ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 72 ความเลือดเย็นช่างทำร้ายใจคน
ซูหนานอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากของนางเผยอยิ้มขึ้นดวงตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและเคร่งขรึม “แม่นางหยุนหลิ่ว หมายความว่าอย่างไรกัน?”
หยุนหลิ่วฝืนยิ้มออกมา “ท่านอ๋องมีฐานะตัวตนที่สูงส่ง อีกทั้ง…… มีจิตใจที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ การที่มักออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามกฎที่สมควร”
“เจ้าหลีกไปเสีย!” หยุนจิ่งขมวดคิ้วมองมาทางนาง “เรื่องของข้า เจ้ามิต้องมายุ่ง!”
ท่าทางของหยุนหลิ่วแข็งทื่อลง แต่ก็ยังโค้งตัวคำนับกล่าวว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ หยุนหลิ่วทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของท่าน”
ซูหนานอีตบลงที่แขนของหยุนจิ่งเบาๆ เป็นความหมายว่าอย่าไม่ให้เขาโกรธ สายตาเหลือบมองไปยังหยุนหลิ่ว “แม่นางหยุนหลิ่ว เมื่อครู่ท่านกล่าวออกมาเองมิใช่หรือว่าไท่เฟยมิได้สนใจเรื่องกฎเกณฑ์มากมายนัก? แล้วตัวท่านเหตุใดจึงรีบร้อนกัน ในจวนท่านอ๋องนี้นอกจากไท่เฟยแล้วก็คือท่านอ๋อง ท่านมีสิทธิอันใดเข้ามาขวาง?”
“ข้า……”
“จิตใจของท่านอ๋องบริสุทธิ์ก็จริง แต่นี่มิใช่เหตุผลที่จะเก็บกักเขาเอาไว้ในเรือน ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ท่านมิเข้าใจก็จงหลบไปให้พ้นเถิด”
น้ำเสียงของซูหนานอีดูไม่แยแส มันเปรียบดุจดาบอันแหลมคมที่ตบลงบนหน้าของหยุนหลิ่ว
หน้านางแดงเรื่อขึ้นทันที “คุณหนูซู!”
แต่ซูหนานอีหาได้สนใจนางอีกไม่ ได้แต่จูงมือหยุนจิ่งเดินอ้อมลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
หยุนหลิ่วกัดฟันกรอด ดวงตาอันเคร่งขรึมจ้องมองไปยังทิศทางที่ทั้งสองเดินจากไป “ซูหนานอี เจ้าคอยดูให้ดี!” จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในเรือน และหาพื้นที่ที่ไม่มีใครสังเกตใช้มือทั้งสองข้างบีบคอตนเองอย่างแรงเจ็บปวดเสียจนน้ำตาไหล จากนั้นรีบวิ่งไปหาไท่เฟย
ขณะนั้นไท่เฟยกำลังหลับตาลงพักผ่อนและฟังเหยียนโมโม่เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้แก่นางฟัง มุมปากของนางเผยอยิ้มขึ้น ด้านข้างมีสาวใช้สองนางกำลังพัดวี สายลมเย็นๆทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก
“หยุนหลิ่วคารวะไท่เฟย” น้ำเสียงของหยุนหลิ่วกล่าวออกมาอย่างเบาๆ
ไท่เฟยลืมตาขึ้นแล้วมองมายังนาง “หยุนหลิ่วมาแล้วหรือ พ่อครัวเพิ่งจะต้มซุปหวานดื่มคลายร้อนเมื่อสักครู่ นำมาดื่มสักถ้วยเถิด”
เมื่อสาวรับใช้ยื่นถ้วยนั้นให้นาง นางก็โค้งตัวเอ่ยขอบคุณ แล้วเอี้ยวตัวไปดื่มน้ำซุปนั้น ทันทีที่นางเอี้ยวตัวไปรอยแดงที่คอก็ปรากฏขึ้นเนื่องจากผิวของนางขาวผ่องจึงทำให้เป็นที่สังเกต
ดวงตาของไท่เฟยหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย จากนั้นก็พบว่าดวงตาของนางนั้นยังแดงอยู่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา
“เป็นอะไรหรือ ใครรังแกเจ้ากัน?”
