ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1634 ประวัติอันลึกลับ
ตอนที่ 1634 ประวัติอันลึกลับ
……….
คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นทำให้สองพี่น้องหน้าเปลี่ยนสีได้สำเร็จ
หนานอวี่สิงทั้งตกใจระคนโมโห
ที่ตกใจก็คือ เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้!
ส่วนที่โมโหก็เป็นเพราะว่า คำพูดของชายคนนี้เต็มไปด้วยการดูถูกดูแคลนทำให้น้องสาวของเขาต้องรู้สึกอัปยศอดสู!
หนานอีอีเบิกดวงตากว้างขึ้น ภายในแววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ตั้งแต่เด็กจนโตนางได้รับการประคบประหงมอย่างดี อย่าว่าแม้แต่คำด่าเลย แม้กระทั่งคำพูดที่รุนแรง นางก็ไม่ค่อยได้ยินมาก่อน
แต่ในขณะนี้นางกลับถูกใครบางคนชี้หน้าด่า แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติกลับคืนมา
หลังจากที่นางมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที บริเวณหน้าอกเหมือนมีอันใดพลุ่งพล่านอยู่ภายใน จนแทบจะปะทุออกมา!
“เจ้า…เจ้า…”
นางอยากจะโต้เถียง แต่แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นระริก
เพราะว่าตอนนี้ภายในใจของนางสับสนเป็นอย่างมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางชอบผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางยังไม่ทันได้บอกความรู้สึกออกไป อีกฝ่ายก็พูดกับนางเช่นนี้แล้ว
การโจมตีนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก มากเสียจนนางไม่มีเวลาให้โกรธด้วยซ้ำ ในตอนนั้นนางรู้สึกมึนงงสับสนไปหมด
หนานอวี่สิงรีบหันกลับไปมองนาง และเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของนางก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก
น้องสาวที่รักของเขาเคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้ที่ไหนกัน?
“ท่านพูดจารุนแรงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”
หนานอวี่สิงพูดขึ้นเสียง ลมปราณรอบกายพวยพุ่งขึ้น!
“อีอีเพียงแค่พูดจาเลอะเทอะไปเท่านั้น แต่ท่านกลับหยาบคายถึงเพียงนี้! กลั่นแกล้งแม่นางคนหนึ่ง ลูกผู้ชายเขาทำกันเช่นนี้หรือ?”
หัวคิ้วของหรงซิวขยับขึ้นเล็กน้อย
“คำพูดเหล่านั้นของนางเป็นสิ่งที่นางควรได้รับแล้ว แทนที่จะว่าร้ายคนอื่น เจ้ากลับไปครุ่นคิดให้ดีเสียก่อนเถอะว่าเจ้าจะรักษาโรคปากไม่มีหูรูดของน้องสาวที่รักของเจ้าได้อย่างใด”
อีกฝ่ายทำให้เขาขุ่นเคืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหมดความอดทนไปตั้งนานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะว่าต้องหลอมชุดเกราะที่นี่ เมื่อวานนี้เขาไม่มีทางเกรงใจอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“เจ้า…”
หนานอวี่สิงโกรธจนควันแทบจะออกจากทวารทั้งเจ็ด
นานมากแล้วที่เขาไม่เจอคนที่ทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาเช่นนี้!
ใช่แล้ว!
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นช่างหลอมอาวุธระดับราชา อีกทั้งยังโดดเด่นอย่างมาก!
แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเกรงกลัวอีกฝ่าย!
“ดูเหมือนว่าท่านตั้งใจจะไม่ขอโทษสินะ?”
เขาถามขึ้นด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
ในน้ำเสียงแฝงด้วยจิตสังหารที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิด
หนานอีอีเห็นดังนั้นก็รีบเดินขึ้นมาแล้วคว้าไหล่ของเขาเอาไว้
“พี่ใหญ่! พี่จะทำอันใดน่ะ?”
หนานอวี่สิงขมวดคิ้วขึ้น
“เขารังแกเจ้า ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเขาและช่วยเจ้าระบายอารมณ์เอง!”
“ข้า แต่ข้า…”
หนานอีอีรู้ว่าเขาหมายถึงอันใด หลายครั้งก่อนหน้านี้นางชอบขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน!
นางโกรธ รู้สึกอัปยศอดสู และโมโห
แต่ก็ไม่อยากฉีกหน้าอีกฝ่ายด้วยเหตุผลประการฉะนี้
พี่ใหญ่ลงมือด้วยความโหดเหี้ยมเสมอมา หากเขาฆ่าอีกฝ่ายหรือทำให้พิการล่ะ…
“นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา พี่จะทำร้ายเขาด้วยเหตุใด!”
หนานอีอีกัดฟันกรอดพร้อมเหลือบสายตาไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความโมโห
แววตานี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก หากจะต้องโทษก็ต้องเป็นความผิดของนาง!
ถ้าเขาไม่ได้ปกป้องนาง เขาจะไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน
ฉู่หลิวเยว่หน้าสีหน้างุนงง
ตั้งแต่ต้นจนจบนางยังไม่ได้พูดอันใดสักคำ ความผิดทั้งหมดกลับถูกโยนอยู่บนหัวนางแล้ว?
หนานอวี่สิงจะไม่รู้ได้อย่างใดว่าน้องสาวของเขากำลังคิดอันใดอยู่?
เพียงแต่เขานั้นทนไม่ได้!
หนานอวี่สิงโมโหที่ไม่สามารถหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้าได้
แม้ว่าเขาจะพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ ทั้งท่าทางการกระทำก็ชัดเจน แต่นางก็ยังคงหมกมุ่นไม่ลืมหูลืมตา!
