ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 693 โยกย้าย (1)
บทที่ 693 โยกย้าย (1)
“ภัยพิบัติฟ้าของที่นี่ นอกจากช้างสวรรค์แล้ว ยังมีไฟสีน้ำเงินอีก” ลวี่ฉือเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านยังไม่เคยเห็นไฟสีน้ำเงินที่แผ่กระจายไปทั่วขุนเขา และเผาทุกอย่างที่แตะใส่…จะว่าไป เหล่าสหายเมื่อก่อนหน้านี้ต่างก็ได้รับการช่วยเหลือที่ชายขอบแดนรกร้างจากพวกเราเหมือนกับท่าน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจทนได้เกินสองปี…”
ลู่เซิ่งเงียบงัน
ตอนนี้ได้แก่นวิญญาณของตี้วามาก้อนหนึ่งแล้ว เขาจึงพิจารณาอยู่ว่าจะออกที่นี่ก่อนกำหนดดีหรือไม่ ดูท่าทางที่แห่งนี้จะอันตรายกว่าหลายครั้งเมื่อก่อนหน้านี้มาก
“เป็นอะไรไป กลัวหรือ” ชายชราฝูเฉียงหัวเราะเหอะๆ “จะว่าไป เดิมทีสถานที่บัดซบนี่ไม่มีภัยพิบัติฟ้าอะไรเหล่านี้หรอก แต่หลังจากช้างสวรรค์ตกลงมาครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งก็แปรเปลี่ยนไป”
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เลือกวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดมาใช้หยั่งเชิง
“ความจริง…เมื่อครู่หัวข้าถูกกระแทกเข้า เลยจดจำเรื่องเรื่องหนึ่งได้กะทันหัน”
“หือ? ท่านนึกอะไรออกหรือ” ชายชรากับลวี่ฉือพลันเกิดความสนใจ
“พวกท่านรู้จักตี้วาไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยถามตามตรง
“ตี้วาหรือ” ลวี่ฉืองุนงง
“ใช่ ในห้วงสมองของข้ามีแค่ความคิดเดียว นั่นก็คือการหาตี้วาให้เจอ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเจ็บปวด
“ข้าจำไม่ได้แล้วว่าข้าตามหานางไปทำไม และจำไม่ได้เช่นกันว่าถ้าข้าเจอนางแล้วจะทำอะไรได้…ข้าเพียงรู้ว่า ตี้วาจะต้องเป็นคนที่สำคัญต่อข้ามากๆ แน่…ข้าสัมผัสได้ถึงความรักที่ตัวเองมีต่อนาง…ความผูกพันนั้น…ข้าเชื่อว่านางจะต้องรักข้าเช่นกัน…”
ลวี่ฉือผุดสีหน้าแข็งค้างเล็กน้อย แต่เหมือนจะสะเทือนใจเพราะความรักอันล้ำลึกของลู่เซิ่งเช่นกัน รีบถามว่า “ตี้วา…คนที่ท่านพูดถึงคือคนที่เปลี่ยนร่างได้ และมีท่อนล่างเป็นหางงูใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว! เป็นนางเอง!” ลู่เซิ่งยินดีพร้อมแสดงสีหน้าปลาบปลื้ม “หรือท่านจะเคยพบนาง ได้โปรดบอกข้าน้อยด้วย!”
ลวี่ฉือนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเรียก “ตี้วา…เขาว่าเขาชอบเจ้าน่ะ…”
เงียบงัน…
สักครู่ใหญ่ๆ
ตงเหนียนปู๋อวี้ที่ขับรถก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“ตอนนี้ข้าชื่อตงเหนียนปู๋อวี้…” เขาค่อยๆ หมุนตัวมา สายตามองดูลู่เซิ่งอย่างซับซ้อน เคลือบแคลง ตกตะลึง และสับสน
“ข้าเคยชื่อตี้วา…และเปลี่ยนท่อนล่างเป็นหางงูได้…”
ลู่เซิ่งอ้าปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ…
“ท่าน…ที่ท่านพูดเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ” ตงเหนียนปู๋อวี้จ้องมองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง ทั้งมีความเคร่งเครียดและเศร้าศร้อยแฝงอยู่
