มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1713
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” หลัวซิวก็ขมวดคิ้วด้วย
“เจ้ายังอ่อนแอเกินไป!” ซางส่ายศีรษะไปมา จากนั้นก็ไม่สนใจหลัวซิวทันที หันกลับและเดินเข้าไปในตำหนักวัฏสงสาร
“นี่มันเรื่อวอะไรกัน?” หลัวซิวยิ่งหมดคำจะพูดเข้าไปใหญ่ หากไม่ใช่ว่าไม่ชัดเจนว่าซางผู้นี้เป็นใครมากจากที่ใดกันแน่ เขาก็มีความรู้สึกวู่วามอยากจะตะโกนด่าอยู่เช่นกัน
นี่เป็นตัวหยั่งรู้ของเขา มาอาศัยอาณาเขตของตนอยู่ จะให้เกียรติกันหน่อยไม่ได้เลยหรือ?
ถึงแม้ว่าซางจะไม่ได้ตอบคำถามของตน แต่หลัวซิวก็พอที่จะเดาได้คร่าว ๆ ว่าจ้าววัฏสงสารรุ่นที่สิบที่อีกฝ่ายกล่าวถึงนั้น น่าจะหมายถึงเขา ทั้งหมดนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาได้รับลูกแก้วความเป็นตายและตำหนักวัฏสงสาร
เมื่อความคิดถอนออกมาจากตัวหยั่งรู้ ทันใดนั้น เสียงคำรามของปีศาจเพลิงก็ดังขึ้นที่ข้างหูของหลัวซิว
“ไอ้มนุษย์มดไร้ค่า กล้าดีอย่างไรที่ไม่สนใจผู้ยิ่งใหญ่อย่างปีศาจเพลิง?”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“……”
หลัวซิวไม่ได้สนในเจ้าปีศาจเพลิงตนนี้ ในตอนนี้เขาสามารถมองออกแล้วว่า ปีศาจเพลิงตนนี้ถูกควบคุมอยู่ที่นี่และจะไม่สามารถโจมตีตนเองได้แต่อย่างใด ด้วยพละกำลังทั้งหมดของมัน ล้วนถูกค่ายกลภายในโถงใหญ่แห่งนี้ควบคุมเอาไว้แล้ว
สำหรับเรื่องที่ซางเพิ่งเอ่ยว่าให้เขากลั่นแปรเจ้าปีศาจเพลิงตนนี้เสีย หลัวซิวกลับทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าปีศาจเพลิงตนนี้ยังมีชีวิตอย่างดีอยู่เลย ต่อให้มันยินยอมให้ตนกลั่นแปรได้ตามใจชอบ หลัวซิวประเมินการถึงผลการฝึกตนของตนในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลั่นแปร
แต่โถงใหญ่นี้เต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ต่างเป็นค่ายกลกลั่นแปรปีศาจเพลิงที่แผ่กระจายออกมา พลังล้นเหลือเช่นนี้ สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น ผลลัพธ์ของดูดกลืนกลั่นแปร ไม่ด้อยไปกว่าการใช้ยาเซียนระดับแปดเลย
หลัวซิวจึงนั่งขัดสมาธิทันที ยกมือขึ้นแล้วทำยันต์ค่ายขึ้นมาสองสามชิ้น ตัดเสียงคำรามของปีศาจเพลิงออกไป ในไม่ช้าก็เข้าสู่สถานะของฝึกตน
พลังงานภายในร่างกายของปีศาจเพลิง เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎเพลิงอัคคี แต่สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังAttrใด ๆ ต่างก็สามารถกลั่นแปรได้
เขาเปิดโลกาศุภร ท่ามกลางเวลาหนึ่งต่อสิบเอ็ด เขาเพิ่งบรรลุเทพฟ้าขั้นสี่ได้ไม่นานเท่าใดนัก ทรงตัวอย่างรวดเร็วและยกระดับขึ้นเป็นเทพฟ้าขั้นสี่ช่วงกลาง ช่วงปลาย กระทั่งถึงขั้นสูง
เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพฟ้าขั้นสี่ขั้นสูง หลัวซิวก็หยุดฝึกตน ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถบรรลุถึงแดนที่สูงขึ้นได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งจะบรรลุได้ไม่นาน ไม่อยากให้เข้าแดนเร็วเกินไป ถึงอย่างไรการสัมผัสรู้ของเขาต่อแดนเทพฟ้าขั้นสี่นี้ ก็ยังไม่บริบูรณ์
“ไอ้หนู เจ้าโง่เกินไปแล้ว ข้าให้เจ้ากลั่นแปรเจ้าปีศาจเพลิง เจ้าจะดูดซับเพียงพลังงานไร้ประโยชน์ทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?”
ท่ามกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตซางก็พลันดังขึ้น
“ข้าจะกลั่นแปรได้อย่างไร? ปีศาจเพลิงตนนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมกุฎเทพ เป็นสิ่งที่ข้าสามารถกลั่นแปรได้งั้นหรือ?” หลัวซิวพูดตอบอย่างเบื่อหน่าย
“แน่นอนว่าตัวเจ้ากลั่นแปรไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่เจ้าพูดมามันก็ไม่ถูก ปีศาจเพลิงตนนี้ไม่ใช่มกุฎเทพ แต่เป็นจ้าวมหาเทพ ในตอนที่มันอยู่ในสภาวะขั้นสูง พลังก็สามารถเทียบเท่าได้กับกึ่งจักรพรรดิเทพแล้ว”
ร่างของซางเดินออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร มุ่ยปากพูด “แม้ว่าจะผ่านการกลั่นแปรไปเป็นเวลาหลายพันล้านปี ปีศาจเพลิงตนนี้ก็ได้อ่อนแอลงอย่างมากแล้ว แต่ก็ยังมีผลการฝึกตนจ้าวมหาเทพช่วงต้น ด้วยพลังของเจ้า แน่นอนว่าไม่สามารถกลั่นแปรได้”
“แต่ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปกลั่นแปร เจ้าไม่รู้จักใช้สมองคิดเสียหน่อยหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้ว หรือว่ามีบางอย่างที่ตนมองข้ามไปหรือ?
“มีค่ายกลกลั่นปีศาจถูกจัดวางเอาไว้ในโถงใหญ่แห่งนี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพผู้หนึ่งสร้างเอาไว้ หากเจ้าสามารถเชี่ยวชาญค่ายกลนี้ได้ แค่กลั่นแปรปีศาจเพลิงแดนจ้าวมหาเทพช่วงต้น ก็เป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายมิใช่หรือ?”