พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 452 คำบอกเล่า (1)
เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในตำหนักอันโอ่โถง พร้อมกับเสียงฝีเท้าตึงตังดังขึ้น
“ลิ่วเกอร์”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นมือไปคว้าตัวชิ่งอ๋องที่วิ่งไปทั่ว
“เช็ดเหงื่อแล้วดื่มก่อน”
ขันทีสองนายด้านหลังเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องดึงชิ่งอ๋องไว้แน่นก็ถอนหายใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จวิ้นอ๋องแรงเยอะดีแท้” พวกเขาเอ่ย
ชิ่งอ๋องสติไม่สมประกอบเรี่ยวแรงมาก ขันทีที่เข้ามาทั้งสองต่างรั้งตัวไว้ไม่อยู่
“นั่นเป็นธรรมดา ข้าย่อมต้องฝึกกายให้แข็งแรงเข้าไว้ มิฉะนั้นแล้วจะดูแลและอยู่เป็นเพื่อนลิ่วเกอร์ได้อย่างไร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้น รีบนำผ้าเช็ดหน้าที่ขันทีส่งมาเช็ดน้ำตาให้ชิ่งอ๋อง แล้วยกน้ำแกงป้อนให้เขา
“ฝ่าบาท” ขันทีสาวเท้าเข้ามาจากด้านนอก ก้มหน้าคำนับ “มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มือจิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักเล็กน้อย ชิ่งอ๋องอาศัยจังหวะนี้วิ่งหนี
“เด็กคนนี้นี่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย
“ฝ่าบาท ท่านไปเถิด” ขันทีเอ่ยเสียงเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“ยามนี้ยังไม่ถึงเวลา” เขาเอ่ย “ข้าไปเร็วเช่นนี้ จะไม่เร็วไปก่อนที่ฝ่าบาทจะทราบหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวบุ่มบ่ามไป” ขันทีก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ เจ้าใจร้อนไปต่างหาก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “รีบร้อนไปไย แต่ละปีล้วนผ่านไปเช่นนี้แล้ว”
เขามองไปนอกตำหนัก โยนผ้าขนหนูในมือกลับไป แล้วยืนเอามือไพล่หลังไว้
เข้าเฝ้าฮ่องเต้ครานี้มิใช่ที่ตำหนักฉินเจิ้งนอกวัง แต่เป็นภายในวังหลวง สตรีที่มิใช่ชายามาเข้าเฝ้า แม้ว่าจะเป็นเด็กสาวอายุน้อย แต่ฮ่องเต้ก็ทรงยึดมั่นใจขนบธรรมเนียม ดังนั้นจึงเลือกสถานที่ภายในตำหนักไทเฮา เหตุผลที่ให้แก่คนนอกคือต้องการให้ไทเฮาชื่นชอบการเขียนอักษร
ความจริงแล้วเดิมทีสิ่งที่ไทเฮาทรงโปรดยิ่งกว่านั้นก็คือข่าวลือเรื่องหมอเทวดา แต่เนื่องจากหญิงผู้นั้นให้ตายก็ไม่ยอมผิดกฎเกณฑ์ของตน ฮ่องเต้จึงคิดว่าหากใช้เหตุผลนี้แพร่ข่าวออกไปจริงๆ หนึ่งจะไม่มงคล สองไม่แน่ว่านางอาจจะหยิ่งผยองกำเริบเสิบสานนางนั้นอาจจะฝืนราชโองการเอาได้
“เด็กเพียงนี้เลยหรือ”
พอไทเฮาเห็นแม่นางน้อยที่คุกเข่าจรดหัวกับพื้นก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ
เด็กเพียงนี้ แทบทุกคนที่เห็นแม่นางผู้นี้ก็คิดเช่นนี้
เด็กเพียงนี้ ความหมายคือคนอายุน้อยเช่นนี้ก่อเรื่องก่อราวใหญ่โตไปหมด เอาฮ่องเต้อย่างพระองค์มาเล่นในกำมือ
“ปีนี้สิบเจ็ดปีแล้ว” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้านข้าง
“เพิ่งจะสิบเจ็ดเอง เด็กกว่าเหว่ยหลังสองปีแหน่ะ” ไทเฮาอมยิ้มเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้ขานรับ
บรรยากาศกลมเกลียว ไร้ซึ่งความเคร่งขรึมหนักอึ้งของท้องพระโรงที่กำลังประชุมราชสำนักอย่างสิ้นเชิง
“เงยหน้าให้เราดูหน่อยสิ” เสียงไทเฮาดังขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ คุกเข่านั่งหลังตรง
