ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 674 ก้าวย่าง (2)
บทที่ 674 ก้าวย่าง (2)
‘น่าหน่ายใจจริงๆ ไม่รู้ว่าพวกนางถูกใจเด็กน้อยหวงจิ่งตรงไหน ชายาหรือ โลกแบบนี้ ต่อให้เป็นชายาได้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา’ หยวนจี้คงมองทิศทางที่เหล่าน้องสาวจากไปพร้อมกับหัวเราะขื่นขมในใจ
เขายกจอกสุราขึ้นแล้วดื่มรวดเดียวหมด อยู่ๆ น้ำสุราในจอกก็สะท้อนเงาแดงผืนหนึ่ง
เขาพลันสีหน้าเปลี่ยนแปลง ก่อนจะวางจอกสุราลง
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ!”
ในห้องมีบุรุษวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีแดงโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
บุรุษผู้นั้นงับประตูเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นมิตร แล้วนั่งลงตรงข้ามหยวนจี้คง
“เบื้องบนรอไม่ไหวแล้ว หยวนจี้คง ต่อให้เจ้าไม่สนใจคนอื่น ก็ควรใคร่ครวญเพื่อบิดาเจ้า เยวี่ยอ๋องทำตัวไม่มีเหตุผล ไม่ช้าก็เร็วจะต้องล่มจม ถึงเวลานั้นถ้าบิดาเจ้าถูกถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและโดนกวาดล้าง ก็สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือ ตอนนี้มีโอกาสที่เจ้าจะได้สร้างผลงานเพื่อไถ่โทษแล้วนะ” บุรุษเสื้อคลุมแดงยิ้ม
“ข้าวางยาไปแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ แล้วจะทำอย่างไรได้ หวงจิ่งนั่นจะต้องมียอดคนค้นพบและลอบลงมือช่วยในการหลบหนี ตอนนี้ที่ไปฝึกบำเพ็ญเต๋าอะไรสักอย่าง ก็ต้องเป็นเพราะมีคนชี้แนะให้หลบไปอยู่ห่างๆ แน่” หยวนจี้คงกล่าวอย่างอึดอัดคับข้อง
เขากล่าวความลับใหญ่แบบนี้ออกมาโดยไม่ยี่หระ ถึงอย่างไรขอแค่บุรุษสวมเสื้อคลุมแดงผู้นี้โผล่มา รอบๆ จะมีการปิดกั้นเสียงที่แข็งแกร่งสุดขีด จนคนอื่นไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
“พวกเราไม่สงสัยเจ้าหรอก แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นอย่างที่หวัง หนึ่งครั้งล้มเหลวเจ้าก็จงทำสองครั้ง สองครั้งล้มเหลวเจ้าก็จงทำสามครั้ง หวงจิ่งนั่นเป็นแค่คนธรรมดา พวกเราสังเกตและยืนยันเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว” บุรุษเสื้อคลุมแดงเอ่ยเบาๆ
หยวนจี้คงนิ่งไป ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ครู่ต่อมาเขาจึงค่อยๆ เอ่ยว่า
“บอกมา ครั้งนี้จะให้ข้าทำอะไร”
บุรุษเสื้อคลุมแดงหัวเราะ ครั้งนี้จะต้องทำภารกิจสำเร็จได้แน่