หยุนหลิ่วชะงักลงเล็กน้อยจากนั้นก็รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดกุมลำคอของตนเอาไว้ ส่ายศีรษะกล่าวว่า “หามีไม่เจ้าค่ะ หม่อมฉันได้รับการคุ้มครองจากไท่เฟย จะมีใครในจวนท่านอ๋องกล้าทำร้ายหม่อมฉันกันเจ้าคะ”
นางแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างสุภาพ แต่ขอบตานั้นก็แดงขึ้นมองไปน่าสมเพชยิ่งนัก
สีหน้าของไท่เฟยมืดมนลง “ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งไม่ควรปิดบังข้า ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าใครกันที่กล้ารังแกเจ้า”
หยุนหลิ่วก้มศีรษะลงอ่อนโยนราวกับหงส์ “หยุนหลิ่วสบายดีเจ้าค่ะ หาได้มีใครกล้ารังแกหม่อมฉันไม่ หม่อมฉันมิทันระวังไปเอง”
“ไร้สาระ!” น้ำเสียงของไท่เฟยหนักแน่นขึ้น “หากเจ้าทำเองจะเป็นถึงเช่นนี้ได้อย่างไร?”
นางมองไปที่สาวรับใช้ข้างกายหยุนหลิ่วแล้วกล่าวว่า “เจ้าบอกข้ามา!”
สาวใช้กลัวมากจนทรุดเข่าลงที่พื้น “ทูลไท่เฟย คุณหนู…… คุณหนูซูเจ้าค่ะ”
หยุนหลิ่วรีบตะโกนออกมาว่า “อย่ากล่าววาจาไร้สาระ!”
บ่าวรับใช้จึงได้ก้มหน้าลงไป “ทูลไท่เฟย บ่าวมิได้กล่าววาจาไร้สาระ เมื่อครู่บ่าวได้พบคุณหนูซูที่หน้าประตูเรือน นางกล่าวว่าจะพาท่านอ๋องไปข้างนอก คุณหนูของเราจึงได้กล่าวตักเตือนสองสามประโยคแต่ใครเล่าจะคาดถึงกันว่าคุณหนูซูจะทำร้ายคนเช่นนี้ กล่าวว่าในจวนนี้ไท่เฟยและท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ หยุนหลิ่วยกมือขึ้นปาดน้ำตาและยกชายกระโปรงขึ้นคุกเข่าลง “ไท่เฟยเจ้าคะ เดิมทีนี่นับว่าเป็นความผิดของหยุนหลิ่วเอง จะโทษคุณหนูซูมิได้ ท่านอ๋องชื่นชอบนางและยินยอมอยู่กับนางแน่นอนว่าหยุนหลิ่วต้องมีความสุขเช่นกัน เพียงแต่หยุนหลิ่วกังวลใจถึงเรื่องความปลอดภัยของท่านอ๋องเท่านั้น…… เนื่องจากก่อนหน้านี้คนที่ลอบทำร้ายท่านอ๋องยังหามิพบ คาดว่าคุณหนูซูคงไม่ทราบเรื่องนี้”
ไท่เฟยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันและมิได้เอ่ยอันใดออกมา นางยังคงร้อยลูกปัดในมือเบาๆ บรรยากาศในห้องเงียบมากเสียจนได้ยินเสียงลูกปัดกระทบกัน
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดไท่เฟยก็หลับตาลงและถอนหายใจออกมา “เหยียนโมโม่ จงพาหยุนหลิ่วออกไป หาหมอดีๆให้นางดู อย่าได้ทิ้งรอยแผลเป็นอะไรไว้ เมื่อวานนี้ทางราชวังส่งผ้าหูจิ่นมาสองพับมิใช่หรือ? เนื้อผ้านั้นช่างนุ่มเบาสบาย จงนำมาสักพับเพื่อตัดเสื้อผ้าให้หยุนหลิ่วสักชุดเถิด”
“เพคะ “คุณหนูหยุนหลิ่ว ตามบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
หยุนหลิ่วทำความเคารพไท่เฟย “ขอบพระคุณไท่เฟยเจ้าค่ะ หยุนหลิ่วขอตัวก่อน”