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้นางก็ยังจะปกป้องอีกฝ่ายด้วย
นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!
เดิมทีเขาอยากจะให้หนานอีอีถอยหลังออกไป และจัดการเรื่องนี้เพียงผู้เดียว
แต่มือของหนานอีอีกลับกุมไหล่ของเขาแน่น ไม่ว่าอย่างใดก็ไม่ยอมปล่อย
หนานอวี่สิงทั้งโกรธทั้งโมโห แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกัดฟันกรอด แล้วเคาะศีรษะของหนานอีอีอย่างแรง
“เจ้านี่นะ!”
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่านางเป็นคนที่เจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ แต่กลับไม่รู้เลยว่านางสามารถทำเพื่อผู้ชายคนหนึ่งได้มากขนาดนี้!
บรรยากาศของสองพี่น้องถูกแช่แข็งไปเล็กน้อย
“คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง ฟ้าสว่างแล้ว พิษของป่าวิญญาณสีชาดก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้สามารถเข้าไปด้านในได้แล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสอูเผิงพูดขึ้นอย่างรู้จังหวะ ซึ่งเป็นการทำลายบรรยากาศเหล่านั้น
ผู้อาวุโสไป๋ถงก็รีบทำหน้าที่ทูตสันติในทันที
“ใช่แล้ว ระยะเวลาในการเดินทางผ่านป่าวิญญาณสีชาดนั้นสั้นมาก คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง พวกเราต้องรีบแล้ว”
เมื่อทั้งสองคนพูดเช่นนี้ก็นับว่าเป็นการหาทางลงให้กับพวกเขา
หนานอวี่สิงคว้าข้อมือของหนานอีอีเอาไว้จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังป่าวิญญาณสีชาด
“ไปได้แล้ว!”
พวกเขามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญจะต้องทำ!
อย่างน้อยนี่ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จักชั่วดี…
รอกระทั่งจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกเขาค่อยกลับมาคิดบัญชีอีกที!
หนานอีอีถูกฉุดกระชากลากถูจนเจ็บไปหมด นางขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้พี่ใหญ่กำลังโมโห ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอันใดมาก และติดตามเขาไป
ผู้เฒ่าทั้งสองก็เดินติดตามไปเช่นกัน
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเดินผ่านกัน ผู้อาวุโสอูเผิงก็เหลือบสายตามองทางหรงซิวด้วยสายตาลึกซึ้ง
หรงซิวดูเมินเฉยและไม่แยแส ราวกับว่าไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ และมองตามแผ่นหลังของคนเหล่านั้น
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่หรงซิวนับว่ามีชื่อเสียงอยู่พอควร คนที่เคยเห็นเขาก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย
ทั้งสองคนนั้นน่าจะมีสถานะไม่ต่ำต้อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จักหรงซิว
“คิดอันใดอยู่หรือ?”
เสียงของหรงซิวดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองและยังครุ่นคิด
“ไม่มีอันใด เพียงแต่คิดว่า… ภูมิหลังของพวกเขาน่าจะไม่ธรรมดา”
คนทั้งสี่ปกปิดลมปราณได้ดีมาก แต่นางก็สัมผัสได้ว่า ฝีมือของพวกเขาน่าจะไม่อ่อนด้อย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นพวกเขาเห็นหรงซิวหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาชิ้นหนึ่งด้วยตาของตนเอง และเหมือนว่า… จะไม่ได้ดูตกใจมากขนาดนั้น
ต้องบอกก่อนว่า เพื่อแย่งชิงกระบี่ชื่อเซียวที่แอ่งบุหรงมรกตมีสำนักและตระกูลน้อยใหญ่ได้ฉีกหน้าสำนักหลิงเซียวอย่างไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย
ทั้งที่ในตอนนั้นพวกเขายังคิดว่ากระบี่ชื่อเซียวเป็นเพียงแค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับคนเหล่านี้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชามีค่าและความสำคัญอย่างมากจนสามารถต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาอย่างไม่เสียดาย
แต่คนเหล่านี้…
เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้แสดงความโลภต่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาเลยแม้แต่น้อย
ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เขาจะรู้ว่าไม่สามารถสู้ได้ ในใจของเขาก็ไม่มีความคิดนั้นเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า… สำหรับพวกเขาแล้วของชิ้นนี้ไม่ได้ล้ำค่าขนาดนั้น
แต่ด้วยท่าทางกำเริบเสิบสานของพวกเขานั้น น่าจะไม่ใช่สถานการณ์ประเภทแรกที่ได้พบ
หากเป็นแบบที่สอง… ถ้าเช่นนั้นก็น่าสนุกแล้ว
ฉู่หลิวเยว่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ก็นานพอสมควรแล้ว และรู้จักตระกูลอื่นๆ จำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งสำหรับตระกูลอันดับหนึ่ง พวกเขาก็ยังคิดว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชานั้นเป็นของล้ำค่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้คนเหล่านี้จะมีฐานะอันใดกันแน่…
“ผู้อาวุโสที่สวมชุดดำคนนั้น น่าจะเป็นช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์”
ซั่งกวนจิ้งถอนสายตากลับมา และพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อครู่นี้เขายืนรออยู่ด้านหลังก้อนหินอยู่ตลอด กอปรกับความขัดแย้งระหว่างฉู่หลิวเยว่และหรงซิว คนเหล่านั้นจึงไม่ได้มุ่งความสนใจมาที่เขา
“ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ แต่กลับเป็นผู้ติดตามของสองคนนั้นเนี่ยนะ?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
น่าสนใจดี
……….