ในเมื่อวางยาแล้วยังไม่ตาย อย่างนั้นก็ส่งแม่ทัพปีศาจไปลงมือเองเลย! แค่คนธรรมดาคนเดียว ต่อให้เป็นซื่อจื่อของอ๋อง เมื่อเผชิญกับเผ่าปีศาจ ก็ได้แต่วิงวอนร้องขอชีวิตโดยไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแม้แต่น้อยเท่านั้น
…
ด้านในถ้ำ
ใต้แสงจากผลึกสีเหลืองมัวซัว ลู่เซิ่งวางกระเรียนขาวตัวหนึ่งที่สลบอยู่ ลงบนหินเรียบก้อนหนึ่ง
คัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ได้ชักนำปราณจริงแท้มหากระเรียนพิสุทธิ์เข้าไปด้านในตัวกระเรียนขาวน้อย และเริ่มโคจรไปตามเส้นเลือดอย่างช้าๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแล้ว
‘คัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่นี้ค่อนข้างพิสดาร น่าเสียดายที่ไม่ใช่วิชาหลัก ต่อให้ดีอย่างไร ก็เป็นแค่คัมภีร์รองเท่านั้น’ ลู่เซิ่งโบกมือ ขณะแสงสีแดงจุดหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้นกลางร่างของกระเรียนขาวน้อย
‘นี่คือต้นกำเนิดวิญญาณ…แกนหลักที่เป็นตัวแทนต้นกำเนิดชีวิต เกิดว่าต้นกำเนิดวิญญาณดับสลาย อย่างนั้นไฟแห่งชีวิตก็จะดับลงเช่นกัน’ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ลู่เซิ่งได้แยกสิ่งของที่น่าสนใจไม่น้อยออกจากเคล็ดวิชาสองชุดนี้แล้ว
การค้นพบต้นกำเนิดวิญญาณเป็นหนึ่งในนี้
ต้นกำเนิดวิญญาณเหมือนกับศักยภาพในกายของสิ่งมีชีวิตมากกว่า ยิ่งมีศักยภาพแข็งแกร่งเท่าไหร่ ความสูงที่ยกระดับได้ก็จะยิ่งมากเท่านั้น
ลู่เซิ่งกระตุ้นปราณจริงแท้ใหม่ในตัวอย่างระมัดระวัง แล้วเติมปราณจริงแท้มหากระเรียนพิสุทธิ์จำนวนมากกว่าเดิมเข้าไปในตัวกระเรียนขาวน้อยอย่างช้าๆ
ปราณจริงแท้ที่เติมใส่ก่อนหน้านี้มีแค่สายเดียว เพื่อทำให้กระเรียนขาวตัวน้อยปรับตัวกับคุณลักษณะของปราณจริงแท้นี้ได้และเตรียมร่างกายให้พร้อม
ตอนนี้รอมาแล้วราวหนึ่งวัน ถือว่าเพียงพอแล้ว เขาเริ่มเติมปราณจริงแท้ที่เหมือนกับของเสี่ยวอวิ๋นให้กระเรียนขาวน้อยตัวนี้อย่างเป็นทางการ
ฟิ้ว
ไอขาวสายหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากปากลู่เซิ่ง กลายเป็นเส้นสายเส้นหนึ่งเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ก่อนจะแทงเข้าไปในจุดที่ต้นกำเนิดวิญญาณอยู่หรือก็คือตรงกลางลำตัวกระเรียนขาวน้อยอย่างแม่นยำ
แสงสีแดงระเบิดเจิดจ้าในทันใด ต้นกำเนิดวิญญาณราวกับหัวใจเริ่มเต้นอย่างรุนแรง
ไอขาวที่พุ่งเข้าไปถูกมันกลืนกินและหลอมรวมอย่างละโมบ พริบตาเดียวก็จางหายไปไม่เหลือสักหยดเดียว
ลู่เซิ่งเติมปราณจริงแท้เข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เวลาผ่านไปทีละนิดๆ แสงของต้นกำเนิดวิญญาณยิ่งมายิ่งสว่าง ยิ่งมายิ่งแยงตา
พรูด!