“แต่…แต่…ตี้วาในความทรงจำข้า…เป็นหญิงสาว…ท่าน…?!” ลู่เซิ่งจ้องมองชายฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อด้วยสีหน้าเหยเก ในใจขื่นขมจนพูดไม่ออก
“รักแท้ไม่แบ่งแยกชายหญิง” ตงเหนียนปู๋อวี้เอ่ยอย่างล้ำลึก “ข้าเร่รอนอยู่บนทะเลทรายผืนนี้มาตั้งแต่ยังเล็กมากๆ ไม่มีความทรงจำใดๆ เมื่อก่อนหน้านี้เหลือเลย จากนั้นก็ได้รู้จักลวี่ฉือ เช่อเฉียง และผู้เฒ่าฝูเฉียง แต่ข้ายังคงจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองเป็นแบบไหน…ในเมื่อท่านจำข้าได้ ก็อาจจะเล่าให้ข้าฟังได้ว่า ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่” ตงเหนียนปู๋อวี้ขอบตาแดงเล็กน้อย
ตอนนี้เสียงคืบคลานอันดังลั่นของเหล่าลูกอ๊อดที่อยู่ไกลออกไปกำลังลอยมาอย่างต่อเนื่อง แต่รถหยุดอยู่ในตำแหน่งปลอดภัยแล้ว
ไม่มีใครพูดอะไร ต่างรอให้ลู่เซิ่งตัดสินใจ
“ก่อนหน้านี้…ข้าเองก็จำเจ้าไม่ค่อยชัดแล้ว แต่เจ้าอ่อนโยนมาก…น่ารักมาก…และเอาใจใส่ข้าด้วย”
“จริงหรือ” ตงเหนียนปู๋อวี้เหมือนจะตื่นเต้นอยู่บ้าง จึงใช้มือจับพวงมาลัยด้านหน้า กล้ามเนื้อบนแขนและหน้าอกเกร็งพองขึ้นมา
“จริง…” ลู่เซิ่งพยักหน้า
แก๊งๆ
แก่นวิญญาณตี้วาที่โปร่งแสงก้อนใหญ่ตกลงบนพื้นรถที่อยู่ข้างลู่เซิ่ง ส่งเสียงดังลั่น
แต่คนอื่นๆ สัมผัสไม่ได้ มีแต่เขาที่เห็น
“ข้า…” ตงเหนียนปู๋อวี้ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งเพื่อจะพูดบางอย่าง ทว่าจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
ด้านหน้าลู่เซิ่งดำมืด เขามายืนอยู่กลางทะเลป่ารอบนอกก้อนดำแล้ว
‘ดูเหมือนตี้วาจะตื่นจากฝันแล้ว…’ เขาไม่มองก้อนดำ หากเหินร่างขึ้นฟ้า บินไปยังทิศทางที่ได้นัดแนะกับเจ้าลัทธิไม่จีรังเอาไว้
ทะเลป่ากว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกับไม่มีจุดสิ้นสุด
บินอยู่ราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเงาคนสองสายก็รอคอยอยู่ตรงนั้นแล้ว
เจ้าลัทธิไม่จีรังกับเจ้าสำนักวสันต์สารทถือปราณและแก่นปราณสีเงินอันขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งเอาไว้พร้อมกับมองมายังทางนี้
“ครั้งนี้น่าจะสำเร็จแล้ว!” ลู่เซิ่งตื่นเต้น เร่งความเร็วเหินเข้าไป แล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลง
ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตาและพยักหน้าพร้อมกัน
แก่นปราณสีเงินสองกลุ่มบนมือขวาของเจ้าลัทธิไม่จีรังกับเจ้าสำนักวสันต์สารทพุ่งออกไปในเวลาเดียวกัน
ลู่เซิ่งชูสองมือขึ้นเพื่อโยนแก่นวิญญาณของตี้วาออกไป
ฟ้าว!
แก่นปราณหายไปในแก่นวิญญาณในพริบตา
ตูม!
เสียงทึบหนักระเบิดกลางอากาศอย่างฉับพลัน ไข่มุกทรงกลมที่เรืองแสงเจ็ดสีหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กค่อยๆ ลอยลงมา
“แบ่งกันอย่างไร” ลู่เซิ่งมองเจ้าลัทธิไม่จีรังและเจ้าสำนักวสันต์สารท
“ก้อนใหญ่แบ่งเป็นสองส่วน พวกท่านเอาไปคนละส่วน ส่วนข้าเอาก้อนเล็ก” เจ้าสำนักวสันต์สารทที่ควบคุมสีหน้ายินดีไม่อยู่เอ่ยเสียงทุ้ม
“ได้!”
