ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา
บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา
……….
หมายเลขสี่ ‘เทพพ่อมดถือกำเนิดแล้ว’
พระราชวัง ในห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือ ปลายนิ้วชาหนึบเล็กน้อย
แม้ว่าจะเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อเห็นข้อความของฉู่หยวนเจิ่น หัวใจของนางก็ค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งช้าๆ แขนขารู้สึกเย็นยะเยือก อารมณ์มองโลกในแง่ร้าย ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังล้วนปรากฏออกมา
สถานการณ์การรบที่เหลยโจวดุเดือดยิ่ง เดิมก็พอจะถือว่ายื้อต่อไปได้ แต่สถานการณ์นอกทะเลกลับอันตรายยิ่งกว่า สวี่ชีอันไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และตอนนี้ต้าฟ่งจะเอาอะไรไปต่อต้านเทพพ่อมดได้เล่า?
ในที่สุดเทพพ่อมดก็หลุดออกจากผนึก สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ได้ประโยชน์ครั้งใหญ่ไปเสียอย่างนั้น เหมือนนกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน แต่ชาวประมงได้รับผลประโยชน์[1]
เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดนั้นมีความสัมพันธ์แบบแก่งแย่งชิงดีกัน แต่อย่าคิดจะใช้กฎเกณฑ์เรื่องศัตรูของศัตรูคือมิตร แล้วนำเรื่องนี้มาเกลี้ยกล่อมให้พระพุทธเจ้ายอมถอยเด็ดขาด ความจริงแล้วผู้อยู่เหนือสามัญของต้าฟ่งสามารถย้ายไปที่ตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อต้านทานเทพพ่อมดได้ แต่นี่ก็เป็นแค่การรื้อกำแพงตะวันออกเพื่อเสริมกำแพงตะวันตกเท่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือพระพุทธเจ้าบุกมาทางตะวันออกด้วยพลังอำนาจล้นหลาม สถานการณ์ย่อมไม่มีทางดีขึ้นได้
“ส่งคนไปบอกสำนักราชเลขาธิการกับที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว!”
เนิ่นนาน ฮว๋ายชิ่งมองไปยังขันทีรับใช้ใต้บัญชาแล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราวกับเครื่องยนต์กลไก
‘ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว…’ สีหน้าของขันทีรับใช้ซีดขาวราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง ร่างกายค่อยๆ สั่นเทา เขายกแขนที่สั่นระริกขึ้นแล้วทำความเคารพเงียบๆ ก่อนจะถอยออกมา
…
หอสมุดหลวง
ณ ตำหนักเสนาบดี เหล่าปราชญ์มหาสำนักทั้งเฉียนชิงซูและหวางเจินเหวินต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ ชายชราผมสีดอกเลาอย่างพวกเขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม สีหน้าเคร่งเครียดจนทำเอาบรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียดตามไปด้วย
ขันทีรับใช้มองพวกเขาก่อนจะเอ่ยพูดด้วยท่าทางลังเล
ความหมายที่แท้จริงของเขาคือ ต้าฟ่งยังมีทางรอดอยู่หรือไม่?