เมื่อเดินออกจากเรือนไป หยุนหลิ่วจึงได้กล่าวกับเหยียนโมโมว่า “มิต้องรบกวนเหยียนโมโม่ไปเชิญหมอมาหรอกเจ้าค่ะ มิใช่อาการบาดเจ็บร้ายแรงอะไร”
“คุณหนูว่าอย่างนั้นได้อย่างไร คำสั่งของไท่เฟยบ่าวจะกล้าละเลยหรือ อย่างไรเสียหากคุณหนูมีอาการบาดเจ็บ ไท่เฟยก็คงจะทุกข์ใจ” ดวงตาของเหยียนโมโม่เหลือบมองไปที่ลำคอของนาง “ดูรอยแดงนี่สิ ควรจะให้หมอมาดูอาการสักหน่อย และทายารักษาสักเล็กน้อยก็คงดี”
“เป็นเพราะหยุนหลิ่วมิรู้จักกาลเทศะ ไม่สมควรจะเข้าไปโต้เถียงกับคุณหนูซู เดิมทีนางเป็นถึงพระชายาในอนาคต นางกล่าวถูกต้องแล้ว เรื่องเหล่านี้ในจวนควรจะเป็นหน้าที่ตัดสินใจของเจ้าของจวน ส่วนข้า……” หยุนหลิ่วก้มหน้าลงมองแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางดูเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้รีบมองกลับไปที่ประตูเรือนแล้วกระซิบบอกว่า “เหยียนโมโม่ อย่าได้กล่าวสิ่งเหล่านี้กับไท่เฟยเลย แม้หยุนหลิ่วจะต้องทนรับแรงกดดันบ้างก็มิเป็นไร แต่มิอาจทำให้ไท่เฟยโมโหได้”
เหยียนโมโม่พยักหน้า “น้ำใจของคุณหนูหยุนหลิ่วนั้นบ่าวรับรู้แล้ว แต่คุณหนูควรจะปฏิบัติตามคำสั่งของไท่เฟยเถิด”
หยุนหลิ่วมิอาจต้านทานได้ จึงทำได้เพียงเดินตามนางไป
แม้ว่าจวนอ๋องเป่ยลี้จะมิใช่ราชวัง แต่องค์จักรพรรดิก็ได้แสดงถึงความกตัญญูต่อไท่เฟยจึงได้ส่งหมอหลวงมาประจำที่จวน ดังนั้นหมอหลวงจึงเดินทางมาถึงในไม่ช้า
เมื่อสังเกตอาการบาดเจ็บของหยุนหลิ่วแล้วจึงได้กล่าวกับเหยียนโมโม่ว่า “โมโม่วางใจเถิด อาการบาดเจ็บของแม่นางมิเป็นแผลเป็นอะไรไม่กี่วันก็ดีขึ้น”
เหยียนโมโม่จึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ดี! แม่นางจงพักผ่อนเถิดบ่าวจะไปนำผ้ามาให้”
เมื่อส่งหมอหลวงและเหยียนโมโม่กลับไปแล้ว ใบหน้าของหยุนหลิ่วที่ปรากฏรอยยิ้มอยู่ก็จางหายไป จากนั้นมองดูรอยที่คอของตนในกระจก
บ่าวรับใช้ข้างกายรีบกระซิบว่า “คุณหนูเจ้าคะ ดูเหมือนไท่เฟยจะมิต้องการทำสิ่งใดกับบุตรพ่อค้าผู้ต่ำต้อยนั้นเลย”
หยุนหลิ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แน่นอน เดิมทีข้าก็มิได้ตั้งใจจะนำเรื่องนี้มาล้มล้างนางลง เพียงแค่ต้องการสร้างเสี้ยนหนามในใจแก่ไท่เฟยก็เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเข้าก็จะเป็นผลเอง”
บ่าวรับใช้ขมวดคิ้วเข้าหากัน “มิเข้าใจเสียจริงว่าบุตรของพ่อค้าคนนั้นใช้วิธีอะไร จึงทำให้ไท่เฟยถูกชะตากับนางนัก อีกทั้งท่านอ๋องก็ชื่นชอบนางยิ่ง……”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ก็พบว่าดวงตาของหยุนหลิ่วมีความมืดมนเข้ามาแทรก จึงได้รีบปรับเปลี่ยนคำพูดว่า “ท่านอ๋องมิรู้เรื่องราวใด บัดนี้ก็เพียงแค่ชื่นชมสิ่งแปลกใหม่อยู่เท่านั้น เพียงแต่ว่าไท่เฟยต้องการอะไรกันแน่? หากเป็นสตรีจากตระกูลชั้นสูงก็ว่าไปอีกอย่าง แต่ทำไม……”
