ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 896 เทพเจ้ากู่กับพฤติกรรมที่น่าฉงน
บทที่ 896 เทพเจ้ากู่กับพฤติกรรมที่น่าฉงน
……….
บนอากาศที่อยู่สูงจากเหวลึกจี๋เยวียนหลายสิบลี้ ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเยียนถือกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวในมือ และมองไปทางเหวลึกจี๋เยวียน
ข้างๆ นางมีผู้นำเผ่าพันธุ์กู่อยู่หลายคน พวกเขาก็ถือกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวและทำท่ามองออกไปไกลๆ เหมือนนาง
กล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวคืออาวุธยุทธภัณฑ์ที่ยึดมาจากทหารกบฏอวิ๋นโจว หลังจากสำนักโหราจารย์เข้าใจหลักการผลิตแล้ว ก็ผลิตขึ้นมาจำนวนมาก และนำไปติดตั้งไว้ในยุทธศาสตร์การทหารที่สำคัญ
มันสามารถเพิ่มระยะการสังเกตได้อย่างมาก ทั้งยังรักษาระยะอำพรางกับฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังรับประกันความปลอดภัยด้วย
พวกผู้นำแบกรับแรงกดดันมหาศาล มองผ่านกระบอกเดี่ยวเล็กๆ แคบๆ ไม่นานก็จับตำแหน่งของเหวลึกจี๋เยวียนได้ และจับตำแหน่งป่าบุพกาลที่เขียวชอุ่มผืนนั้นได้
ฉุนเยียนเม้มริมฝีปาก นางสังเกตดูป่าบุพกาลอย่างใจจดใจจ่อ ในระยะการมองเห็นของนาง ป่าบุพกาลที่ทอดยาวเกือบสิบลี้โค้งตัวขึ้นมา
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา ป่าบุพกาลผืนนี้โป่งขึ้นสูงราวกับจะมีบางสิ่งบางอย่างปีนขึ้นจากพื้นดิน…
นางกลั้นหายใจโดยจิตใต้สำนึก เม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าปาก หัวใจเต้นเร็วโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้น แต่เป็นเพราะความรู้สึกของการกดขี่จากระบบที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากป่าบุพกาลโค้งงอจนถึงความสูงระดับหนึ่ง แผ่นดินก็แยกออกและเลื่อนออกไปทั้งสองด้าน สันหลังเลือดสีแดงเข้มปรากฏอยู่ใน ‘ทัศนวิสัย’ ของบรรดาผู้นำ
สันหลังนี้เป็นสีแดงเข้ม ราวกับเลือดเนื้อที่เลาะหนังออก เผยให้เห็นเส้นเอ็นที่ปูดโปน กล้ามเนื้อแต่ละส่วนขยายตัว
ทั้งสองข้างของสันหลังมีรูระบายอากาศเป็นแถวๆ และมีควันสีเขียวแก่ระบายออกมาจากรู
มันเป็นเหมือนตัวอ่อนแมลง หลังจากเติบโตจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็คลานออกจากพื้นดิน และกลายร่างเป็นผีเสื้อ
ขณะที่มันคลานขึ้นจากเหวลึกจี๋เยวียน ชั้นผิวดินก็ถูกดันขึ้น หินผานับล้านตันถูกพลิกขึ้นมา แม้ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหว แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้โจมตีจักษุสัมผัสของบรรดาผู้นำเป็นอย่างมาก
“นี่คือเทพเจ้ากู่…”
ฉุนเยียนพูดพึมพำ
นางมองเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงทั้งหมดของเทพเจ้ากู่อย่างชัดเจนแล้ว มันคล้ายกับภูเขาที่ก่อตัวมาจากเลือดเนื้อ มีขนาดมหึมาและน่าหวาดผวา รูระบายอากาศตรงสันหลังพ่นควันสีเขียวเข้มเป็นสายๆ หมุนวนอยู่กลางอากาศ และก่อตัวเป็นชั้นเมฆสีเขียวเข้ม
ส่วนล่างของภูเขาเนื้อมีเงามืดเหนียวไหลออกมา
แต่สิ่งที่แตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าสะพรึงก็คือ เทพเจ้ากู่มีดวงตาที่เต็มไปด้วยสติปัญญา ราวกับสามารถมองทะลุสุริยันจันทราและเทือกเขาธาราได้ สามารถมองทะลุวันเวลาตั้งแต่โบราณกาลได้
ขณะนี้เทพเจ้ากู่ทั้งหมดที่อยู่บริเวณเหวลึกจี๋เยวียนล้วนเกิดการกลายพันธุ์อย่างน่าตกใจ บ้างก็แข็งทื่อในฉับพลัน ดูไม่มีชีวิต เป็นศพเดินได้ที่ไม่มีความรู้สึก
บ้างก็ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ถูกครอบงำด้วยความปรารถนาที่จะผสมพันธุ์ และกระโจนใส่อสูรกู่ที่อยู่ข้างๆ อย่างบ้าคลั่ง โดยไม่คำนึงถึงสายพันธุ์และเพศ
ขณะนี้ฉุนเยียนมองเห็นเส้นเอ็นสีเขียวแต่ละเส้นปูดโปนและบิดเบี้ยวอยู่บนใบหน้าของป๋าจี้ที่เป็นผู้นำเผ่าตู๋กู่ ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นดวงตาสีเขียวเข้มที่วางตัวในแนวตั้ง มีเขางอกบนหน้าผาก เขี้ยวยื่นออกมานอกริมฝีปาก…
การกลายพันธุ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นบนตัวผู้นำคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน พวกเขากำลังผสานกับกู่เจ้าชะตาในร่าง
“ไป!”