ทันใดนั้นแสงสีแดงแข็งค้างไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป ไอขาวค่อยๆ กระจายออกมาจากสองฟากข้าง แล้วถูกลู่เซิ่งดูดซับเข้าปากใหม่
แต่ก็มีสิ่งที่บรรยายไม่ได้บางอย่างลอยออกมาจากไอขาวที่กระจัดกระจายในตอนสุดท้าย แล้วหลอมรวมเข้ากับแสงสีแดงในชั่วขณะที่พร่ามัว
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเหมือนกับตนเองเติมของไม่ดีเข้าไป…
‘เต็มแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งค่อยๆ เก็บวิชาพร้อมกับถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วโคจรคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่
ขนปีกของกระเรียนขาวตัวน้อยบนก้อนหินเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างเชื่องช้าและไร้สุ้มเสียง ขนาดตัวใหญ่และยาวขึ้นเรื่อยๆ จะงอยปากแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ ขาเองก็หนาและยาวขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
‘อยากจะเห็นเหมือนกันว่า ถ้าหากปราณจริงแท้ที่หลอมรวมด้ายกระตุ้นวิญญาณถูกเติมเข้าไปในต้นกำเนิดวิญญาณแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ตอนนั้นเราเติมปราณจริงแท้เข้าไปในตัวเสี่ยวอวิ๋นก่อน จากนั้นค่อยใส่ด้ายกระตุ้นวิญญาณที่มีปราณจริงแท้แทรกอยู่เข้าไป ทว่าตอนนี้เราเพิ่มด้ายกระตุ้นวิญญาณที่ผสมกับปราณจริงแท้เข้าไปตั้งแต่เริ่มแรก’
ลู่เซิ่งมองดูกระเรียนขาวน้อยบนก้อนหินอย่างคาดหวังและเคร่งเครียด
คัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่นี้ควบคุมกระเรียนขาวได้ทั้งหมดสามตัว นี่เป็นจำนวนสูงสุดแล้ว ความจริงวิชานี้จะกระตุ้น ฝึกฝน และบ่มเพาะให้กระเรียนขาวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เสมือนว่าเป็นของวิเศษ
เทียบเท่ากับอาชีพอย่างผู้อัญเชิญที่ลู่เซิ่งเคยรู้จัก
การเติบโตของกระเรียนขาวนั้นเริ่มเกิดปัญหาจริงๆ ด้วย
ขนปีกยาวช้าลงเรื่อยๆ สิ่งที่มาแทนที่คือกล้ามเนื้อจำนวนมากซึ่งนูนขึ้นจากข้างใต้ผิว
สองปีกของมันขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นสายกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และเส้นเอ็นนูนขึ้นใต้ผิวอย่างรวดเร็ว
เวลานี้สองขาที่ตอนแรกเรียวยาวหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน คอยาวที่เหมือนกับแจกันคอคอดในตอนแรกมีกล้ามเนื้อที่เหมือนกับเกล็ดมังกรหลายก้อนนูนออกมา เติบโตจากขนาดเท่ากำปั้นเมื่อก่อนหน้าจนใหญ่เท่ากับศีรษะคน
กรรซ์!
ทันใดนั้น กระเรียนขาวน้อยก็ลืมตาและเงยหน้าส่งเสียงคำราม ขนปีกบนร่างมันระเบิดเป็นเศษเล็กเศษน้อย เหลือแค่ขนสีขาวหย่อมหนึ่งบนศีรษะเท่านั้นที่ชูสูงด้วยแรงเค้นของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่ราวกับเหล็กกล้าของมันดูดุดันและกำยำกว่าเดิมใต้ม่านแสงมืดสลัว เหมือนกับอสูรร้ายน่ากลัวที่เผยเค้าโครงออกมาในความมืด
“ท่านพ่อ” กระเรียนขาวน้อยค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วก้าวลงมาจากแท่นหินเหมือนมนุษย์ “ข้า ได้ตื่นขึ้นแล้ว…”
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แม้แต่ตัวเขาก็คาดคิดไม่ถึงเช่นกัน
กระเรียนขาวน้อยตัวนี้คือสัตว์ธรรมดาๆ ที่เกิดสติปัญญาขึ้นและเติบโตกลายเป็นปีศาจน้อยหลังจากคุณสมบัติเปลี่ยนแปลง
