ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1627 ป่าวิญญาณสีชาด
ตอนที่ 1627 ป่าวิญญาณสีชาด
……….
“พวกเขาไปทำอันใดที่นั่น”
หลานเซียวขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
“หลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาหยุดแล้วไม่ใช่หรือไง เหตุใดถึงออกมาก่อความวุ่นวายอีกครั้งล่ะ”
สุสานสังหารเทพเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางไปที่นั่นแน่นอน
หรือแม้กระทั่งคนที่ต้องการจะสั่งสมประสบการณ์หรือค้นหาสมบัติ ก็ไม่มีทางเลือกสุสานสังหารเทพอย่างแน่นอน
ที่แห่งนั้นนอกจากซากศพที่ทับถมกันมาเป็นเวลาหมื่นปี ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
ยิ่งมากไปกว่านั้นสุสานสังหารเทพมีอาณาเขตกว้างขวาง หากเข้าไปแล้ว และต้องการจะออกมาก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
คนของถ้ำปีศาจทมิฬจะต้องว่างขนาดไหนกันเชียว ถึงจะไปที่นั่น?
คิ้วของตู๋กูโม่เป่าขยับเล็กน้อย
“สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าพวกมันไปกันกี่คน?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าหลับตาลง ระหว่างคิ้วของเขา มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้า
“พวกเขาปกปิดลมปราณได้ดีมาก ตอนนี้แค่สามารถยืนยันได้เพียงว่าคนของถ้ำปีศาจทมิฬเดินทางไปยังสุสานสังหารเทพ แต่รายละเอียดที่มากกว่านั้น กลับไม่สามารถคาดเดาได้ หากอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ บางทีอาจจะ ‘มอง’ ได้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย”
น่าเสียดายที่เขาถูกขังที่นี่เกือบหมื่นปีแล้ว อีกทั้งยังไม่สามารถสร้างร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะไปอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้
“คนพวกนั้นไม่เคยมีเจตนาดีอยู่แล้ว”
หลานเซียวพูดขึ้น จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสามารถสัมผัสลมปราณของพวกเขาได้ ใช้ได้เลยนะ!”
ผู้อาวุโสลำดับห้าแค่นหัวเราะเสียงเบา
“นั่นก็หมายความว่า ในตอนนั้นที่พวกเขาเจอข้า พวกเขาก็ยังต้องคุกเข่าทำความเคารพ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะขาดการติดต่อจากพวกเขาไปแล้ว แต่ว่า…รู้เขารู้เรา ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน”
ตู๋กูโม่เป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“เรื่องนี้มีเงื่อนงำ ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว รอดูไปก่อนว่าพวกเขาจะทำอันใดกันแน่”
ผู้อาวุโสลำดับห้าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ตอนนี้เจ้ากับหลานเซียวก็พักรักษาตัวให้หายดีก่อน เรื่องอื่นมอบให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
…
เวลาเจ็ดวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นอยู่ห่างจากสุสานสังหารเทพไม่ไกลแล้ว
ช่วงเวลาพลบค่ำ พวกเขาเข้ามาถึงป่าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ต้นไม้ในป่าแห่งนี้ล้วนเป็นสีดำทั้งหมด ใบไม้ด้านบนเป็นสีแดงปกคลุมหนาแน่น
ใบไม้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ อีกทั้งยังบางเป็นอย่างมาก ที่ขอบมีลักษณะเป็นรอยหยัก
เพียงแค่มองไปก็เห็นว่ามันมีลักษณะคล้ายกับมีดบินสีชาด
ซั่งกวนจิ้งมองไปด้านหน้าด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ที่นี่คือป่าวิญญาณสีชาด หากผ่านที่นี่ไป ด้านในก็คือสุสานสังหารเทพ”
น้ำเสียงของเขาตึงเครียดเป็นอย่างมาก หัวใจของฉู่หลิวเยว่จึงสั่นสะท้านเล็กน้อย
ที่แห่งนี้… ควรจะต้องระมัดระวังให้มาก
นางเงยหน้ามองด้านบน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิด ต้นไม้ภายในป่าวิญญาณสีชาดเหมือนกับโครงกระดูกมือที่ปกคลุมไปด้วยเลือด จากนั้นมันก็สั่นไหวตามแรงลม
กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาตามอากาศ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมอย่างอดไม่ได้
“ตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นป่าวิญญาณสีชาดจะปล่อยมวลอากาศพิษออกมา ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทาง ก็คือช่วงเวลาเที่ยงวัน พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”
ซั่งกวนจิ้งอธิบาย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นก็หันไปสบสายตากับหรงซิว ก่อนจะเดินตามซั่งกวนจิ้งออกไปด้านนอก
ด้านนอกของป่าวิญญาณสีชาด มีกองหินวางระเกะระกะเอาไว้อยู่
พวกเขาหาพื้นที่เรียบ ด้านข้างล้อมรอบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อน
หลังจากฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิแล้ว นางก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มบำเพ็ญเพียรต่อไป
หลังจากที่นางบำเพ็ญเพียรมาหลายวัน ตอนนี้นางเดินทางมาตลอดวัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอย่างเช่นวันแรกแล้ว
ดังนั้นนอกจากการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกาย นางยังแบ่งเวลาส่วนใหญ่ไปศึกษาค่ายกลและใบเทียบยาอีกด้วย