ไทเฮาที่เคยเห็นหญิงงามมานักต่อนักก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“หน้าตาสะสวยเสียจริง” นางอมยิ้มพยักหน้าชื่นชม “ใจกว้างสวยเพียบพร้อม เป็นคนเจียงโจวรึ”
“เจียงโจว สกุลเฉิง” ฮ่องเต้เอ่ยบอก
“สกุลเฉิงที่ปีนั้นขุดแม่น้ำสร้างคลองถูกเรียกว่าอวี่กงน่ะหรือ” ไทเฮาเอ่ยถาม
ฮ่องเต้พยักหน้า
“มิน่าถึงบุญหนักศักดิ์ใหญ่นัก มีเทพเซียนคอยปกปักษ์รักษาก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว” ไทเฮายิ้มเอ่ย
ฮ่องเต้ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ได้ยินเจ้าบอกว่าเทพเซียนที่เป็นอาจารย์ของเจ้าไม่อยู่แล้ว” ไทเฮาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ในที่สุดจึงเอ่ยถามถึงเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับ
“ทูลไทเฮา หม่อมฉันเป็นคนสติไม่สมประกอบ หลังจากฟื้นมาก็จำเรื่องราวก่อนเก่ามิได้เพคะ” นางตอบ
เรื่องที่เฉินเซ่าพูดถึงการตามหาคนที่ปิ้งโจว ฮ่องเต้ส่งคนไปค้นหาหลักฐานอีกครั้งแล้ว นางไม่ได้ปิดบังความจริงอันใด อีกทั้งข้อมูลที่พระองค์ได้มายังละเอียดกว่าเฉินเซ่าอีกด้วย
“เป็นชาวเขากู่หยวน เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง แต่ไร้ซึ่งผลงานใด” ฮ่องเต้เอ่ย
ไทเฮากับเฉิงเจียวเหนียงต่างตั้งใจฟัง กระทั่งเฉิงเจียวเหนียงยังเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้โดยตรงอย่างเสียมารยาท สีหน้าแววตาแม้ว่าจะยังคงเรียบเฉย แต่ความกระหายรู้ที่อยู่ภายในรวมถึงความตื่นเต้นล้วนปิดบังฮ่องเต้ไว้ไม่ได้
ดูท่าแล้วนางจะไม่รู้อันใดเกี่ยวกับคนผู้นี้จริงๆ และมิได้จงใจปกปิดด้วย
“แซ่ซ่ง นามว่าจิน”
ขณะที่ฮ่องเต้เอ่ยนามนั้นออกไป เฉิงเจียวเหนียงที่สมาธิตั้งมั่นครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ใช่หรือ” ฮ่องเต้รีบเอ่ยถาม
“จำไม่ได้เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ
“สอบไม่ติดหลายครั้ง ต่อมามีวันหนึ่งก็พลันเสียสติไป สวมใส่อาภรณ์เต๋าร้องนิทานพื้นบ้านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย” ฮ่องเต้เอ่ยต่อ
“เช่นนั้นก็คงจะเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋า” ไทเฮาพยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจจะตรัสรู้ไปแล้ว จึงพเนจรไปอย่างอิสระเสรี”
ได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็เสียดายเล็กน้อย สามารถรักษาคนสติไม่ดีให้หายได้ อีกทั้งยังสั่งสอนศิลปะต่างๆ ให้มากมาย เขาต้องเก่งกาจมากแน่ คนประเภทนี้จะตายไปเช่นนี้ได้อย่างไร
หากยังไม่ตาย ให้ลูกศิษย์กลับเข้าสู่ทางโลกเสียก่อน จากนั้นพอมีชื่อเสียงแล้วก็จะเชื้อเชิญให้ไปพบเขา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด ก่อนออกตามหาพระองค์ทรงคิดเช่นนี้จริงๆ ทว่าสืบข่าวครั้งแล้วครั้งเล่ายืนยันได้ว่าซ่งจินผู้นี้ตายไปแล้วจริงๆ มิได้หลบซ่อนตัวอยู่
ดูท่าแล้วในตำนานเล่าขานว่าเหล่าคนโบราณนั้นเชิญนักปราชญ์ออกมาป่าได้คงมิใช่เรื่องที่จะพบเจอได้บ่อยครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงหลบตาไม่เอ่ยคำ ในใจกลับจดจำชื่อซ่งจินไว้หลายต่อหลายหน ไม่เหมือนกับชื่อเฉิงฝั่งของตน ซ่งจินมิใช่ชื่อที่นางเคยรู้จักมาก่อน