จากนั้นก็เข้าสู่ระดับภูตปีศาจผ่านพลังยุทธ์ล้ำลึกนับพันกว่าปีของลู่เซิ่ง โดยข้ามการฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาหลายร้อยปี
นี่ก็คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณที่ผสมกับปราณจริงแท้ของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ เติมพลังยุทธ์หลายร้อยปีเข้าไป
เขามองกระเรียนขาวน้อยอย่างปลาบปลื้ม
“ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะได้ชื่อว่าเสี่ยวเจิน ไปเถอะ พาเสี่ยวอวิ๋นไปด้วย มันยังไม่ได้เปิดสติปัญญา เจ้าจงดูแลให้มากๆ”
“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะจำไว้” เสี่ยวเจินพยักหน้าอย่างจริงจังพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะโบกมือทีหนึ่ง พายุปีศาจสีเทาสายหนึ่งพลันพัดออกมาม้วนขนปีกสีขาวที่กระจัดกระจายทั่วพื้นขึ้นมาเกาะติดบนร่าง กลายเป็นอาภรณ์ปีกสีขาวชิ้นหนึ่งอย่างฝืนๆ
“อย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านพ่อ”
“ไปเถอะ”
ลู่เซิ่งเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของเสี่ยวเจินได้ สิ่งมีชีวิตที่ได้เปิดสติปัญญาจากความสับสนงุนงง เทียบได้กับการมอบชีวิตให้ กล่าวได้ว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงเหมือนกับบิดามารดาให้กำเนิด
การที่กระเรียนขาวน้อยเรียกเขาว่าท่านพ่อ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
หากเปิดสติปัญญาขึ้นเมื่อไหร่ ความทรงจำและประสบการณ์เมื่อก่อนหน้าของกระเรียนขาวน้อยก็จะกลายเป็นความเป็นมาของมันในปัจจุบัน จะมีความรู้อันมั่งคั่งจนสามารถทำความเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างรวดเร็ว เช่นภาษา วัฒนธรรม และสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่าง
‘หากดูจากบันทึกในคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ คุณสมบัติของเสี่ยวอวิ๋นน่าจะดีกว่าเสี่ยวเจิน ดูจากลักษณะเด่นแล้ว เสี่ยวเจินน่าจะอยู่ในระดับภูตปีศาจ แต่เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่เสี่ยวอวิ๋นอาจจะเป็นระดับแม่ทัพปีศาจ ดูเหมือนแหล่งกำเนิดและโครงสร้างก่อนกำเนิดของสิ่งมีชีวิตจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จและระดับที่มันสามารถไปถึงได้ในอนาคต’
ลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้
เขาไม่ได้สนใจปราณจริงแท้หลายร้อยปีที่ส่งถ่ายออกไป เพราะตัวเขามีปราณจริงแท้เยอะกว่าอย่างอื่นอยู่แล้ว แก่นหยางสามารถสกัดเป็นปราณจริงแท้ปริมาณมหาศาลได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ไม่พอ แค่ใช้พลังอาวรณ์ยกระดับพลังยุทธ์ ก็จะฟื้นสู่สภาพสมบูรณ์ได้ในพริบตาเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฟื้นฟูปราณจริงแท้ของเขายังเหนือกว่าความเร็วในบันทึกดั้งเดิมของปราณจริงแท้กระเรียนพิสุทธิ์
สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่เรียนรู้จนสมบูรณ์แบบนี้เหนือกว่าฉบับดั้งเดิมในทุกๆ ด้านไปไกลโข
ปราณจริงแท้ที่ส่งถ่ายออกไป ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากโลกภายนอกมาเติมเต็มเหมือนเดิมได้ ดังนั้นสิ่งที่ลู่เซิ่งพิจารณาอยู่ในตอนนี้ก็คือขีดจำกัดด้านชีวิตของตัวกระเรียนเซียนพวกนี้
