ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - ตอนที่ 241 เจ้าคงไม่มีอะไรสั่งเสีย + บทที่ 242 เห็นแก่เวลาที่เราเคยมีร่วมกัน
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- ตอนที่ 241 เจ้าคงไม่มีอะไรสั่งเสีย + บทที่ 242 เห็นแก่เวลาที่เราเคยมีร่วมกัน
บทที่ 241 เจ้าคงไม่มีอะไรสั่งเสีย
การเดินทางไปยังจวนแม่ทัพนั้นเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า ถ้าหากว่ามีหนทางอื่น เขาเองก็ไม่คิดแม้แต่จะเหยียบย่างไปยังที่แห่งนั้น ด้วยเพราะไม่ต้องการให้หนิงเมิ่งเหยาเห็นสภาพลำบากใจของตนในตอนนี้เข้า
ตั้งแต่วันที่พวกเขาพบกัน จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาแยกทางกันไป หลิงหลัวมักจะวางท่าสูงส่งเทียมฟ้าอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้ เขากลับมาถึงจุดที่ต้องลงไปขอร้องอ้อนวอนอีกฝ่ายเสียแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอายเกินกว่าคนยโสโอหังเช่นเขาจะรับได้
ทว่าจากสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
บางทีนางอาจจะพูดถูก เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขากลายเป็นคนทะเยอทะยานและพยายามขวนขวายจะเอาในสิ่งที่ไม่ใช่ของของตนมาไว้ในมือ และนั่นทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
เมื่อหลิงหลัวและหมิงฟางเดินทางมาถึงทางเข้าจวนแม่ทัพ ชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ก็รออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านแม่ทัพ หลิงหลัวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเสวี่ยรายงานด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
เฉียวเทียนช่างที่เคยชินกับการได้ยินชิงเสวี่ยเรียกตนว่านายน้อยชะงักไปชั่วขณะ แต่เขาก็รับมุกได้อย่างรวดเร็วแล้วหันไปหาหนิงเมิ่งเหยา “เจ้าอยากพบเขาหรือไม่”
หนิงเมิ่งเหยาที่กำลังนั่งเบื่ออยู่ข้างๆ เฉียวเทียนช่างมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก่อนถามขึ้น “เจ้าล่ะอยากหรือไม่”
นางพอจะเข้าใจสิ่งที่เขาตั้งใจจะสื่อจากคำถามนั้นได้คร่าวๆ
“ข้าอยากรู้ว่าเขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” เหมือนทุกครั้ง เฉียวเทียนช่างไม่ได้ปิดบังความคิดของตนเอาไว้ แต่หากหนิงเมิ่งเหยาไม่ต้องการพบหลิงหลัว เช่นนั้นเขาก็จะไล่ตะเพิดเจ้าหมอนั่นออกไปแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปพบเขากัน” หนิงเมิ่งเหยาเอียงศีรษะไปด้านข้างแล้วพูดขึ้นมาง่ายๆ
นางก็แค่ไม่ต้องพูดอะไรตอนเขาเข้ามา
เฉียวเทียนช่างหยิกแก้มของหนิงเมิ่งเหยา ในดวงตาของเฉียวเทียนช่างมีแววตาร้ายกาจแล่นผ่านไปวูบหนึ่ง
“ให้พวกเขาเข้ามา”
“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
หลังจากชิงเสวี่ยออกไป เฉียวเทียนช่างก็อุ้มหนิงเมิ่งเหยาขึ้นบนตักและกอดนางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะถามว่า “เหตุใดจู่ๆ พวกข้ารับใช้ก็เรียกข้าแปลกๆ เช่นนี้กัน” เขาเชื่อว่าหากหนิงเมิ่งเหยาไม่ได้สั่งให้พวกเขาเรียก เช่นนั้นแล้วชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่เรียกเขาเช่นนี้แน่