สาเหตุที่เขาไม่ได้ถามฮว๋ายชิ่งแต่มาถามเหล่าปราชญ์มหาสำนักเหล่านี้แทน หนึ่งก็เพราะไม่กล้าล่วงเกินองค์จักรพรรดินี และสองคืออาจจะไม่ได้รับคำตอบ
แน่นอนว่าเขาคือคนสนิทของจักรพรรดินี ในที่ประชุมผู้อยู่เหนือสามัญหลายครั้งก่อนหน้านี้ ขันทีกุมตราลัญจกรล้วนฟังอยู่ด้านข้างตลอด จึงรู้สถานการณ์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงเข้าใจถึงวิกฤตของสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง
เฉียนชิงซูที่กำลังวิตกกังวลได้ยินดังนั้นก็อดที่จะเอ่ยดุเขาไม่ได้ แต่หวางเจินเหวินที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเสียก่อน
“รอให้ฆ้องเงินสวี่กลับมา วิกฤติก็ย่อมคลี่คลายไปเอง”
สีหน้าของเขาแน่วแน่ น้ำเสียงก็สงบนิ่ง ถึงแม้หน้าตาจะยังดูเคร่งเครียด แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด
เมื่อเห็นดังนั้น ขันทีกุมตราลัญจกรก็เริ่มวางใจและเอ่ยยิ้มๆ เป็นการเคารพ
“ข้ายังต้องไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีก เช่นนั้นขอตัวลาทุกท่าน”
ตอนที่เขาโค้งตัวทำความเคารพนั้น สิ่งที่คิดอยู่ในหัวคือความสำเร็จและการกระทำในอดีตของฆ้องเงินสวี่ รวมถึงคุณสมบัติเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่ว่ากันว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จอมยุทธ์ของภาคกลาง
ความมั่นใจเริ่มมั่นคงขึ้นมาเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกร้อนรนอีกต่อไป
หวางเจินเหวินมองส่งเขาจากไปแล้ว ในที่สุดก็ก้มหน้าลงแล้วนวดหว่างคิ้วด้วยท่าทางเหนื่อยล้าก่อนเอ่ยว่า
“แม้จะไม่มีทางหลีกหนีภัยพิบัติได้ แต่ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง ข้าก็หวังว่าเมืองหลวงและเมืองต่างๆ จะยังมีเสถียรภาพมั่นคงอยู่”
และข้อกำหนดเบื้องต้นของการมีเสถียรภาพมั่นคง คือ จิตใจของผู้คนจะต้องมั่นคงเสียก่อน
จ้าวถิงฟางเอ่ยพูดด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
“คนสนิทข้างกายของฝ่าบาทล้วนแต่เชื่อมั่นในตัวฆ้องเงินสวี่ แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านตาดำๆ เมื่อพวกเราไม่ตระหนก เมืองหลวงก็ย่อมไม่ตื่นตระหนก”
การล้างไพ่รอบใหม่หลังจากองค์จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์นั้นทำให้ปราชญ์มหาสำนักระดับสูงหรือพวกที่เหลืออยู่มีบุคลิกสูงส่งสง่างาม อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องจรรยาบรรณส่วนตัว อีกทั้งพวกเขาล้วนคลุกคลีอยู่ในการเมืองอย่างล้ำลึกและมีแผนการในใจเสมอ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงยังรักษาความเยือกเย็นได้ในระดับหนึ่ง
หากเปลี่ยนเป็นในช่วงจักรพรรดิหยวนจิ่ง เวลานี้ทั้งราชสำนักคงจะตกอยู่ในความวุ่นวาย จิตใจของผู้คนก็คงจะตื่นตระหนกกันหมดแล้ว
หวางเจินเหวินเอ่ยว่า
“ใช้ข้ออ้างว่าต้องตรวจสอบรายละเอียดของฝั่งดินแดนประจิมทิศแล้วปิดประตูเมือง ทำให้ทั้งโรงเตี๊ยม โรงสุรา หรือสถานที่เช่นหอนางโลมว่างเปล่าไร้ลูกค้าเสีย จากนั้นจำกัดเวลายามวิกาลเพื่อยับยั้งไม่ให้ข่าวลือแพร่กระจาย”
