มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 1 เขตหวงห้ามสามพันลี้
แต่ไรมาปฐพีนี้ดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนสมบูรณ์ ที่แห่งนี้งามงดมีอันใดให้ต้องสงสัย ฤาตั้งใจให้ข้าร่ายกลอนเชยชม หมู่บุษบงส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วทั้งหุบเขา หญ้าน้ำลู่ลมเริงระบำ ก่อเกิดคลื่นน้ำเบาบาง
หากให้อวี้ชวน[1]หยิบยืมสายน้ำเขาคงดีใจ แม้นเซียนบนฟ้าคงมิได้คำนึงหา วานสายน้ำช่วยส่งข้ากลับบ้านที ยอดคีรีเหลือเพียงอาทิตย์อัสดง หยดน้ำค้างเปียกซึมอาภรณ์
(นำบทกวี ‘หลินเจียงเซียน เฟิงสุ่ยต้งจั้ว[2]’ ของซูซื่อมาใช้เป็นคำปรารภ)
……
……
ทางตอนใต้ของแผ่นดินเฉาเทียน เทือกเขาเขียวขจีเทือกหนึ่งนอนทอดกายยาวเหยียดออกไปหลายพันลี้ ยอดเขาอันงดงามนับหลายร้อยแอบซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมู่เมฆตลอดทั้งปี
สำนักชิงซาน ซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งในใต้หล้าตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ชาวบ้านทั่วไปยากยลโฉมที่แท้จริงของสำนัก
ภายนอกสำนักมีหมู่บ้านแลเมืองธรรมดาตั้งกระจัดกระจาย ในนั้นมีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงเนินเขาทิศตะวันตกเฉียงใต้ เหตุเพราะมีหมอกไหลจากในภูเขามารวมกันที่นี่ มันจึงได้นามว่าอวิ๋นจี๋
เมืองอวิ๋นจี๋ทิวทัศน์งดงาม เวลานี้เป็นต้นวสันตฤดูพอดี สายลมอ่อนโยนโชยผ่านใบหน้า ดอกหยางพลิ้วไหวลู่ตามลม หมอกขาวเบาบางคล้ายมีคล้ายไม่มี ราวกับดินแดนแห่งเซียนก็มิปาน
ชาวเมืองเดินไปมาตามปกติ ด้วยว่าคุ้นชินกับภาพแบบนี้มานาน ทว่าเหล่าอาคันตุกะต่างถิ่นบนเหลาสุราพากันอุทานชื่นชมมิขาดปาก
แต่อินซานที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างกลับคิดแต่จะกินหม้อไฟ
“โลกนี้มิมีปัญหาใดที่หม้อไฟหนึ่งมื้อจะแก้ไขมิได้ แม้นว่ามี เช่นนั้นก็ใช้หม้อไฟสองมื้อ….คำกล่าวนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมิงตู ได้ยินว่ามันแพร่มาจากเจาเกอ แต่ข้ากลับคิดว่าน่าจะมาจากมณฑลอี้โจวมากกว่า พวกเจ้าเองก็รู้ว่าที่ดินแดนของพวกข้าทั้งปีมิเคยได้เห็นแสงอาทิตย์ ทั้งอับชื้นและหนาวเหน็บ เช่นนี้แล้ว ผู้ใดบ้างจะไม่ชื่นชอบหม้อไฟเล่า? หวังให้เห็ดเจริญงอกงามอย่างนั้นฤา? พวกเจ้าที่อยู่บนดินชื่นชอบ แต่พวกข้ากินมันมาหลายหมื่นปีจนเบื่อหน่ายเต็มที เวลานี้ข้าเพียงอยากลิ้มรสหม้อไฟแบบดั้งเดิมสักมื้อ จากนั้นกลับไปคุยโวโอ้อวด ข้ากระทำอันใดผิดหรือ?”