ยิ่งพวกมันรับปราณจริงแท้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน กระเรียนขาวที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดที่ลู่เซิ่งเคยพบเจอก็คือเจ้าสนขาว
ครั้งนี้ถ้าทำให้เจ้าสนขาวยอมรับได้ อย่างนั้นภายหลังหากคิดจะทำอะไรจะสบายกว่าเดิมเยอะ
พึงทราบว่าคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่เป็นสิ่งที่ส่งผลแก่กันและกัน ยิ่งกระเรียนขาวแข็งแกร่ง หรือกระเรียนขาวที่ควบคุมแข็งแกร่งเท่าไหร่ ผู้ควบคุมก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น พลังการป้อนกลับที่จะได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
กระเรียนขาวแต่ละตัวจะมอบคุณสมบัติร่างกายส่วนหนึ่งคืนให้แก่ผู้บำเพ็ญร่วม
สำนักกระเรียนพิสุทธิ์อาศัยเรื่องนี้ถึงค่อยได้รับความสามารถในการสู้รบระดับหนึ่ง จนพอจะประคองตัวในป่าเขาผืนนี้ได้
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงกระเรียนแหลมคมดังมาจากด้านนอก ไม่ใช่แค่หนึ่งตัว หากเป็นหนึ่งฝูง!
ในนี้มีเสียงร้องของเสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวเจินแทรกอยู่
เขารีบเดินออกจากถ้ำ แล้วก็เห็นเสี่ยวเจินที่สูงหกหมี่กว่าๆ ทำสีหน้าเคร่งขรึม ปีกบนร่างที่เหมือนเสื้อคลุมถูกลมพัดจนส่งเสียงพรึ่บพั่บ
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้ามันคือเสี่ยวอวิ๋นที่สองตาแดงเรื่ออยู่บ้างนั่นเอง
ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันเพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง กระเรียนขาวของฝูงกระเรียนทั้งหมดมุงอยู่รอบๆ เจ้าสนขาวก็อยู่ในนี้เช่นกัน กำลังจ้องมองเสี่ยวเจินที่เดินออกมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เสี่ยวอวิ๋นเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการคุกคาม ถึงได้ส่งเสียงร้องใส่เสี่ยวเจินไม่หยุด
“เป็นอย่างไรเจ้าสนขาว ครั้งนี้ยอมรับโดยสิ้นเชิงแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งมองไปยังเจ้าสนขาวในฝูงกระเรียนทันที
เจ้าสนขาวพิจารณาเสี่ยวเจินอยู่นานมาก ก่อนหน้านี้แม้มันจะมอบตำแหน่งผู้นำให้แล้ว แต่ไม่คิดจะทดลองการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยตัวเอง
ทว่าตอนนี้…
“นี่มันยาวิเศษอะไรกันแน่…น่าเหลือเชื่อโดยแท้!”
“นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น…” ลู่เซิ่งเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยล้ำลึก
ถ้าหากเปลี่ยนแปลงกระเรียนนขาวห้าสิบตัวได้ทั้งหมด อย่างนั้นขั้นแรกของแผนการก็จะสำเร็จอย่างราบรื่นแล้ว
เหล่ากระเรียนเซียนที่ได้รับการปรับเปลี่ยนจะป้อนพลังที่เหี้ยมหาญสุดขีดกลับคืนให้แก่เขา ขณะเดียวกันก็จะมีสติปัญญามากพอจะทำให้การวางหมากในภายหลังของเขาสำเร็จเช่นกัน
ตอนนี้เพิ่งจะสร้างกระเรียนเซียนระดับภูตปีศาจได้ตัวเดียว ดูเหมือนสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ยังต้องการการยกระดับอีกขั้น พูดอีกอย่างก็คือ ต้องได้คัมภีร์ปีกขาวฉบับพัฒนามาก่อน ถึงจะลงมือต่อได้
ถึงเวลาหงายไพ่กับคนของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์แล้ว
………………………………………