หนิงเมิ่งเหยาผลักศีรษะของเขาออกไปเบาๆ คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน “ที่นี่เป็นจวนแม่ทัพ คงจะไม่ดีเท่าใดนักหากผู้อื่นมาได้ยินพวกเขาเรียกเจ้าว่านายน้อย”
แม้นางจะรู้ดีว่าเขาคงไม่สนใจ แต่นางก็ไม่อยากเปิดโอกาสให้ใครเอาเขาไปนินทาลับหลังเอาได้
เฉียวเทียนช่างกอดหนิงเมิงเหยาแน่น “พูดตามตรงแล้ว เจ้าไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”
หนิงเมิ่งเหยายิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางเอนกายเข้าสู่อ้อมแขนของเขาก่อนหลับตาลง ใบหน้าเริ่มดูง่วงงุน
เมื่อหลิงหลัวเข้ามาและเห็นพวกเขาในท่านั้น ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงโดยไม่มีสาเหตุ
เขาค่อนข้างแปลกใจที่เห็นหนิงเมิ่งเหยาในลักษณะนั้น และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในความคิดของเขานั้นหนิงเมิ่งเหยาเป็นหญิงที่แข็งแกร่งมาก ตอนเขาพบนางในยุคนี้ นางไม่ได้มีชีวิตที่ดีสักเท่าใดนัก แต่นางก็ไม่ได้ต้องการเงินของเขาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังโกรธทุกครั้งที่เขามอบเงินให้
ทว่าบัดนี้ นางกำลังเอนกายอยู่ภายในอ้อมแขนของชายผู้หนึ่ง และชายผู้นั้นไม่ใช่เขา
ร่องรอยความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของหลิงหลัว เขาเดินตรงเข้าไปหาทั้งสองพร้อมกับหมิงฟาง ก่อนหยุดฝีเท้าลงไม่ไกลจากพวกเขาเท่าใดนัก แล้วจ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างสับสน “เหยาเอ๋อร์ เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ”
หนิงเมิ่งเหยานิ่วหน้า นางซุกศีรษะเข้าสู่อ้อมแขนของเฉียวเทียนช่างมากขึ้นพลางพยายามขจัดเสียงของเขาออกไป
“หลิงซื่อจื่อให้เกียรติมาเยี่ยมข้าถึงที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ” เฉียวเทียนช่างถามขึ้น เขากระชับหนิงเมิ่งเหยาในอ้อมกอดของตนพลางเงยหน้ามองหลิงหลัวด้วยความเบื่อหน่าย
คิ้วของหลิงหลัวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะมองเฉียวเทียนช่าง “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องจะถาม พวกเจ้าทุกคนต้องการสิ่งใด ถึงจะหยุดการกระทำอันบ้าคลั่งนี้ลงได้” หลิงหลัวจ้องเขม็งไปยังเฉียวเทียนช่างแล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด
เฉียวเทียนช่างจ้องเขากลับอย่างเย้ยหยัน “ข้าไม่เข้าใจว่าหลิงซื่อจื่อหมายถึงสิ่งใดอยู่”
“เจ้า…” สีหน้าของหลิงหลัวพลันเปลี่ยนไป เขามองเฉียวเทียนช่างอย่างบูดบึ้ง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับทงเป่าไจ เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ทำอย่างไรพวกเจ้าจึงจะยอมหยุด”
คำพูดของเขาล้วนชัดเจนแจ่มแจ้งและเข้าใจง่าย หากเฉียวเทียนช่างยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นเขาก็คงยอมรับไม่ได้จริงๆ
เฉียวเทียนช่างยิ้มกว้างใส่หลิงหลัว “หยุดหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครจึงจะมาสั่งให้พวกข้าหยุดได้” กับอีแค่เรื่องขี้ปะติ๋วเพียงแค่นี้ เจ้าก็ทนไม่ไหวเสียแล้วหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมจึงไม่รู้จักควบคุมผู้หญิงของตัวเองไว้ให้ดีกันเล่า บทเรียนครั้งก่อนยังไม่พออีกหรือไง