บุคคลที่รู้เรื่องภัยพิบัติใหญ่นั้นมีไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย การรั่วไหลของข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ดังนั้นมาตรการเช่นนี้จึงเป็นการป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลจนทำให้เกิดความตื่นตระหนก
ส่วนที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลของแต่ละมณฑลนั้นได้รับสารลับจากราชสำนักล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้กับดินแดนประจิมทิศและทางตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ว่าการท้องถิ่นของเมืองต่างๆ ภายใต้การปกครองด้วย
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือ เมื่อมีสัญญาณควัน จงรีบอพยพ
ร้อยครัวเรือนต่อหนึ่งหมู่บ้าน สิบหมู่บ้านต่อหนึ่งตำบล สิบตำบลต่อหนึ่งเทศบาล โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน นายตำบล และหัวหน้าเทศบาลรับผิดชอบชาวบ้านภายใต้เขตอำนาจของตนเอง และให้ที่ว่าการมณฑลดูแลจัดการโดยรวมอีกที
แน่นอนว่า สถานการณ์จริงย่อมต้องซับซ้อนยุ่งยากยิ่งกว่านี้ ชาวบ้านอาจจะไม่ยอมอพยพ ขุนนางต่างๆ ก็อาจจะไม่รับผิดชอบงานของตนเองเมื่อภัยพิบัติใหญ่มาถึง
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
สำหรับราชสำนักแล้ว สามารถช่วยได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น
เฉียนชิงซูเอ่ยเสียงเบา
“ทำให้ดีที่สุด แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
ได้ยินดังนั้น ปราชญ์มหาสำนักทั้งหลายก็พร้อมใจมองไปทางทิศใต้ ไม่ใช่ทางเหนือที่เทพพ่อมดกำลังกวาดต้อนลงมา
…
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หนานกงเชี่ยนโหรวแขวนดาบไว้ที่เอวและเดินดุ่มๆ ไปยังหอเฮ่าชี่ด้วยจิตใจอันร้อนรน ก่อนจะพบว่าเว่ยเยวียนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำชา
ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดประเภทที่ว่า ‘ท่านพ่อบุญธรรม จะทำอย่างไรดี’ กลับไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวก็ก้าวยาวๆ ไปยังหอสังเกตการณ์ที่อยู่ทางซ้ายของห้องน้ำชาแล้วมองไปทางพระราชวัง
ตำหนักเฟิ่งฉี
ไทเฮาทรงที่ทรงมีพระอารมณ์ไม่เลวนักกำลังประทับอยู่บนตั่งนอน พลางถือหนังสืออ่านเล่นโดยมีชาดอกไม้และขนมวางอยู่บนโต๊ะชาด้านหน้า
ภายในห้องอันอบอุ่นดั่งอยู่ในฤดูวสันต์ ไทเฮาทรงสวมชุดชาววังสีสันสดใส พระขนงปัดโค้งบางเบาและมีพระพักตร์งามล่มเมืองที่แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย
พระนางวางหนังสือในมือลง เมื่อเตรียมจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มก็พลันพบว่าข้างนอกมีเงาร่างของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาสวมชุดคลุมสีกรมท่า จอนผมสองข้างเป็นสีขาว และมีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
