ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 409 สงสัย [รีไรท์]
ตอนที่ 409 สงสัย [รีไรท์]
ทว่าในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะตกลงไปในทะเลสาบ จู่ๆ ก็มีพลังอันแกร่งกล้าพุ่งออกมาโอบอุ้มร่างของนางไว้อย่างอ่อนโยน และไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ฉู่หลิวเยว่จึงรีบยืมใช้พลังนี้ แล้วกระโดดพุ่งตัวไปเกาะกำแพงอีกด้านทันที
ขณะเดียวกัน ก็มีแสงสีเงินส่องประกายในมือของนาง
ฉึก!
นางแทงกริชในมือทะลวงใส่กำแพงอย่างสุดกำลัง
ร่างบางลอยเขว้งอยู่กลางอากาศ
นางมองไปทางหัวมังกรสีแดงอย่างเร็ว พลังลึกลับที่ช่วยนางไว้เมื่อครู่บินออกจากที่นั่น
“ข้าไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของท่าน แต่ทว่าบุญคุณครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก ได้โปรดปรากฏตัวออกมาเถิด”
ฉู่หลิวเยว่จ้องไปยังทิศทางนั้น พร้อมเอ่ยเสียงดัง
แต่กลับไร้ซึ่งเสียงขานรับ
ราวกับว่านางเป็นเพียงมนุษย์คนเดียวในพื้นที่แห่งนี้
ฉู่หลิวเยว่หันมองทะเลสาบ
แท่นลานหยกดำก่อนหน้านี้ถูกแช่เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และจมลงสู่ก้นทะเลสาบโดยปราศจากเสียงอึกทึกใดๆ
น้ำที่อยู่เบื้องล่างยังคงพุ่งสูงขึ้น มากลืนเอาน้ำแข็งด้านบนให้จมลงไปราวกับเป็นวัฏจักร
แสงสีเงินทอประกายวาววับและดูเยือกเย็น
หากฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง นางก็จะไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้เห็นเองเด็ดขาด
แผ่นน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำมาโดยตลอด และนางไม่เคยเห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในทะเลสาบนั่น
ทว่าเมื่อตระหนักได้ถึงความหนาวเย็นอันน่าอัศจรรย์ที่แผ่ขยายออกไป ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกตื่นกลัวอยู่ครู่หนึ่ง
หากเมื่อครู่นางตกลงไปในน้ำจริงๆ ละก็…
นางนึกถามตัวเองอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง พลันเอ่ยออกมาเสียงดัง
“ในเมื่อท่านมาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดจึงยังจะหลบซ่อนอยู่อีกเล่า”
นางพูดพลางมองดูพีระมิดในมือ
ทว่าบนผลึกที่เปรียบเสมือกระจกนั้นยังคงมีกลุ่มควันสีดำปกคลุมอยู่
ในใจฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความสงสัยมาถึงนี้แล้ว อีกฝ่ายก็ถึงกับยื่นมือเข้ามาช่วยนาง แต่เพราะเหตุใดเขาถึงไม่ออกมาแสดงตัวล่ะ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ เขาก็จะไม่ยอมให้นางรับรู้อย่างนั้นหรือ?
ทว่าในที่สุดเสียงอันทุ้มต่ำ และฟังดูเกียจคร้านก็ดังแว่วมา
“ส่งของในมือเจ้ามาให้ข้า แล้วข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก
อีกฝ่ายมาที่นี่ เพื่อพีระมิดสีเงินนี้จริงๆ ใช่หรือไม่?
นางไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่นางสัมผัสได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามจากเจ้าของเสียงที่หลบอยู่ในนั้น
ตัวตนของเขานี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ และแน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ทรงพลังมากเช่นกัน
มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงยื่นมือเข้ามาช่วยนางภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
นางลำบากมากว่าจะได้พีระมิดนี้มา และถ้านางยื่นมันให้ง่ายๆ แบบนี้…นางต้องไม่ได้มันคืนมาแน่
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางมักจะรู้สึกว่าพีระมิดนี้มีความสำคัญต่อนางมาก
ราวกับว่า…มันเคยเป็นของนางมาก่อน
ตัวนางเองก็รู้ว่าเหตุผลนี้มันอาจฟังดูเพ้อเจ้อ ทว่าในเมื่อมันอยู่ในมือนางแล้ว เหตุใดนางต้องมอบมันให้ผู้อื่นด้วยเล่า
“เงื่อนไขเช่นนี้ถึงตายข้าก็ทำให้ไม่ได้ โปรดเปลี่ยนคำขอของท่านด้วย”
อย่างใดเสียอีกฝ่ายก็ช่วยชีวิตนางไว้ และฉู่หลิวเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหา
นอกจากนี้นางยังตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างดี แม้ว่าตอนนี้นางจะได้เป็นนักรบระดับสามแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเต็มใจที่จะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายในตอนนี้ การหาเรื่องใส่ตัวคงใช่ความคิดที่ดีเท่าใด
“ไม่ได้” ดูเหมือนชายคนนั้นจะคาดเดาไว้แล้วว่าฉู่หลิวเยว่ต้องปฏิเสธแน่ เขาจึงตอบปัดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งไร้น้ำโห
“นั่นคือของรักของภรรยาข้า ข้าต้องเอามันกลับไป” ฉู่หลิวเยว่ผงะไปทันที
ภรรยา?