แม้เหตุร้ายที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นฝีมือของเซียวจื่อเซวียน แต่ความจริงแล้วมิใช่เพราะการที่หลิงหลัวแวะเวียนมาหาเหยาเหยาอยู่บ่อยครั้งหรอกหรือ จึงกลายเป็นสาเหตุให้หญิงผู้นั้นเกิดความริษยาจนคิดจะสังหารเหยาเหยาโดยไม่ลังเลเช่นนั้น ดังนั้นสรุปก็คือ ทุกอย่างเป็นความผิดของหลิงหลัว
สีหน้าของหลิงหลัวเปลี่ยนไปอีกครั้งระหว่างที่เขามองเฉียวเทียนช่างอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าคงไม่มีอะไรจะสั่งเสียแล้ว”
บทที่ 242 เห็นแก่เวลาที่เราเคยมีร่วมกัน
เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้ว เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หลิงหลัวต้องการบอกได้อย่างไร หลิงหลัวไม่ได้กำลังบอกเขาอยู่หรือว่าตราบใดที่เหยาเหยายุติเรื่องนี้ เช่นนั้นทุกอย่างก็จะจบลง
เฉียวเทียนช่างยิ้มเย็นยะเยือก เขาก้มหน้าลงมองหญิงสาวซึ่งหลับอยู่ในอ้อมกอดของตน “เหยาเหยา เขามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”
หนิงเมิ่งเหยาหดคอในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่าง พยายามหนีสัมผัสจั๊กจี้บริเวณคอของตน
เฉียวเทียนช่างยิ้ม “เหยาเหยา”
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วแน่น นางยกมือขึ้นปิดปากเขาอย่างไม่พอใจ “อย่าเสียงดัง”
“เอาล่ะ ข้าจะเงียบแล้ว” ภายใต้สายตาของเฉียวเทียนช่างมีรอยยิ้มพะเน้าพะนอซ่อนอยู่ เขาจับมือนาง ก่อนยกขึ้นมาที่ปากของตนและขบมันเบาๆ
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ นางลืมตาขึ้น “เจ้าเป็นสุนัขหรือ กัดข้าทำไมกัน”
ดวงตาของเฉียวเทียนช่างเต็มไปด้วยความขบขัน “หลิงหลัวมีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”
“อะไร” ใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวดจากการถูกเสียงรบกวนปลุกขึ้นมา นางหันหน้าไปทางหลิงหลัวด้วยดวงตาซึ่งมีความหงุดหงิดฉายชัด
“เหยาเอ๋อร์ เจ้าช่วยทำให้ทงเป่าไจหยุดได้หรือไม่” หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหตุใดข้าจึงต้องทำด้วย” ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน คำพูดที่พวกเขาใช้นั้นแทบจะไม่ต่างกันแม้แต่น้อย
หลิงหลัวชะงัก “เหยาเอ๋อร์ เจ้า…”
“หลิงหลัว ข้าเสียลูกไป” หนิงเมิ่งเหยาตัดบทหลิงหลัว ดวงตาของนางปกคลุมไปด้วยความเย็นชา
หลิงหลัวเงียบเสียงลง เขารู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยารักเด็กๆ เพียงใด
“เหยาเอ๋อร์ จากนี้เจ้ายังมีลูกได้อีก” หลิงหลัวพูดได้เพียงเท่านี้
หนิงเมิ่งเหยาเหยียดยิ้มใส่หลิงหลัว จากนี้นางยังมีลูกได้อีกงั้นหรือ
“เช่นนั้นจากนี้เจ้าก็ยังหาเงินได้อีกเหมือนกัน” หนิงเมิ่งเหยาตอกกลับด้วยประโยคเดียวกัน
ดวงตาของเฉียวเทียนช่างมีแววขบขัน “ก็จริงที่ในอนาคตนั้นพวกเรายังมีลูกกันได้ แต่เด็กคนนั้นเป็นคนที่พวกเราต่างตั้งตารออยู่” และเพราะพวกเขา เด็กคนนั้นจึงจากไป มาตอนนี้พวกเขายังมีหน้าวิ่งแจ้นมาที่นี่แถมยังพูดจาใหญ่โตว่าพวกตนยังสามารถมีลูกได้อีกอย่างนั้นหรือ จะมีสิ่งใดน่าขันไปกว่านี้อีก