เจ้าลัทธิไม่จีรังกับลู่เซิ่งไม่โต้แย้ง
เป็นเพราะการร่วมมือกันเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ราบรื่นนักจนทุกคนใกล้จะแยกย้ายทางใครทางมันแล้ว ทว่าครั้งนี้ในที่สุดก็สำเร็จ จึงช่วยให้ทั้งสามสงบสติอารมณ์ได้อย่างแท้จริง
“เอาละ ครั้งนี้สำเร็จแล้ว ข้าจะกลับไปกักตนเพื่อดูดซับแก่นวิญญาณก้อนนี้ รอจนดูดซับเสร็จ พวกเราค่อยเริ่มใหม่อีกรอบ” เจ้าสำนักวสันต์สารทเอ่ยต่อ
“ได้ สภาพการเปลี่ยนแปลงของตี้วายังเหลือเวลาอีกอย่างน้อยหกหมื่นปี เวลากระชั้น ท่านอย่ากักตนนานเกินไป” เจ้าลัทธิไม่จีรังกล่าวพลางขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าจะกลับไปดูดซับแก่นวิญญาณเช่นกัน”
“เจ้าเล่า” เจ้าสำนักวสันต์สารทพยักหน้าก่อนจะมองลู่เซิ่ง
“ผู้อาวุโสสองท่านต้องใช้เวลาเท่าไหร่หรือ” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“ภายในร้อยปีโดยประมาณ ถึงจะดูดซับเสร็จสิ้น” เจ้าลัทธิไม่จีรังกำหนดเวลา
“ข้าจะกลับก่อน ถึงเวลาจะกลับมาเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ได้” เจ้าลัทธิไม่จีรังพยักหน้า เขารู้ว่าที่ที่ลู่เซิ่งจะกลับไปเป็นที่ไหน แต่เขาแน่ใจว่าลู่เซิ่งจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
ตี้วาเป็นหนึ่งในสัตว์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้เป็นผู้ปกครองระดับมายาพิศวงขั้นสูงสุด ก็ไม่ทราบว่ามีกี่คนต้องการหาแก่นปราณของตี้วา
โอกาสดีๆ แบบนี้วางอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง ยังมีตัวอย่างที่สำเร็จก่อนหน้าอีก เขาจะต้องไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ แบบนี้แน่นอน
“อย่างนั้น พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ในอีกร้อยปีให้หลังเป็นอย่างไร” เจ้าสำนักวสันต์สารทเสนอ
“ตกลง” เจ้าลัทธิไม่จีรังพยักหน้า
หลังจากทั้งสามคนนัดหมายเวลาและสถานที่เสร็จ เจ้าลัทธิไม่จีรังก็ยื่นมือกวักออกมา แก่นปราณตี้วาก้อนที่ใหญ่ที่สุดพลันแยกจากหนึ่งเป็นสอง เขาอ้าปากดูดพลังปราณกึ่งหนึ่งเข้าไปในท้อง จากนั้นหมุนตัวและเหินร่างจากไป
เวลานี้เขาย่อมไม่คิดจะฮุบไว้คนเดียว การเปลี่ยนแปลงของตี้วายังเหลือเวลาอีกนาน หากฆ่าไก่เพื่อเอาไข่ในตอนนี้ วันหน้าคิดจะหามารสวรรค์ที่เหมาะสมอีกสักคนก็คงยากแล้ว
เจ้าสำนักวสันต์สารทหยิบแก่นปราณก้อนเล็กขึ้น แล้วหมุนตัวหายไปกลางอากาศ เหมือนกับกลายเป็นกระแสอากาศไร้รูปร่างนับไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งหยิบแก่นปราณครึ่งที่เหลือเป็นคนสุดท้าย เพิ่งจะแตะโดน เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่า พลังอาวรณ์ที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่จนยากจะบรรยายกำลังทะลักเข้ามาด้านในตัวอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งล้าน? สองล้าน?…
พริบตาเดียวก็มีพลังอาวรณ์สิบสามล้านหน่วยพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณของลู่เซิ่ง
ตัวเขาโซเซ ศีรษะถูกกระแทกจนมึนงง
พลังอาวรณ์สิบสามล้านหน่วยกระแทกกระทั้นจิตวิญญาณของเขาในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีช้างตัวหนึ่งกระแทกน้ำหนักใส่ศีรษะคนธรรมดาขณะที่มัดขาแล้วกระโดดลงจากหน้าผา
ชั่วขณะนั้นลู่เซิ่งสายตาพร่ามัวอยู่บ้าง แต่เขาก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว รีบจับแก่นปราณตี้วาไว้ แล้วหมุนตัวควบคุมควันดำไปยังที่ไกล
‘ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางศ์กับแก่นปราณตี้วาเมื่อก่อนหน้าเป็นหน่วย ตรงนี้มีอยู่สิบสี่หน่วย…ดูเหมือนแก่นปราณทุกๆ หน่วยจะเก็บพลังอาวรณ์ไว้ไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยสุดต่างมีมากกว่าหนึ่งล้าน’ ลู่เซิ่งตื่นตะลึง นี่เป็นวิธีการรวบรวมพลังอาวรณ์ที่ดีที่สุด
เขาจะต้องกลับมาที่โลกใบนี้อีกแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้เขาต้องกลับไปจัดการทุกอย่าง เตรียมตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน ค่อยกลับมาในครั้งหน้า!