พระพักตร์ของไทเฮาแต้มรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ปกติเว่ยเยวียนจะไม่ค่อยมาเยือนตำหนักเฟิ่งฉีในยามเช้าตรู่ เว้นแต่จะเป็นวันหยุด
“ว่างงานพอดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยเยวียนเดินเข้ามานั่งที่ตั่งแล้วจับพระหัตถ์ของไทเฮา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เพียงอยากอยู่กับท่านพักหนึ่ง”
ไทเฮาขมวดพระขนง จากนั้นก็คลายออกก่อนจะปรับท่านั่งแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาพร้อมเอ่ยพึมพำ ‘อืม’
ทั้งคู่ดื่มชากันเงียบๆ อย่างรู้ใจ พลางอ่านหนังสือและบางครั้งก็พูดคุยเรื่อยเปื่อย เพลิดเพลินกับช่วงเวลาอันแสนสงบสุขนี้ด้วยกัน
ซึ่งนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
…
เหลยโจว
วัตถุโลหิตเนื้อสีแดงชาดราวกับเป็นอุทกภัยทำลายโลก มันท่วมท้นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน ภูเขาลำธาร และแม่น้ำลำห้วย
ร่างธรรมแห่งความมืดของเสินซูถอยร่นติดๆ กัน ต่อสู้กันมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขากับยอดฝีมือเหนือสามัญของฝั่งต้าฟ่งต่างก็ถอยมาเรื่อยๆ เกือบร้อยลี้แล้ว
แม้ว่าสิ้นหวังยิ่งนัก เพราะในด้านต้านทานการโจมตี พวกเขาล้วนทำได้เพียงลดความเร็วที่พระพุทธเจ้าจะกลืนกินเหลยโจวเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งได้เลย
ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากยอดฝีมือระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เรื่องที่เหลยโจวจะแตกนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
‘หากจำไม่ผิด หากถอยต่อไปอีกเจ็ดสิบลี้ก็จะเป็นส่วนของเมือง ชาวบ้านในเมืองไม่รู้ว่าอพยพไปแล้วหรือยัง ไม่สิ ไม่มีทางที่ทุกคนจะออกไปหมดได้…’ หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองอาซูหลัวและโค่วหยางโจวที่สู้เป็นสู้ตายกับเจียหลัวซู่
กวาดตามองจ้าวโส่วและคนอื่นๆ ที่ช่วยเสริมพลังให้เสินซู แต่ตนเองกลับวนเวียนอยู่บนปากเหวของความตาย บางคราวก็ยังถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีลอบโจมตีอีกด้วย
กวาดตามองลั่วอวี้เหิงที่มุ่งเป้าไปที่กว่างเสียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฝ่ายนั้นกลับถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีช่วยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงยังไม่ประสบความสำเร็จสักที
ความร้อนรนกังวลใจผุดขึ้นมาในใจทีละนิดๆ พลางคิดถึงสวี่ชีอันที่ออกทะเลไปโดยไม่รู้ตัว
‘เจ้าจะต้องรอดชีวิตกลับมานะ’…ขณะที่ความคิดบังเกิด ความรู้สึกที่คุ้นเคยก็แล่นเข้ามาครอบงำ
ความคิดภายในใจสั่นไหว หลี่เมี่ยวเจินจึงเรียกชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เพียงเหลือบมองสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที ก่อนพลั้งปากพูดขึ้นว่า
“เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว”
เสียงของนางไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันดุเดือดชะงักไป จากนั้นก็แยกย้ายกันโดยปริยาย
ต่อมา อาซูหลัวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยโลหิตเปียกชุ่มแต่เปี่ยมพลัง นักบวชเต๋าจินเหลียนที่แววตาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด และเหิงหย่วนที่แขนขวาขาดวิ่น ต่างก็พากันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอ่านดู
ข้อความที่ฉู่หยวนเจิ่นหมายเลขสี่ส่งมาแสดงชัดอยู่ในกระจกหยก
สมาชิกพรรคฟ้าดินใจตกไปที่ตาตุ่ม สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด
และสีหน้าของพวกเขาก็ทำให้พวกผู้อยู่เหนือสามัญอย่างพวกจ้าวโส่วพากันใจดิ่งไปด้วย
เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดที่สุด ก็ยังคงเกิดขึ้น
เทพพ่อมดเลือกหลุดออกจากผนึกในช่วงเวลานี้ ช่วงที่การป้องกันในภาคกลางว่างเปล่าโหรงเหรงที่สุด เขาหลุดออกมาจากผนึกของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“เป็นเวลานี้จริงๆ เสียด้วย…”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพูดเสียงพึมพำ
เขาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ถึงขั้นเดาได้แล้วว่าผู้อยู่เหนือระดับท่านนี้จะหลุดออกจากผนึกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี่เอง ส่วนเหตุผลนั้นง่ายยิ่ง เพราะพ่อมดขั้นหกคือผู้ทำนายและเทพพ่อมดก็มีความสามารถที่จะคว้าโอกาสนี้ได้
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประนมมือสวดนามพระพุทธเจ้า สีหน้าประดับรอยยิ้ม
“พวกเจ้ามีอยู่สองหนทาง”
พวกหลี่เมี่ยวเจินมองไป
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเอ่ยเสียงเนิบช้า
“ศรัทธาสำนักพุทธ แล้วพระพุทธเจ้าจะให้อภัยความผิดของเจ้าและประทานชีวิตอันเป็นนิรันดร์ รวมถึงร่างกายที่เป็นอมตะแก่เจ้า หรือไม่ก็ถอยออกจากเหลยโจว แล้วมอบดินแดนหลายหมื่นลี้แห่งนี้ให้กับสำนักพุทธของเรา”
“ฝันไปเถอะ!” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยตอบเสียงเย็นชา
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว อืม เว้นแต่ว่าจะวาดหวังให้สวี่ชีอันกลับมาจากทะเลแล้วพลิกสถานการณ์เหมือนครั้งก่อน ถึงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวจะเป็นอมตะไม่ตกตาย แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเผชิญหน้ากับใคร เขาอยู่ที่ทะเลต้องเจอกับผู้อยู่เหนือระดับสองท่าน ชีวิตตัวเองยังยากจะรักษาไว้ได้เลย บางที ฮวงกับเทพเจ้ากู่คงกำลังแล่นมายังจิ่วโจวแล้วกระมัง”
สีหน้าของเจียหลัวซู่ทั้งเย่อหยิ่งและเผด็จการ เขาเอ่ยว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การนับถือสำนักพุทธก็เป็นทางรอดหนึ่งเดียวของพวกเจ้าแล้ว เหนือระดับขั้นอีกสามท่านอาจจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้”
อาซูหลัวแสยะยิ้ม
“ได้ ถ้าเจ้ากับเจียหลัวซู่จบชีวิตตัวเองตรงนี้ ข้าก็อาจจะพิจารณาเข้าสู่สำนักพุทธ”