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เรื่องที่ผิดแผกแปลกไปเช่นนี้คงต้องมีอะไรแน่” หยุนหลิ่วถือปิ่นเอาไว้ในมือ “เรื่องนี้แปลกนัก เจ้าจงไปสืบมาให้ดี”
……
แต่ซูหนานอีหาได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนางเดินทางออกมาไม่ นางทำเพียงเดินไปกับหยุนจิ่งที่ตลาดจนสุดทางและซื้อของมากมาย ทำให้หยุนจิ่งมีความสุขยิ่งนัก
“เหนียงจื่อ เจ้าชอบสิ่งใดข้าจะซื้อให้เหนียงจื่อด้วย”
ซูหนานอียิ้มขึ้นที่มุมปากมองไปทางเขา “มิจำเป็นหรอก สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว จิ่งเอ้อร์ลืมไปแล้วหรือว่าสิ่งที่เจ้าชื่นชอบข้าก็ชื่นชอบด้วย”
หยุนจิ่งยิ้มอย่างเปิดเผย จู่ๆเขาก็เห็นคนเดินเท้าวางกรงกรงหนึ่งลง ด้านในมีกระต่ายขนปุยสองตัว
“โอ้! เหนียงจื่อดูนั่นสิ” หยุนจิ่งถือถุงกระดาษใส่ขนมแล้วลากมือซูหนานอีวิ่งตรงเข้าไปนั่งยองๆข้างกรง
ผู้ที่ขายกระต่ายนั้นเป็นนายพรานกล่าวว่า “คุณชายต้องการซื้อมันหรือไม่? หากต้องการข้าจะขายให้ในราคาถูก นี่คือกระต่ายที่เข้าหามาได้ แต่มิอาจทำใจฆ่ามันและมิอาจเลี้ยงมันได้เช่นกัน”
กระต่ายน้อยที่อยู่ในกรงมีอยู่สองตัว พวกมันตัวใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือมีขนสีขาวดุจหิมะและดวงตาสีแดงตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งมีขนสีทองนัยน์ตาสีดำช่างน่ารักไม่แพ้กัน
“เหนียงจื่อ” หยุนจิ่งมองไปทางซูหนานอีด้วยดวงตาเป็นประกาย
ซูหนานอีไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “จิ่งเอ้อร์อยากได้หรือไม่?”
หยุนจิ่งรีบพยักหน้า ดวงตาของเขาค่อนข้างตึงเครียดกลัวว่าซูหนานอีจะไม่เห็นด้วย
ซูหนานอีสัมผัสไปที่กระต่ายน้อย หยุนจิ่งก็ลูบมันอย่างเบาๆเช่นกัน ขนเจ้ากระต่ายช่างอ่อนหนุ่มนัก ให้ความสัมผัสที่นุ่มนวลทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ซูหนานอีเอียงศีรษะมองดูเขา “ในเมื่อจิ่งเอ้อร์ชื่นชอบก็จงซื้อมันเถิด”
ดวงตาของหยุนจิ่งเบิกกว้างทันใดสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข “จริงหรือ?”
“จริงสิ”
ซูหนานอีจ่ายเงินและซื้อกรงนั้นมาด้วย หยุนจิ่งเดินถือกรงนั้นไปด้วยความดีใจจนแทบลอยขึ้น
ขณะที่เดินไปก็ตรงไปถึงสี่แยกอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหนานอีจางลงเล็กน้อย ไอ้เวรนั่นยังอยู่ที่นี่!