ส่วนทางเจ้าลัทธิไม่จีรังกับเจ้าสำนักวสันต์สารท เขาเชื่อว่าขอแค่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของตี้วาช่วงท้าย เขาที่ตอนนี้ยังมีคุณค่าให้ใช้งานไม่มีทางถูกสองคนนี้ละทิ้งง่ายๆ
‘ตอนนี้เราปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่สภาพแบบนี้เป็นเรื่องชั่วคราว…ไอ้แก่อีแก่สองคนนั่นใจกว้างถึงขนาดให้แก่นปราณตี้วากับเรามากมาย เกรงว่าจะไม่คิดปล่อยให้เรารอดกลับไปเป็นๆ’ ลู่เซิ่งเข้าใจดี
ตอนนี้ถ้ำราชากระเรียนกับตำหนักเยวี่ยอ๋องได้อพยพไปซ่อนตัวที่ทะเลทรายอีกแห่งซึ่งอยู่บนชายแดนของราชวงศ์ซีหยาแล้ว ภายภาคหน้าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก เป้าหมายที่เขามายังโลกใบนี้ก็บรรลุแล้วเช่นกัน ควรจะกลับได้สักที
‘ถ้าเราเป็นเจ้าลัทธิไม่จีรัง จะต้องไม่ยอมปล่อยตัวเรากลับโลกมารสวรรค์ง่ายๆ แน่…’ ลู่เซิ่งรู้แน่แก่ใจ
ลู่เซิ่งเดาว่าสองคนนั้นจะต้องวางเล่ห์กลอะไรบนร่างเขาแล้ว เขาจะกลับโลกมารสวรรค์ได้ครบสามสิบสองหรือไม่ยังเป็นปัญหา
‘ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองดูก่อน’ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะถือโอกาสหาอาณาเขตแห่งหนึ่งกลางทะเลป่า พร้อมกับเปลี่ยนควันมารบนมือเป็นหอกยาว แล้วแทงลึกเข้าไปในดินเพื่อขุดถ้ำลึกขึ้นมา
เขาบินหายเข้าไปในปากถ้ำ พริบตาเดียวควันมารก็ลอยออกมาเพื่อย้ายดินโคลนและหญ้าจำนวนมากมาอำพรางปากถ้ำไว้
ลึกลงไปใต้ดินมากกว่าพันหมี่ ลู่เซิ่งถึงค่อยหยุดลงแล้วเริ่มขยายพื้นที่
ใช้เวลาสิบกว่าอึดใจ ก็บุกเบิกถ้ำทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่ขึ้นมาได้ เขาใช้ไฟหยินยึดผนังถ้ำไว้ โดยเผาไหม้ให้กลายเป็นผลึกสีดำที่เรียบเนียนและทนทานเพื่อประคับประคองแรงกดดันจากบริเวณรอบๆ
ใจกลางถ้ำ ลู่เซิ่งหยิบผลึกดำอันเป็นอุปกรณ์สำหรับกางค่ายกลออกมาจากไข่มุกกลืนสมุทร แล้วใช้มันกางค่ายกลสำหรับกลับไปอย่างรวดเร็ว
ผลึกดำถูกเสียบลงไปทีละก้อนๆ
ด้วยขอบเขตของเขาในตอนนี้ แค่โบกมือลวดลายค่ายกลก็เป็นรูปเป็นร่างทันที
หึ่งๆๆ…
ลวดลายค่ายกลในถ้ำค่อยๆ เรืองแสงสีแดง แสงสีแดงนับไม่ถ้วนรวมตัวกลายเป็นเส้นสีแดงราวกับเลือด พร้อมกับไหลไปตามลวดลายค่ายกลเข้าหาลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง
ปราณจริงแท้ปรากฏขึ้นทั่วร่างลู่เซิ่ง ก่อนจะห่อหุ้มตัวเขาเป็นก้อนเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
ท่ามกลางเสียงพลังงานไหลเวียน พลังวิญญาณของผลึกดำที่เสถียรตรงกลางรวมตัวเป็นจุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งสู่ท้องฟ้าในทันใด
ฟ้าว!
ช่องแตกสีเทาสายหนึ่งกางออกเหนือศีรษะลู่เซิ่งอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งไม่ลังเลแม้แต่น้อย ร่างกายเปลี่ยนเป็นแสงดำจุดหนึ่งในพริบตา ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปในช่องแตก
ในกระแสวังวนมิติเวลาสีรุ้งที่บิดเบี้ยว แสงดำที่เปลี่ยนมาจากลู่เซิ่งค่อยๆ ปล่อยแสงสีอ่อนๆ ออกมาเพื่อต้านทานการกัดกร่อนจากกระแสวังวนรอบๆ ตัว
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น แก่นปราณตี้วาบนตัวเขายังได้กระจายแสงสีออกมาโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยเขาต้านทานกระแสวังวนมิติเวลาอีกด้วย
……………………………………………..