หลิงหลังรู้ตัวแล้วว่าครั้งนี้ตนพูดบางอย่างผิดไป ใบหน้าของเขาแข็งทื่อขณะเอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “เหยาเอ๋อร์ เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้หรือ เห็นแก่ช่วงเวลาที่เราเคยมีร่วมกันได้ไหม”
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหลัว สีหน้าของนางก็บิดเบี้ยว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่เห็นแก่ความเป็นจริงที่ว่าเราเคยอยู่ด้วยกันนั้นแล้วไม่ต้องมารบกวนชีวิตข้าล่ะ หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่ตามหาข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ข้าจะเสียลูกไปหรือ เจ้าลองคิดดูสิ”
เฉียวเทียนช่างเห็นว่าอารมณ์ภายในดวงตาของหนิงเมิ่งเหยานั้นเริ่มพลุกพล่าน เขาจึงกอดนางไว้ในทันที “เหยาเหยา ไม่เป็นไร อย่าโกรธไปเลย เจ้าลืมสิ่งที่สัญญากับข้าแล้วหรือ” แม้ร่างกายของนางจะสบายดี แต่ก็ไม่ควรให้นางอารมณ์แปรปรวนมากนัก
หนิงเมิ่งเหยากอดเอวเฉียวเทียนช่างแน่น ”เทียนช่าง ไล่พวกเขาออกไปให้ข้าที ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาแล้ว”
นางพยายามที่สุดแล้วเพื่อจะลืมเรื่องนี้ ลืมความเจ็บปวดที่อยู่ภายในหัวใจของตน ทว่าในเวลาที่บาดแผลของนางกำลังค่อยๆ กลับมาสมานกัน เหตุใดเขาจึงต้องมาทำให้ปากแผลมันเปิดขึ้นมาอีกครั้งโดยใช้วิธีการอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ด้วย มิหนำซ้ำยังสาดเกลือซ้ำแผลเดิมเข้าไปอีก
เฉียวเทียนช่างกอดหนิงเมิ่งเหยาและพูดกับนางด้วยเสียงอันเบาข้างๆ หู น้ำเสียงปลอบโยนอันแผ่วเบานั้นทำให้หลิงหลัวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกประหม่าและอับอาย เขาจึงกลับไปอย่างไม่มีความสุขนัก
หลังออกจากจวนแม่ทัพ หลิงหลัวรู้สึกเสียดาย ทำไมเขาจึงพ่นคำพูดพวกนั้นออกไปกัน
เขามาวันนี้เพื่อขอให้ทั้งสองปล่อยเรื่องนี้ไป แต่ตอนนี้คงจะนับว่าเป็นบุญสำหรับพวกตนแล้วที่สองคนนั้นยังไม่ตัดสินใจจะบดขยี้พวกเขาให้ตายไปเสีย
เมื่อมองประตูจวนอันยิ่งใหญ่ของจวนแม่ทัพ หลิงหลัวก็หันหลังและกลับไป
เฉียวเทียนช่างยังคงปลอบประโลมหนิงเมิ่งเหยาอยู่ภายในห้อง แต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
“เหยาเหยา ไม่เป็นไร”
“พวกเขาพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกัน” ใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยามืดครึ้มและเย็นชา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เฉียวเทียนช่างกอดหนิงเมิ่งเหยาแน่นขึ้น “ยิ่งเราเศร้ามากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้านั้นเจ็บปวดยิ่งนัก ข้าก็เจ็บเหมือนกัน” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะปลอบหนิงเมิ่งเหยาอย่างไรดี
เพียงแค่เห็นหนิงเมิ่งเหยาในสภาพเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจ
นางสวมกอดเฉียวเทียนช่าง ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยานั้นเย็นเฉียบ นางไม่ได้ตั้งใจจะเป็นคนโหดเหี้ยม แต่คำพูดของหลิงหลัวทำให้นางรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ ในเมื่อพวกมันไร้ยางอาย เช่นนั้นแล้วก็อย่ามาโทษว่านางไม่ยั้งมือก็แล้วกัน