หลี่เมี่ยวเจินกวาดตาไปมองเสินซูและพระพุทธเจ้าที่สู้กันไม่หยุดอยู่ไกลๆ จากนั้นเก็บสายตากลับมาแล้วยิ้มเย็น
“ครั้งนี้ข้าแล่นมาที่เหลยโจวเพื่อหยุดยั้งพวกเจ้า ไม่ใช่เพื่อแก้แค้นส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง และยิ่งไม่ใช่เพื่อมีชีวิตยืนยาว แต่ข้าทำ เพราะฟ้าดินไร้ปรานีที่มองสรรพชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง[2]”
นักบวชเต๋าจินเหลียนลูบเครากล่าว
“ฟ้าดินไร้ปรานีที่มองสรรพชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง ดียิ่ง อาตมาคิดว่าทั้งชีวิตนี้บำเพ็ญเพียรบุญกุศล รู้เพียงแค่มนุษย์มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ต้องประสบกับทุกข์แปดประการแห่งชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดหรอกว่า ‘สวรรค์’ จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่”
ตู้เอ้อร์ประนมมือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดังก้อง
“อามิตตาพุทธ สรรพสิ่งล้วนทุกข์ แต่สรรพสิ่งไม่ใช่ของเล่นที่ถูกขังอยู่ในกรง พระพุทธเจ้า ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง”
หยางกงแค่นเสียงเอ่ย
“การสร้างหัวใจให้แก่ฟ้าดินคือหน้าที่ของลัทธิขงจื๊อ หากเหนือระดับขั้นคิดจะก้าวก่ายอำนาจกัน ข้าย่อมไม่เห็นด้วย”
โค่วหยางโจวพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าก็เช่นกัน”
พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นล้วนไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อปวงประชาของอาณาจักรและแผ่นดิน
เพื่อชีวิตในจิ่วโจว เพื่อลูกหลานรุ่นหลัง เพื่อสร้างทิศทางให้ฟ้าดินก้าวเข้าไปสู่ขั้นที่สาม
ตอนนี้ จ้าวโส่วก็ส่งเสียงทางจิตมา
“ทุกท่าน ข้ามีเรื่องหนึ่ง…”
…
นอกทะเล
สวี่ชีอันที่ถูกปิดกั้นห้าสัมผัสหกการรับรู้ไม่อาจสัมผัสถึงอันตรายใดๆ ได้ เขาถูกศัตรูขนาบหน้าหลังจริง และติดอยู่ในการโจมตีของผู้อยู่เหนือระดับขั้นทั้งสอง
ด้านบนคือเทพเจ้ากู่ ด้านล่างคือฮวง ส่วนในตอนนี้ เขากำลังช่วงชิงอำนาจยึดครองร่างอยู่กับเจ็ดยอดกู่
เพียงขอเวลาเขาแค่ไม่กี่วินาทีก็สามารถสยบเจ็ดยอดกู่แล้วทำลายจิตสำนึกของมันได้แล้ว แต่ผู้อยู่เหนือระดับขั้นทั้งสองกลับไม่ให้เวลาเขาเลย
เจดีย์พุทธะลอยขึ้นอีกครั้ง หลังคาทรงแหลมมีสร้อยข้อมือลูกตาขนาดยักษ์แขวนอยู่ ถ่าหลิงทำให้ลูกตานั้นสว่างขึ้น เมื่อใช้วิธีนี้ซ้ำๆ มันก็สูญเสียการรับรู้ต่อโลกภายนอกไปทันใด
และถูกปิดกั้นไปด้วยเช่นกัน
เทพเจ้ากู่ปิดกั้นได้แม้แต่ของวิเศษ
ที่วิกฤติที่สุดก็คือ ถ่าหลิงไม่อาจบอกเรื่องที่ตนพบเจอกับสวี่ชีอันเพื่อให้เขารู้ว่าวิชาเคลื่อนย้ายไม่อาจเกิดผล
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันที่สูญเสียการรับรู้ต่อโลกภายนอกก็ระเบิดพลังปราณออกมาใต้เท้า แล้วพุ่งขึ้นไปหาเทพเจ้ากู่ด้านบน
‘พลั่ก!’
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่ไม่อาจควบคุมร่างกายตนเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ พุ่งเข้าใส่เทพเจ้ากู่ในสภาพพร้อมพังทลายไปด้วยกัน