เรื่องค่ายกลนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง นางยืมพลังของพี่เป่าเพื่อลองซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ด้วยตนเอง
ในตอนนี้นางผสานความรู้ที่นางเคยเรียนมาก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน
สำหรับนางแล้วค่ายกลที่มีความยากที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้ ต่อให้จำได้หมดแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ทั้งหมด
หากต้องการจะใช้งานมัน เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก
แต่หลังจากที่ผ่านค่ายกลกระสวยสวรรค์มาแล้ว ตอนนี้เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่ามันง่ายขึ้นเยอะ
นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสวั่นเจิงเคยมอบคัมภีร์ปรมาจารย์โอสถเอาไว้ให้นาง และนางก็ศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอ
กอปรกับใบเทียบยาเหล่านั้นที่นางจำได้ ทำให้นางเข้าใจอันใดมากขึ้นไม่น้อย
หลังจากฉู่หลิวเยว่จมอยู่กับการบำเพ็ญเพียรของตนเองแล้ว หรงซิวก็หยิบหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬก้อนใหม่ขึ้นมาขัดอีกครั้ง
ความจริงแล้วหรงซิวมีหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬอยู่แปดก้อน
เขาขัดวันละก้อน เริ่มตั้งแต่ตอนพลบค่ำ และเสร็จสิ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น
เขาสามารถขัดหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬได้อย่างสมบูรณ์แบบและทันเวลา
ในตอนแรกซั่งกวนจิ้งยังลอบรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ ชิน
หลายวันที่ผ่านมานี้ ทำให้เขาเข้าใจอยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก ภูมิหลังครอบครัวของหรงซิวนั้นร่ำรวยเป็นอย่างมาก
เรื่องที่สอง ฝีมือและพรสวรรค์ในด้านหลอมอาวุธของหรงซิวนั้นเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะมาก
หลังจากเขาลังเลอยู่สักพัก ซั่งกวนจิ้งก็คิดตกแล้ว
… มีเพียงผู้ชายเช่นนี้เท่านั้นที่เหมาะสมกับเยว่เออร์ของเขา!
หลังจากมองไปสักพัก ซั่งกวนจิ้งก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า
“หรงซิว พรุ่งนี้พวกเราจะต้องเดินทางตัดผ่านป่าวิญญาณสีชาดแล้ว ชุดเกราะนี้… จะเสร็จทันหรือ?”
หรงซิวหยุดมือลงทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง
ซั่งกวนจิ้งรีบพูดขึ้นว่า
“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้กระตุ้นเจ้า ข้ารู้ว่าอัตราในความสำเร็จสูงมากแน่นอน เพียงแต่หลายวันที่ผ่านมานี้ เจ้าไม่ได้พักผ่อนเลย ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะสูญเสียพลังมากเกินไป… ป่าวิญญาณสีชาดและสุสานสังหารเทพล้วนเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก จำเป็นจะต้องทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดในการจัดการมัน ถ้าไม่เช่นนั้น วันนี้เจ้าพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”
เขาเคยมาที่นี่แล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าที่นี่ยากจะต่อกรมากเพียงใด
เขารู้สึกเป็นห่วงมากจริงๆ หากหรงซิวเข้าไปในสภาพร่างกายเช่นนี้ อาจจะเป็นอันตรายอย่างมาก
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณผู้อาวุโสซั่งกวนสำหรับความหวังดี ข้าไม่เป็นไร อีกทั้งชุดเกราะนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ข้าทำให้เสร็จไปเลยทีเดียวจะดีกว่า”
“ใกล้จะเสร็จแล้วหรือ?”
ซั่งกวนจิ้งมีสีหน้าตกใจ
หรงซิวพยักหน้า
“รอจนกระทั่งขัดอันนี้เสร็จ ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ซั่งกวนจิ้งชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้หรงซิวพูดว่า เขาต้องการหลอมชุดเกราะที่แข็งแกร่งกว่าเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดง
เช่นนั้นก็จะต้องเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาไม่ใช่หรือ?
แต่เหตุใดหรงซิวถึงพูดออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้?
“หลังจากนี้ข้าอาจจะต้องรบกวนให้ท่านช่วยดูแลเยว่เออร์ไปก่อน”
หรงซิวเชิดคางขึ้น
“ข้าจะไปที่นั่น หลังจากจัดการส่วนสุดท้ายสำเร็จแล้ว”
การดึงดูดทัณฑ์สวรรค์ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมากแน่นอน
ข้าไม่อยากรบกวนนาง
ซั่งกวนจิ้งพยักหน้าอย่างลังเล
สีหน้าของหรงซิวราบเรียบเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งความกังวลก็ยังมองไม่เห็น
เหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้จะสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบใด เขาล้วนรับมือได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วยามต่อมา ขณะที่พระจันทร์ลอยเด่นกลางท้องฟ้า
หรงซิวหยิบหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬที่ขัดเรียบร้อยขึ้นมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
เขาสาวเท้าเดินขึ้นไปด้านหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงของแม่นางคนหนึ่งดังขึ้นในระยะไม่ไกล
“ที่นี่คือป่าวิญญาณสีชาด? ดูไปแล้ว… ก็ไม่เท่าไรเลยนี่นา!”
……….