พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 1634 เจ้าเมืองแฟรี่
รพีพงษ์ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “คุณต้องการตายอยู่ที่นี่หรือ?”
“ทำไม ตอนนี้คุณจะเข้ามาแทรกแซงแม้แต่ความตายของผมแล้วหรือ?” เดชามองรพีพงษ์อย่างดุดัน ราวกับว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อรพีพงษ์
รพีพงษ์ยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “ผมไม่อยากยุ่งเรื่องความเป็นความตายของคุณหรอก คุณไม่เอาไหนอย่างคุณ ถ้ามาตายอยู่ที่หน้าประตูของตระกูลภูสรีดาว ก็จะสร้างปัญหาให้ตระกูลภูสรีดาวต้องมาเก็บศพคุณอีก มันสกปรกจริง ๆ ถ้าอยากจะตายก็ไปตายที่อื่นเถอะ ยิ่งไกลยิ่งดี อย่าทำให้ตระกูลภูสรีดาวสกปรก”
เมื่อเดชาได้ยินประโยคนี้ เขาก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ชี้ไปที่รพีพงษ์ และกล่าวกับรพีพงษ์ “ไอ้เด็กเปรต คุณมันเกินไปแล้ว คุณเป็นคนเลว ถึงชนะผมแล้วยังไงล่ะ?”
รพีพงษ์ไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระกับเขาอีก ความจริงเขาไม่ต้องการให้ไอ้หมอนี้ตายอยู่ที่นี่ ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตนเองชนะแล้วยังบีบให้คนอื่นตาย มันจะทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงได้
เดิมทีเดชาก็ไม่ใช่คนดี การฆ่าเขาก็ถือว่าเป็นการขจัดภัยให้แก่ประชาชน แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสามารถโต้กลับ การมีชีวิตอยู่นั้นมันเจ็บปวดมากกว่าตายเสียอีก และนฤเบศร์ก็เป็นเช่นนี้?
แต่ตอนนี้นฤเบศร์นั้นยังดี อย่างน้อยก็มีลูกชายจิรันดน์อยู่ข้าง ๆ และทำทุกอย่างเพื่อนฤเบศร์
ตอนนี้ข้างกายเดชาไม่มีทหารของนรเทพแล้ว ชเนศพี่ชายของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าตอนนี้เขาอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีศักดิ์ศรี เช่นนี้มันทำให้เขาทรมานมากกว่าตายอีก?
บวรวิทย์ให้คนรับใช้คอยเฝ้าดู และอย่าปล่อยให้เดชาตายอยู่ที่นี่ เพื่อทำให้เดชารู้ว่า ไม่ใช่แพ้แล้วก็จะสามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ และไม่ใช่ว่าใครอ่อนแอแล้วใครก็มีเหตุผล
รพีพงษ์เดินเข้าบ้าน เทวเทพก็ถามเขาว่า “รพีพงษ์ ต่อไปคุณคิดที่จะทำอะไรต่อ?”
สายตาของรพีพงษ์จ้องไปที่ปริตรและกล่าวว่า “เรื่องที่ผมเคยพูดไว้ก่อนหน้านั้น คุณได้คิดไตร่ตรองดีหรือยัง?”