อินซานจ้องมองไส้เป็ดที่หมุนวนอยู่ในน้ำแกงสีแดงแลฮวาเจียว[3] ที่ลอยขึ้นลงไม่หยุด ก่อนจะกลืนน้ำลายดังอึกแล้วเงยหน้าขึ้นมองดรุณีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ดรุณีนางนี้ผมสั้นดำขลับเป็นเงางาม ดวงตาและคิ้วทั้งสองงดงามดุจภาพวาด ทั้งอ่อนเยาว์แลไร้เดียงสา หากนางยิ้มขึ้นมา คงจักดูทะเล้นมิใช่น้อย ทว่านางหาได้ยิ้มไม่ หนังตาของนางตกเล็กน้อย กระทั่งขนตาที่เล็กเรียวก็มิได้กระดิกเลยแม้เพียงนิดเดียว ดูคล้ายดั่งภาพเหมือน หาใช่คนจริงๆ ไม่
ภายในห้องยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าของชาวบ้านที่สัญจรไปมานอกหน้าต่างดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อินซานกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าที่ตัวข้ายังอยู่ที่นี่ก็ด้วยปรารถนาจะชมเรื่องสนุก ทว่าเรื่องสนุกครานี้ ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีผู้ใดมิปรารถนาจะชมเล่า? และเป็นเพราะเหตุนี้ พวกเจ้าเลยคิดกำจัดข้า? ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง ศิษย์น้องหญิงท่านนี้ เจ้าช่วยคลายเจ้าสิ่งนี้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ต่อให้มิปล่อยข้าไป แต่ก็ให้ข้าได้กินสักคำสองคำก่อนเถิด ผ้าขี้ริ้ววัวแลหลอดเลือดหัวใจ หากยังมิรีบตักขึ้นมา มันจักหมดความอร่อยเอาได้”
ไส้เป็ดจมลงก้นหม้อ ฮวาเจียวยังคงลอยขึ้นๆ ลงๆ ผ้าขี้ริ้วและหลอดเลือดหัวใจเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
อินซานมิอาจกินของเหล่านี้ได้ เนื่องเพราะมีโซ่โลหะสีเงินเส้นเล็กเส้นหนึ่งมัดร่างกายของเขาไว้แน่น เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ยิ่งไม่สามารถจับตะเกียบได้
สาวน้อยนั่งนิ่งมิไหวติง ไม่มีวาจาใดๆ เอ่ยออกมา
อินซานพลันกล่าวว่า “กระบี่ของเจ้าล่ะ? หากเจ้าใช้กระบี่บินลอบสังหารข้าก่อน ข้าย่อมมิอาจปัดป้อง ทว่าเวลานี้เจ้ากลับนั่งอยู่ตรงหน้าข้าเยี่ยงนี้ หรือเจ้ามิกลัวข้าโจมตีกลับ? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าโซ่กระบี่เส้นนี้สามารถรั้งตัวข้าไว้ได้?”
สาวน้อยยังมิแยแสสนใจเขา
ในที่สุดอินซานจึงทำท่าทีขึงขังจริงจังพร้อมกล่าวว่า “สำนักชิงซานคือสำนักใหญ่แห่งวิถีกระบี่ เป็นผู้นำแห่งความถูกต้อง หรือคิดจะฆ่าโดยมิถามไถ่?”