ร่างกายใหญ่โตมหึมาและแข็งราวกับเหล็กกล้าของเทพเจ้ากู่ถูกกระแทกจนสั่นสะเทือนเล็กน้อย
สวี่ชีอันกลับไม่อาจขับเคลื่อนพลังปราณได้มากพอเนื่องจากสั่งสมพลังไม่ได้ เขาจึงกระแทกจนกระดูกหักกล้ามเนื้อฉีกขาด
พลังการกระแทกระหว่างสองฝ่ายสะเทือนฟ้าดินราวกับระฆังยักษ์ที่สั่นก้องไปทั้งโลก
สุดท้ายเทพเจ้ากู่ก็มีชัย เขาปรับความเร็วแล้วเริ่มสั่งสมพลัง กล้ามเนื้อของร่างกายมหึมาขยายออก ขณะที่กำลังจะกระแทกสวี่ชีอันเข้าสู่พายุหมุน ตอนนี้เอง กล้ามเนื้อบนผิวของเทพเจ้ากู่ก็ระเบิดออก เส้นเอ็นฉีกขาดไปสีละเส้นๆ
ทำให้ร่างกายที่กำลังสั่งสมพลังของเขาราวกับลูกหนังที่ถูกเจาะลม จึงสูญเสียโอกาสอันแสนสั้นนี้ไป
ดวงตาว่างเปล่าของสวี่ชีอันกลับมามีประกายอีกครั้ง เขาคว้าเจดีย์พุทธะเอาไว้ ลูกตาบนยอดหลังคาแหลมสว่างขึ้นทันที แล้วส่งตัวออกไปจากการโจมตีขนาบบนล่างของเทพเจ้ากู่และฮวง
เขาไม่กล้าดูแคลนผู้อยู่เหนือระดับขั้นทั้งสอง เทพเจ้ากู่เคยพบเห็นวิธีการสลาย ‘การปิดกั้น’ ของเขามาก่อน ตอนนี้เมื่อเขาใช้กลอุบายเดียวกันอีกครั้ง ก็ย่อมมีวิธีมาป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนย้ายตัวได้อยู่แล้ว
ดังนั้นหลังจากถูกปิดกั้นอีกครั้ง เขาจึงไม่ได้หวังจะให้เจดีย์พุทธะช่วยเหลือตน
การกระแทกเมื่อครู่นี้คือการช่วยชีวิตตัวเองโดยใช้พลังของหยกสลาย
ส่วนที่ว่าเหตุใดต้องกระแทกไปที่เทพเจ้ากู่ไม่ใช่ฮวงนั้น ย่อมเป็นเพราะเมื่อต้องเลือกระหว่างสองอย่าง ให้เลือกผลลัพธ์ที่ร้ายแรงน้อยกว่า
เทพเจ้ากู่และฮวงอยู่เหนือระดับขั้น แต่ทั้งคู่มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน เทพเจ้ากู่มีวิชาเจ็ดยอดกู่ มีวิธีการหลากหลาย อลังการงานสร้างยิ่งกว่า ทั้งยังจัดการได้ยากกว่าด้วย
แต่กลับกัน พลังการสังหารของเขาก็จะอ่อนลง
ส่วนฮวงนั้นทั่วทั้งร่างล้วนเป็นพลังวิเศษฟ้าประทาน คุณสมบัติดั่งกระบี่วิถีใหม่เช่นนี้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดแล้ว
ต่อให้ตอนนี้สวี่ชีอันจะเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรอดชีวิตภายใต้พลังวิเศษฟ้าประทานของผู้อยู่เหนือระดับอย่างฮวงได้
เขาคว้าเจ็ดยอดกู่ที่ด้านหลังคอแล้วกระชากดึงมันออกมาพร้อมเลือดเนื้อทั้งเป็น เดิมทีคิดจะบดขยี้มันให้แหลกทันที แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดและตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น หลังจากระงับสติปัญญาภายในร่างหนอนของมันแล้ว เขาก็ทุ่มพลังปราณลงไปเพื่อปิดผนึก
เมื่อไม่มีเจ็ดยอดกู่ เขาก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งกร้าวได้อีกครั้ง…ขณะที่รู้สึกเสียใจ สวี่ชีอันก็ดึงเจ็ดยอดกู่ออกมาแล้วโยนเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีส่งๆ
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็หนังศีรษะชาและเกิดสัญชาตญาณต่อวิกฤติแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สัญญาณเตือนจากโชคชะตา!