ทว่าได้ยินเรื่องราวที่ฮ่องเต้ทรงเล่าเมื่อครู่ ทำให้รู้ได้ว่าอยู่ๆ ที่เสียสติไปน่าจะเป็นสาเหตุเดียวกันกับเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ๆ ก็ปัญญาอ่อนไป
เป็นใครกันนะ เป็นใครกัน มาปลุกตนให้ฟื้นอย่างนั้นรึ แต่เพราะเหตุใดจึงตายไปอีกเล่า ไม่อยู่รอตนที่ปิ้งโจวหรือ
มือที่วางอยู่บนเข่าของเฉิงเจียวเหนียงกำหมัดแน่น
“ฝ่าบาทเพคะ” นางค้อมกายคำนับ “ฝ่าบาทจะทรงเล่าเรื่องท่านซ่งจินที่ได้สืบมา เช่นรูปร่างหน้าตาให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่เพคะ”
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหญิงนางนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่ง ทั้งสับสนทั้งตื่นเต้น
ปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นธรรมดามาก มิใช่เสแสร้ง
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ในเมื่อเป็นอาจารย์เจ้า ย่อมต้องเล่าให้เจ้าฟัง” พระองค์เอ่ยพลางสั่งให้ขันทีไปหยิบมาจากกองนครหลวง
“อักษรที่เจ้าเขียนก็เป็นเขาที่สอนรึ” ไทเฮาเอ่ยถามขึ้นอีก พลางหยิบอักษรบนโต๊ะขึ้นมาด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
แรกเริ่มเดิมทีนางแค่ถามอย่างขอไปที พอเห็นอักษรที่ยกขึ้นมาดูจึงได้รู้ว่าเหตุใดจึงโด่งดังเช่นนี้ เหตุใดองค์หญิง
ป๋อหยางจึงร้องห่มร้องไห้อยู่ในเรือน
“มิได้เขียนอันใดมากมายแท้ๆ เป็นแค่รายชื่อธรรมดา ผ่านเดือนผ่านปี กลับทำให้คนที่เห็นทั้งโศกเศร้าทั้งอาดูร”
“ฝีแปรงมีจังหวะ เลื่องลือไปไกล เข้มแข็งมีพลัง งดงามราบเรียบ คล้ายอักษรจ้วนโจ้ว คล้ายการแกะสลัก มหัศจรรย์หาได้ยาก ดั่งสวรรค์สร้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ลงมือทำมากกว่าคิด เป็นความเจ็บปวดอันภักดี”
“แม่นางเฉิง บรรดาพี่ชายของเจ้าตายในสงคราม ขอแสดงความเสียใจด้วย”
เฉิงเจียวเหนียงโน้มกายก้มหัวขอบคุณ
“แม่นางเฉิง ทัพตะวันตกเฉียงเหนือประกาศชัยชนะมาแล้ว ป้อมปราการสามป้อมและค่ายอีกสองแห่งทวงคืนกลับมาได้ นี่ล้วนเป็นความดีความชอบของธนูเสินปี้” ฮ่องเต้อมยิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพลันโขกหัวอีกครั้ง
“ฝ่าบาทเอ่ยไม่ค่อยถูกนะเพคะ ความดีความชอบของเหล่าทหารทัพตะวันตกเฉียงเหนือผู้ห้าวหาญไม่กลัวตายเพื่อบ้านเมืองต่างหาก และเป็นความดีความชอบของฝ่าบาทที่ปกปักษ์คุ้มครอง สิ่งของเล็กน้อยเช่นนั้นจะเอาชนะกำลังของมนุษย์ได้อย่างไรเพคะ” นางเอ่ย
ฮ่องเต้ได้ดังฟังก็หัวเราะออกมา
“แม่นางเฉิง เหล่าพี่ชายของเจ้าล้วนได้ปูนบำเหน็จ เรารู้ว่าเกือกม้าและธนูเสินปี้ล้วนเป็นเจ้าที่ทำขึ้น เจ้าอยากได้รางวัลใด” พระองค์เอ่ยถาม
“ฝ่าบาท สิ่งเหล่านี้มิใช่ของหม่อมฉัน เพียงแค่ได้รับการสั่งสอนชี้แนะมาเท่านั้น สองสิ่งนี้ หม่อมฉันได้เรียนสิ่งใดบ้างล้วนจำไม่ได้ หากไม่มีเหล่าพี่ชายที่พวกเขาทั้งต้องการทั้งพร่ำบอก หม่อมฉันก็คงไม่อาจคิดถึงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้หรอกเพคะ อีกอย่าง หากไม่มีความเมตตาพระทัยกว้างของฝ่าบาท เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ดังนั้นพูดถึงเรื่องนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันเลย ไม่ใช่หม่อมฉัน และไม่ใช่เพราะหม่อมฉันจึงเกิดขึ้นได้ หม่อมฉันจะกล้าเอามาเป็นความดีความชอบได้อย่างไรเพคะ”