ประโยคเมื่อครู่นี้…เหตุใดถึงคุ้นเคยนัก?
นางกำกริชในมือแน่น และทันใดนั้นก็มีแสงวาบขึ้นมา!
เดี๋ยวก่อนนะ
เหมือนนางจะจำได้ว่ามีคนผู้หนึ่งที่…
นางคิดพลันโพล่งออกมาทันควัน
“หรือท่านจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่ร้านเจินเป่าเก๋ออย่างนั้นหรือ”
…
เมื่อฉู่หลิวเยว่ดึงพีระมิดลงมาจากฐานของมัน ก็สร้างผลกระทบต่อระบบทั้งหมดของสุสานของจักรพรรดิอย่างใหญ่หลวง
เถาวัลย์สีเขียวรอบๆ ตัวมู่ชิงเห่อค่อยๆ เหี่ยวเฉา และในที่สุดกิ่งก้าน ใบไม้ที่ก่อนหน้านี้ขยายตัวออกเป็นวงกว้างก็เหี่ยวตายจนหมด
พลันภาพลวงตาตรงหน้าที่มอมเมาสมองเขา จนทำให้เขาเอาแต่พูดพร่ำซ้ำวกวนไปมา ก็มลายหายไป
มู่ชิงเห่อตกใจ และในที่สุดก็ฟื้นตื่นจากสภาพอันน่าอดสู
เขาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตะลึงปนงงงวย หมอกที่อยู่ตรงหน้าเขาค่อยๆ หายไป และในที่สุดเขาก็เห็นฉากของสถานการณ์จริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เขามองดูใบไม้ และเถาวัลย์ที่ตายแล้ว พลางยกมือขึ้นเช็ดหน้า
สองแก้มของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พร้อมหัวใจดวงน้อยที่สั่นไหวอย่างรุนแรง
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เริ่มฉายซ้ำในสมองของเขา จากนั้นมู่ชิงเห่อก็สติหลุดไปอีกรอบอยู่พักใหญ่
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด ทว่าในที่สุดเขาก็ก้มศีรษะลง และยิ้มอย่างขมขื่น
อย่างใดก็ตาม รอยยิ้มนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดมากกว่าการร้องไห้เมื่อครู่เสียอีก
เขาคิดว่าตัวเองได้ฝังกลบทุกความทรงจำไว้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…สมองจะยังจดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ
ทุกเหตุการณ์ ทุกคำพูด แม้กระทั่งทุกความรู้สึก มันยังตราตรึงอยู่ในใจไม่ลบเลือน!
ไม่นานสีหน้าทุกข์ระทมบนใบหน้าของมู่ชิงเห่อก็ค่อยๆ จางหายไป และกลับมาสงบเยือกเย็นเฉกเช่นเมื่อก่อน
ราวกับสวมเกราะ และใส่หน้ากากเพื่อปิดบังทุกอย่างให้มิดชิด เขาหยิบกระบี่เล่มยาวที่ตกอยู่ข้างตัว และตัดเถาวัลย์ที่เจาะข้อมือของเขาออก
จากนั้นเขาก็ดึงมันออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
หยดเลือดกระเซ็นโดนใบหน้าของเขา และบาดแผลก็ถูกฉีกขาดอย่างน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม
เขาหยิบผ้าพันแผล และยาที่เตรียมไว้ใช้กับตัวเองออกมา
แม้ว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าวอาจจะดูร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วมันไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก และเขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ขอเพียงแค่…ไม่ตกไปอยู่ในภาพลวงตาอันน่าสะพรึงกลัวนั่นอีกก็พอ
หลังจากทำแผล และเก็บของเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเห่อก็ยกเท้าขึ้น และเดินไปข้างหน้า
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะยกดาบขึ้น เพื่อทะลวงกำแพงที่อยู่ตรงหน้าสองขากลับจำต้องหยุดกะทันหัน
สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันโดยไร้สาเหตุ
ซึ่งเหตุผลมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือมีคนอื่นนำหน้าเขาไปแล้ว
พลันภาพของเจ้าของร่างที่เพรียวบาง และงดงามก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
คนที่เข้ามาพร้อมเขา ก็มีแค่ฉู่หลิวเยว่
หรือว่า…สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที และเสริมให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูดุดันขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงฉากเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา
เมื่อครูตอนที่เขาตกอยู่ในมนต์ภาพลวงตา เขาแทบจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้ว และเมื่อเขากำลังคิดจะจบมัน กลับรู้สึกเหมือนได้ยินใครบางคนตะโกนว่า ‘หยุด’ ใส่เขา?
เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นภาพหลอน แต่ทว่า…เมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนี้เขากลับคิดว่าเสียงนั้นมันค่อนข้าง…คล้ายกับเสียงของฉู่หลิวเยว่
พลันหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาทันที
…
ตูม!
ก่อนที่จักรพรรดิจยาเหวินกับเยี่ยจือถิงจะได้ก้าวออกจากทางช่องทางเดิน มีก้อนหินก้อนหนึ่งหล่นลงมาขวางทางพวกเขาเสียก่อน
เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกที่ดังมาจากระยะไกล จักรพรรดิจยาเหวินก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ
“สุสานของจักรพรรดิจะถล่มแล้ว!”