น ทว่าอยู่ที่จินหลิงเขากลับเป็นนายท่านห้าของซอยจิ่วหรู
เฉิงฉือสัมผัสได้รางๆ ถึงความคิดของเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าคงออกความคิดเห็นให้ท่านไม่ได้ หรือไม่ ท่านลองจัดการเรื่องการค้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ครอบครัวต้องมีรายได้ก่อนชีวิตถึงจะมีความสะดวกสบายได้ ที่ท่านจะย้ายมาอยู่จิงเฉิงก็เพื่อมาใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข มิใช่มาเพื่อรับความทุกข์หรอกกระมัง!”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องชายฉือเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มิใช่คนที่พวกคนแก่ล้าหลังผุพังเหล่านั้นจะเปรียบเทียบได้” เฉิงเวิ่นกล่าวด้วยความดีใจ หมุนกายหมายจะจากไป “ข้าต้องไปหาสหายร่วมชั้นของข้าที่พักอยู่ที่จิงเฉิงเหล่านั้นสักหน่อย ดูว่าพวกเขามีช่องทางอะไรพอจะแนะนำเรื่องหลงจู๊ใหญ่ต่างๆ ให้ข้าสักคนหรือไม่ รอให้ข้าจัดหาหน้าร้านและคนได้สักเจ็ดแปดส่วนแล้ว ค่อยมารบกวนให้เจ้าช่วยแนะนำพ่อค้าใบชารายใหญ่ให้ข้าสักสองสามคนอีกทีก็แล้วกัน”
ยังมิได้ดื่มชาสักจิบก็เดินจากไปแล้ว
เฉิงฉือมองเงาหลังของเขาแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ
ปรากฏว่าตอนที่ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นกลับได้พบกับอู๋เป่าจางที่กำลังเตรียมตัวกลับหลังจากมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จแล้ว
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะมองนางตรงๆ เลยสักครั้ง พยักหน้าให้อย่างเย็นชา ปล่อยให้สาวใช้เด็กเลิกผ้าม่านขึ้นให้แล้วเดินตรงเข้าไปนั่งในห้องโถง
อู๋เป่าจางกลับหันกลับไปมองเขาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่
เฉิงฉือช่างมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาจริงๆ…รูปร่างนั่น หลังตรงสง่า บ่ากว้างผึ่งผาย มือเรียวยาว เอวเรียวบางไร้ส่วนเกิน เวลาเดินสาวก้าวเท้าอย่างมั่นคงแต่ก็รวดเร็ว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนรับผิดชอบการงานได้ ไม่เหมือนเฉิงนั่วหรือว่าเฉิงลู่ ผอมบางและขาวซีด ท่าทางเหมือนคนที่มือหยิบจับอะไรไม่ได้บ่าก็แบกหามอะไรไม่ได้ประเภทนั้น…เป็นภรรยาแล้วถึงได้รู้ความแตกต่างนี้…แม้แต่เฉิงสวี่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเฉิงฉือแล้ว ถ้าหากบอกว่าเฉิงฉือเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ที่กำบังลมและเป็นที่ให้หลบฝน ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงได้แล้ว เช่นนั้นเฉิงสวี่ก็เป็นเสมือนกับต้นแปะก๊วย งดงามสูงสง่า ทว่าเหมาะสำหรับเอาไว้ดูชมเท่านั้น ยามคับขันกลับไร้ซึ่งประโยชน์
โจวเสาจิ่นช่างมีวาสนาดีจริงๆ!
ขณะที่นางคิด ก็คล้ายกับมีเปลวเพลิงหนึ่งกำลังเผาไหม้อยู่ในใจก็ไม่ปาน
มาจากครอบครัวขุนนางที่ไม่ได้สูงส่งเท่าไรเหมือนกัน สูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่เหตุใดคนบางคนถึงได้ทุกอย่างมาโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ขณะที่นางทุ่มเทกำลังและมันสมองทั้งหมดที่มีแล้วกลับไม่อาจสมดังปรารถนาได้
อู๋เป่าจางกำหมัดแน่น จนเล็บจิกลงไปที่เนื้อกลางฝ่ามือแล้วก็ยังไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด
เฉิงฉือเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ภรรยาของนั่วเกอเอ๋อร์ตามมาด้วยได้อย่างไร”
“พี่ชายเวิ่นของเจ้าพาพวกเขาสองสามีภรรยามาด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็คงเพราะอยากมาดูความครึกครื้นสักหน่อยกระมัง ข้าคิดว่าพวกเขานั้นเป็นตัวแทนของจวนห้า เมื่อถึงงานวันแต่งของเจ้าหากมีพวกเขาอยู่ด้วย ก็จะทำให้บรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่จิงเฉิงได้เห็นว่าเรื่องแยกตระกูลนั้น จริงๆ แล้วเป็นพวกเราที่ทำไม่ถูกหรือจวนรองที่ทำไม่ถูกกันแน่ ข้าได้บอกหลานเจิงเอาไว้แล้ว ให้นางไปบอกหลานเจียสักคำว่าให้หลานเจียพาสามีของนางมาร่วมดื่มสุรามงคลที่ประตูเฉาหยางทางด้านนี้ด้วย”
…………………………………………………………………….
[1] ใบชาก่อนฤดูชิงหมิง ใบชาที่เก็บก่อนช่วงเทศกาลเชงเม้งหรือประมาณวันที่ 5 เดือนสี่
[2] ใบชาก่อนฤดูหว่านเมล็ดแรก ใบชาที่เก็บก่อนการหว่านเมล็ดแรกหรือประมาณวันที่ 19-21 เดือนสี่