ในที่สุดสาวน้อยก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแวววาวแลกระจ่างใส มิมีอารมณ์อื่นใดปะปนให้เห็น
เมื่อเห็นสายตาเยี่ยงนี้ อินซานพลันรู้สึกโล่งใจ แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตรงหว่างคิ้ว คล้ายดั่งมีหยาดฝนหยดหนึ่งตกลงมาตรงนั้น
กระบี่สั้นเล่มหนึ่งหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขา
เขาหารู้ไม่ว่าตรงหว่างคิ้วของเขาได้มีรูปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง รูทั้งเล็กทั้งกลม ใช้คำว่าประณีตมานิยามก็ดูมิผิดนัก
เลือดสดๆ สายหนึ่งไหลออกมาจากหว่างคิ้วของเขาราวกับน้ำพุสายเล็กๆ ก่อนจะหยดลงไปในหม้อไฟ
โลหิตของศิษย์แห่งเผ่าหมิงเองก็ร้อนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับน้ำแกงในหม้อไฟแล้วกลับเยียบเย็น น้ำแกงที่เดือดพล่านค่อยๆ สงบลง
พลังชีวิตในดวงตาของเขาหายไป คงเหลือไว้เพียงสีหน้าที่ยังคลางแคลงสงสัย
เปลวไฟอันเยือกเย็นนับหลายร้อยดวงลอยตามเจตน์กระบี่อันน่าครั่นคร้ามไปรอบเหลาสุรา เมื่อปะทะกับวัตถุพลันสลายหายไป นั่นคือเศษเพลิงวิญญาณของศิษย์แห่งเผ่าหมิง
สีหน้าสาวน้อยคร่ำเคร่ง สองคิ้วเลิกขึ้น หางตายกขึ้นตามติด ประดุจดั่งใบหลิวเรียวเล็กที่มีความแหลมคมอยู่ในตัวเขาเอง
แต่แค่อึดใจเดียว คิ้วของนางพลันร่วงตกลงมา คล้ายกำลังครุ่นคิดบางเรื่องอยู่
กระบี่สั้นเล่มนั้นบินออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหายลับไปบนถนน
นิ้วของเด็กสาวขยับเล็กน้อย โซ่เหล็กที่รัดตัวอินซานเส้นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งร่วงตกลงบนข้อมือ ก่อนจะกลายเป็นสร้อยข้อมือสีเงิน
“ข้าเป็นศิษย์นอกสำนัก ไม่มีกระบี่”
เด็กสาวลุกขึ้นกล่าวกับอินซานที่หมดลมไปแล้ว
ศพของอินซานล้มไปบนพื้น
นางเปิดประตูห้อง สืบเท้าก้าวออกไป
เสียงหวีดร้องอุทานตกใจดังขึ้นภายในเหลาสุรา เหล่าแขกที่กำลังรับประทานอาหารแลนักท่องเที่ยวต่างพากันวิ่งกรูออกไปด้านนอกอย่างแตกตื่นลนลาน
หมอกเบาบางบนถนนยังมิทันจางหาย บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น สีหน้าเขาเฉยชา ใบหน้าซูบผอม สายตาเยือกเย็น แลดูมีความเป็นเซียนอยู่ในตัว
“มารชั่วเผ่าหมิงมาลอยหน้าลอยตาที่สำนักชิงซานของเรา ตายยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ มีหรือที่ทุกคนจะมิรู้ถึงสถานะของบุรุษผู้นี้
อาคันตุกะต่างถิ่นตระหนกตกใจ พวกเขารีบคุกเข่าไปกับพื้น มิกล้าเงยหน้าสบตา
ชาวบ้านภายในเมืองเองต่างพากันหมอบกราบแนบพื้น ปากพร่ำเรียกขานท่านอาจารย์เซียน หากแต่เนื่องด้วยอาศัยอยู่อวิ๋นจี๋มานาน ได้ยินได้ฟังวีรกรรมของเซียนแห่งสำนักชิงซานมาก็มาก บางคราถึงขนาดได้พบพานท่านอาจารย์เซียน มิทันไรจึงตื่นจากความตระหนก ทั้งยังคิดว่าเรื่องราวในวันนี้มันผิดแผกไปจากปกติยิ่งนัก
เผ่าหมิงและมนุษย์รบราฆ่าฟันกันมายาวนานหลายหมื่นปี รากแค้นฝังลึกยากคลี่คลาย กระทั่งหลังนักพรตฉุนหยางแห่งสำนักชิงซานแลเสินหวงในครานั้นร่วมมือกันพิชิตกองทัพของหมิงซือได้ที่ต้าเจ๋อ ทั้งสองฝ่ายก็มิได้ทำศึกระหว่างกันเป็นเวลานานหลายปี ถึงขนาดแอบมีการติดต่อไปหากันอย่างลับๆ เสียด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นสถานที่เฉกเช่นเมืองเจาเกอหรือจังหวัดเฟิงเตา ในเวลานี้หากจับมารร้ายของเผ่าหมิงได้ ขอเพียงมิใช่สายลับ ก็มักจะแค่ถูกส่งไปยังคุกสะกดมาร เพื่อรอโอกาสในการแลกเปลี่ยนคนหรือขู่เข็ญเอาทรัพย์สินเงินทองจากทางเผ่าหมิง ยิ่งไปกว่านั้นสำนักชิงซานยังเป็นสำนักเซียนที่ไม่ข้องแวะกับทางโลก กระทำการใดๆ ล้วนแต่เปิดเผยเรียบง่าย เหตุไฉนวันนี้ถึงได้ลงมือเหี้ยมโหดเพียงนี้?