เขารู้ถึงสาเหตุได้โดยธรรมชาติ นั่นก็เพราะเทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว เขารับมือทางนี้อย่างยากลำบากโดยที่ยังคิดหาวิธีช่วยเหลือท่านโหราจารย์ไม่ได้ ส่วนทางด้านแผ่นดินจิ่วโจว เทพพ่อมดกลับทลายผนึกออกมาเสียอย่างนั้น
…
“เทพสวรรค์ ศิษย์ขอร้องท่านล่ะ ได้โปรดยื่นมือช่วยเหลือต้าฟ่งด้วย”
ใต้ซุ้มประตูของนิกายสวรรค์ เสียงของหลี่หลิงซู่ร้องตะโกนจนแหบแห้ง ทว่าก็ไม่มีใครตอบกลับ
“หยุดร้องได้แล้ว”
เสียงถอนหายใจดังมาจากด้านบน
หลี่หลิงซู่เงยหน้าขึ้นมอง ผู้มานั้นคือท่านอาจารย์ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง
เขาราวกับคว้าจับความหวังได้แล้ว จึงเอ่ยอย่างร้อนใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านรีบขอให้เทพสวรรค์ยื่นมือช่วยเหลือเร็วเข้าเถิด ภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย ถ้าเขาไม่ยื่นมือช่วยจะเสียใจภายหลังได้”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ข้าไม่อาจบังคับความคิดของเทพสวรรค์ได้ ในเมื่อท่านเทพสวรรค์บอกให้ปิดภูเขา ก็ย่อมไม่ยื่นมือช่วยใดๆ ทั้งนั้น เจ้ามาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์
“กลับไปเถอะ อย่าส่งเสียงดัง”
พูดจบ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกก็หันกายจากไปและไม่เหลือบมองลูกศิษย์อีก
ขณะที่หลี่หลิงซู่กำลังจะตะโกนร้องเรียกอาจารย์ ทันใดนั้นความรู้สึกอันคุ้นเคยก็ถาโถมมา เขารีบควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอ่านทันใด
หมายเลขสี่ งเทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว’
เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว…หลี่หลิงซู่นิ่งสนิทดั่งท่อนไม้ สีหน้างงงัน ก่อนจะค่อยๆ ซีดเผือด ทันใดนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดโปนขึ้น กล้ามเนื้อที่ร่องแก้มสั่นระริก มือที่ถือหนังสือปฐพีอยู่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือด
…
พระราชวัง
ฮว๋ายชิ่งผู้สวมมงกุฎมาลาและฉลองพระองค์มังกรยืนอยู่ริมทะเลสาบ พลางมองสบตากับมังกรวิญญาณในทะเลสาบเงียบๆ
สัตว์มงคลในทะเลสาบรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ดวงตาดำสนิทดุจเม็ดกระดุมมองไปที่จักรพรรดินี ในนั้นมีทั้งความระมัดระวัง ไม่เป็นมิตร และอ้อนวอนขอ
“รวบรวมโชคชะตาแทนเรา” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเบา
มังกรวิญญาณที่ยื่นหัวขึ้นมาจากผิวทะเลสาบส่ายหน้าอย่างแรง มันร้องคำรามน่าเกรงขาม ราวกับจะข่มขู่จักรพรรดินี
แต่ฮว๋ายชิ่งเพียงแค่มองสบตามันอย่างเยือกเย็นแล้วเอ่ยย้ำคำพูดเมื่อกี้ด้วยความเย็นชา
“รวบรวมโชคชะตาแทนเรา”
‘โฮก!’
มังกรวิญญาณยกหางยาวขึ้นแล้วตบลงบนผิวทะเลสาบแทนการระบายอารมณ์ จนเกิดคลื่นใหญ่ยักษ์พวยพุ่งขึ้นฟ้า
หลังจากคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่พักหนึ่ง มันก็ยืดตัวตรงจนสูงใหญ่และอ้าปากเรียวยาวออก
ปราณสีม่วงหลายสายพวยพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าแล้วเข้าไปในปากของมังกรวิญญาณ ปราณสีม่วงมีองค์ประกอบลึกลับเสียยิ่งกว่าลึกลับ ซึ่งตาเปล่าของฮว๋ายชิ่งไม่อาจมองเห็นได้ แต่นางสามารถสัมผัสได้ว่านั่นคือโชคชะตา!
มังกรวิญญาณกำลังกลืนกินโชคชะตาอยู่ นี่คือพลังวิเศษฟ้าประทานของ ‘เครื่องควบคุมโชคชะตา’
………………………………………………………
[1] นกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน แต่ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายถึง สองฝ่ายทะเลาะกันโดยใช้อารมณ์ จนปล่อยให้มือที่สามได้รับประโยชน์ไปอย่างง่ายดาย
[2] ฟ้าดินไร้ปรานีที่มองสรรพชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง (天地无情以万物为刍狗) หมายถึง ธรรมชาติล้วนกระทำต่อทุกชีวิตด้วยความเท่าเทียมตามกฎของชีวิต
……….