“เรื่องอะไร? หรือว่าจะเป็นเรื่องเจ้าเมืองแฟรี่?” ปริตรรู้ว่าสิ่งที่รพีพงษ์กล่าวนั้นมีเหตุผล แต่การเลือกเจ้าเมืองนั้น ตนเองมีคุณสมบัติน้อยกว่าเทวเทพ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าประชาชนของเมืองแฟรี่จะสามารถยอมรับตนเองได้หรือไม่
เทวเทพมองรพีพงษ์ด้วยความตะลึงและถามว่า “คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
รพีพงษ์กลาวเรื่องทุกอย่างอีกรอบ แต่เทวเทพนั้นปฏิเสธทันที การปรับปรุงเมืองแฟรี่ซึ่งเป็นสถานที่ใหญ่ ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ใช้เวลานานและใช้แรงงานมากมาย เทวเทพมีคนไม่มาก เรื่องเช่นนี้เทวเทพไม่ยอมทำเด็ดขาด
เทวเทพเป็นนักธุรกิจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เป็นหลัก ตอนนี้เขาไม่อยากทำสิ่งที่ไม่มีผลประโยชน์ ยังไงก็ไม่ยินยอมเด็ดขาด
บวรวิทย์รู้ว่าเทวเทพกำลังคิดอะไรอยู่ ทุกคนรู้ดีว่า เทวเทพนั้นอายุมากแล้ว และไม่อยากจะทำงานหนักอีกต่อไป
บวรวิทย์ไม่รู้จะพูดอะไรดี พ่อของเขาไม่ยอมออกเงิน และเขาก็ไม่รู้จะทำยังไง บวรวิทย์รู้ดีว่าตนเองนั้นมีความสามารถแค่ไหน? ตนเองนั้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าเมืองแฟรี่ และตนเองนั้นไม่มีความสามารถในการควบคุมดูแลอีกด้วย
รพีพงษ์กล่าวว่า “หลังจากเรื่องที่นี่จบแล้ว ผมจะต้องกลับบ้านแล้ว เพราะผมไม่ใช่คนที่นี่” รพีพงษ์มองปริตรขณะที่กล่าว และมีเพียงปริตรเท่านั้นที่เป็นคนเหมาะสมที่สุด
ปริตรรู้ว่าสิ่งที่รพีพงษ์มอบให้ตนเองนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็ก แม้ว่าตระกูลเยอซอจะตกต่ำ แต่ก็ยังมีเงินไม่น้อย เขากล่าวกับรพีพงษ์ว่า “คุณคิดว่าผมเหมาะสมที่สุดนั้นเป็นเพราะไม่มีใครให้เลือกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมตกลงและจะพยายามทำจนสุดความสามารถ แม้มีความสามารถไม่พอก็ตาม”
ถ้าเขาไม่ตกลง ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ทำให้ปริตรไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ เพราะยังไงเขาก็เป็นสมาชิกของเมืองแฟรี่ ตระกูลพิมพ์สารไม่สามารถทำต่อไปได้แล้ว ส่วนเทวเทพก็ไม่ยินยอม ก็คงต้องพึ่งพาตระกูลเยอซอของตนเองเท่านั้น!
รพีพงษ์ใช้พลังเทพไปอย่างมากกับการช่วยซ่อมแซมทุกอย่างในเมืองแฟรี่ และถ้ารพีพงษ์จากไป คงไม่สามารถเอาทุกคนที่อยู่ในเมืองแฟรี่ไปได้ หลังจากผ่านไปสองสามวัน ทุกอย่างในเมืองแฟรี่ได้รับการซ่อมแซมจนหมดแล้ว มีความหรูหรามากกว่าเดิม และมีการเพิ่มปราสาทขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปริตรอาศัยอยู่ เขาต้องควบคุมดูแลรับผิดชอบทุกอย่างในเมืองแฟรี่ ต้องมีสถานที่ทำงาน เมืองแฟรี่นั้นจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่หรือจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก และการจัดการดูแลก็ต้องใช้กำลังไม่น้อยเหมือนกัน
ปริตรเดินเข้าไปข้างใน ตนเองไม่เคยคิดที่จะเป็นเจ้าเมือง แต่ตอนนี้ตนเองอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว ทำให้เขาไม่สามารถละเลยหน้าที่นี้ได้
แสงแดดเจิดจ้า ทำให้ร่องรอยของการสู้รบครั้งนี้ลบเลือนไป และดูเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แสงแดดส่องลงบนร่างกายนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกสบายเป็นพิเศษ
รพีพงษ์หาสถานที่กว้าง และปล่อยประชาชนออกมาทันที ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในโลกใบเล็ก ปรากฏตัวในปราสาทใหญ่แห่งนี้ทันที พวกเขามองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความประหลาดใจ รพีพงษ์กล่าวกับทุกคนพูดว่า “ตอนนี้ทุกคนสามารถกลับไปบ้านของตนเองได้แล้ว ของทุกอย่างในบ้านนั้นครบเหมือนเดิม พวกคุณสามารถกลับไปดูได้ ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาคุยกับเจ้าเมืองได้”
ประชาชนมองไปที่รพีพงษ์ด้วยความสงสัย เจ้าเมือง? เมืองแฟรี่นั้นมีเจ้าเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่?