สายลมพัดแผ่วเบา ม่านหมอกบนถนนจางหายหมดสิ้น คนหนุ่มสาวสิบกว่าคนรวมตัวอยู่หน้าเหลาสุรา สีหน้าท่าทางล้วนดูดี พวกเขาเป็นศิษย์นอกสำนักของชิงซาน
“คารวะอาจารย์เมิ่ง
ลูกศิษย์หนุ่มสาวทำความเคารพบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เมิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังปนเคารพเลื่อมใส “เรื่องสำคัญใกล้มาถึง ระวังตัวด้วย”
เหล่าลูกศิษย์ขานรับพร้อมเพรียง
อาจารย์เมิ่งกล่าวอีกว่า “เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วกลับได้ อย่ารบกวนที่นี่นานนัก”
ดรุณีนางนั้นก้าวเดินออกมาจากเหลาสุรา
อาจารย์เมิ่งมองดูนาง สีหน้าอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ทำดีมากล่าเยวี่ย”
ครั้นกล่าวจบ ลำแสงกระบี่สายหนึ่งสะบัดวูบขึ้นมา ร่างกายเขาพลันหายไป
……
……
“ศิษย์พี่หญิง”
“ศิษย์พี่เจ้า”
เหล่าศิษย์ชิงซานกรูเข้ามาห้อมล้อมเด็กสาว ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเคารพชมชื่น
เด็กสาวนามเจ้าล่าเยวี่ยอายุมิเกินสิบสองสิบสามปี ดูเยาว์วัยกว่าศิษย์ร่วมสำนักอย่างเห็นได้ชัด มิรู้เหตุใดจึงถูกขานเรียกศิษย์พี่หญิง ยามนางสั่งกำชับทุกคนเก็บกวาดโรงเตี๊ยมแลกำจัดร่องรอยที่เหลือ เพื่อให้มั่นใจว่าเศษซากวิญญาณของมารร้ายเผ่าหมิงผู้นั้นจักมิกลายสภาพ ก็ไม่เห็นผู้ใดแสดงท่าทีเคลือบแคลงสงสัย บารมีดูสูงส่งยิ่ง
“ท่านอาจารย์เซียนว่าไว้มิผิด เจ็ดวันก่อนยอดเขาเทียนกวงประกาศเขตหวงห้ามสามพันลี้ มารชั่วนี่ยังกล้ารั้งรอมิจากไป ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
ศิษย์ผู้หนึ่งมองดูศพที่ถูกหามออกมาร่างนั้น กล่าวพลางส่ายหัวว่า “มิรู้มันกำลังคิดอันใดอยู่”
“พวกเราที่นี่ยังดี ได้ยินว่ากระทั่งเหล่าศิษย์พี่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างไปกำราบมารชั่วยังเมืองจั๋วเหอกันหมด ลำแสงกระบี่ส่องสว่างไปทั่วทั้งมณฑลหนานเหอ”
“มีอะไรน่าตกใจ? เมื่อคืนก่อนผู้พิทักษ์ทั้งสี่พลันตื่นขึ้นมาพร้อมกัน แสงดาวที่มีอยู่ทั่วท้องฟ้าถูกพวกมันบดบังไปกว่าครึ่ง”
ขณะเหล่าลูกศิษย์พูดคุยอย่างออกรสออกชาติ เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวอันใด หากแต่ทอดตามองไปยังท้องฟ้าสีเทาอึมครึม ไม่รู้กำลังครุ่นคิดเรื่องใดอยู่
เขาชิงซานมียอดเขาเก้ายอด ซ่อนกายอยู่ในหมู่เมฆ
เทียนกวงคือยอดเขาอันดับแรก เป็นที่พำนักของเจ้าสำนัก
ยอดสองนั้นคือเหลี่ยงว่าง ศิษย์หนุ่มสาวที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักต่างฝึกกระบี่ที่นี่
เวลาเจอเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญที่แท้จริง ชิงซานจะเรียกรวมเหล่าศิษย์แล้วส่งไปประจำตำแหน่งต่างๆ ทั้งยังป่าวประกาศเขตหวงห้ามไปทั้งแผ่นดิน
ห้ามมิให้เข้าออกตามอำเภอใจในระยะกี่ลี้จากเขาชิงซาน ผู้ใดขัดขืน สังหารสิ้นโดยมิต้องไถ่ถาม
ระยะหวงห้ามยิ่งไกล ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องราว
ในอดีตก่อนที่นักพรตไท่ผิงจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรไม่ยอมออกมา สำนักชิงซานเคยประกาศเขตหวงห้ามแปดร้อยลี้ ทั่วทั้งแผ่นดินตกตะลึง
ระยะแปดร้อยลี้นับจากเขาชิงซาน คำสั่งหวงห้ามครอบคลุมหนึ่งในห้าของแผ่นดินเฉาเทียน
เพื่อให้ความร่วมมือกับคำสั่งหวงห้ามของสำนักชิงซานแล้ว ฝ่าบาทเสินหวงถึงขนาดส่งกองทัพนับหลายหมื่นเดินทางขึ้นเหนือเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน เพื่อขู่แคว้นเสว่ที่อยู่ทางเหนือและเผ่าหมิงให้หวาดกลัว
แต่ครานี้สำนักชิงซานประกาศเขตหวงห้ามสามพันลี้?
มันจะเกิดเรื่องใหญ่แบบไหนขึ้นกันแน่?
ดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ยพลันหรี่เล็กลง
นั่นเพราะท้องฟ้าอึมครึมที่นางจับจ้องอยู่พลันสว่างไสวขึ้นมา
พระอาทิตย์ลอยเด่นกลางนภา เมฆาเคลื่อนคล้อยสลายตัว หมู่ยอดเขาที่อยู่อีกฟากมองดูเลือนลาง ประดุจดั่งกระบี่ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจ่อเล็งไปยังท้องฟ้า
สายตาศิษย์คนอื่นๆ ทอดยาวตามนางไป ก่อนจะไปหยุดอยู่ระหว่างหมู่ยอดเขา
แสงอาทิตย์สาดส่องไปบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเหล่าศิษย์ สีหน้าทุกคนล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
เหตุที่ประกาศเขตหวงห้ามสามพันลี้ราวกับจะมีกองทัพของศัตรูบุกเข้ามา นั่นเพราะวันนี้สำนักชิงซานกำลังจะมีเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบพันปีเกิดขึ้น
ปรมาจารย์อาจิ่งหยางจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว
……………………………………………………………………………
[1] อวี้ชวน ฉายานามของกวีสมัยถังคนหนึ่ง
[2] หลินเจียงเซียน เฟิงสุ่ยต้งจั้ว ชื่อบทกวีภาษาจีนคือ 临江仙,风水洞作
[3] ฮวาเจียว คือ พริกไทยชนิดหนึ่งของจีน