รพีพงษ์มองไปที่ปริตรและกล่าวว่า “คุณชายปริตรก็คือเจ้าเมือง ทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของเขา ถ้าไม่มีเขา ทุกคนคงไม่ปลอดภัยจนถึงตอนนี้”
ปริตรรู้ดีว่าการเป็นเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย และมีคนจำนวนมากที่ไม่พอใจ จึงกล่าวกับทุกคนโดยตรงว่า “ถ้าทุกคนคิดว่าผมไม่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าเมือง และมีคนที่เหมาะสมกว่า ก็สามารถพูดออกมาได้ ผมจะยกตำแหน่งนี้ให้แก่เขา”
“ถ้ายังไม่มี ผมก็จะเป็นเจ้าเมืองชั่วคราว แต่ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของผม ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษ หรือเรื่องงบประมาณ เกษตรกรรมอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม ก็ต้องฟังคำสั่งของผม ถ้าทุกคนมีความคิดเห็นอื่นใด ก็สามารถเสนอแนะออกมาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ส่ายศีรษะ ตระกูลที่ใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองแฟรี่ได้แก่ ตระกูลเยอซอ ตระกูลภูสรีดาว และตระกูลพิมพ์สาร ตอนนี้ตระกูลพิมพ์สารไม่มีความสามารถแล้ว ตระกูลภูสรีดาวไม่คิดที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าตระกูลภูสรีดาวก็เชื่อมั่นตระกูลเยอซอ เช่นกัน สองตระกูลใหญ่นี้ก็ยอมรับแล้ว ไม่มีอะไรที่ปริตรทำไม่ได้
ดังนั้นตำแหน่งนี้ปริตรจึงเป็นคนที่เหมาะสุด ทุกคนต่างคิดเช่นนี้ จากนั้นต่างคนต่างก็กลับไปบ้านตนเอง เพราะตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว
เทวเทพเห็นว่าทุกอย่างในเมืองแฟรี่ได้รับการซ่อมแซม และเหล่าทหารเก่าของนรเทพกำลังฝึกซ้อมอยู่ในบ้านตนเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโมโห เมื่อเห็นว่าทุกอย่างในเมืองแฟรี่ได้รับการฟื้นฟูได้ไม่เลว
ตอนนี้ปริตรได้กลายเป็นจักรพรรดิของเมืองแฟรี่แล้ว ทำให้บวรวิทย์พูดไม่ออกที่เห็นเทวเทพมีนิสัยเช่นนี้มาตลอด และเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พ่อของตนเองจะสามารถเปลี่ยนนิสัยเช่นนี้ได้
เมื่อบวรวิทย์กลับไปที่บ้านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อพบปัณฑาอยู่ในบ้าน เขาจึงรีบถามว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง หรือว่าคุณได้พาภรรยาและลูกของรพีพงษ์มาที่นี่ด้วย”
บวรวิทย์คิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ รพีพงษ์ก็จะไม่ต้องไปจากที่นี่
ปัณฑาถามเขาอย่างจริงจังว่า “รพีพงษ์อยู่ที่ไหน ทำไมไม่เห็นรพีพงษ์ หรือว่าเขาไม่ได้อยู่ในตระกูลภูสรีดาว?”