ฉุนเยียนโพล่งออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ใครจะไปรู้ล่ะว่า เสียงที่พุ่งออกจากลำคอจะไม่ไพเราะเสนาะหูอีกต่อไป ทั้งยังแหบแห้งราวกับกล่องสูบลมเก่าๆ
‘ข้าก็แปลงกู่แล้ว…’ ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นในใจของนางอย่างรุนแรง บรรดาผู้นำก็รีบไปทางเหนือโดยไม่รั้งอยู่อีกต่อไป
ตอนท้ายฉุนเยียนหันกลับไปเห็นกายเนื้อน่ากลัวขนาดมหึมานั้นคลานไปทางใต้
…
เมืองกวน เมืองเฉพาะกิจ!
เงาร่างสองเงาปรากฏตัวกลางอากาศเหนือเมืองเฉพาะกิจ คือสวี่ชีอันกับหลวนอวี้ที่ไปแจ้งข่าวเขา
สวี่ชีอันกวาดสายตามองดู ก็พบว่าเมืองเฉพาะกิจเต็มไปด้วยผู้คน คนเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดเผ่าเก็บถุงเดินทางอย่างเป็นระเบียบ วางแผนที่จะหลบหนีไปทางเหนือ
‘ใจเย็นเช่นนี้เลยหรือ’ เขาขมวดคิ้ว แม้เผ่าพันธุ์กู่จะชอบสงคราม ไม่กลัวตาย แต่นั่นคือตอนที่ขาดสติ เวลาปกติชาวเผ่าหนานหมานยังคงรักชีวิตมาก
การเคลื่อนไหวตรงหน้า ไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันที่หลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลนเมื่อภัยพิบัติมาถึงเลย
“ข้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของเทพเจ้ากู่ และก็ไม่มีกลิ่นอายของบรรดาผู้นำด้วย”
เขาหันมามองหลวนอวี้ที่มีใบหน้ารูปไข่ด้วยสายตาที่เค้นถาม
ต่อให้เขาจะมาเร็วแค่ไหนก็เร็วไม่เท่าเทพเจ้ากู่
ว่าตามหลักการแล้ว สถานที่แห่งนี้กลายเป็นโลกของกู่แล้ว
ขณะนี้ คนหลังได้เก็บเสน่ห์อันน่าหลงใหลไปหมดแล้ว และขมวดคิ้วมุ่น
ระหว่างที่พูด ทั้งสองมองไปยังสถานที่บางแห่งพร้อมกัน นี่คือเรือนเล็กๆ ธรรมดาแห่งหนึ่ง ในเรือนมีหญิงชราผมขาวยืนถือไม้เท้าและกำลังแหงนหน้ามองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ
สวี่ชีอันกดไหล่หลวนอวี้ไว้แน่น และส่งเขาไปตรงหน้าแม่ย่าแห่งเทียนกู่
“เทพเจ้ากู่ถือกำเนิดแล้ว!”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ทว่าพระองค์ไม่ได้ขึ้นเหนือไปโจมตีต้าฟ่ง แต่กลับมุ่งหน้าไปทางใต้แล้ว”
‘ไปทางใต้…’ หลวนอวี้กล่าวอย่างเร่าร้อน
“คนอื่นๆ ล่ะ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่หันไปมองห้องโถงด้านข้างที่ประตูหน้าต่างปิดสนิทก่อนกล่าวออกมา
“พวกเขาได้รับผลกระทบจากเทพเจ้ากู่ ผสานร่างกับกู่เจ้าชะตาอย่างไม่อาจควบคุมได้ และร่างกายได้แปลงกู่แล้ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ธรรมดา ข้าปิดบังกลิ่นอายพวกเขาไว้ และต้องขอให้ฆ้องเงินสวี่ช่วยเหลือด้วย”
‘แปลงกู่…’ หลวนอวี้ใบหน้าถอดสี
วิธีการบำเพ็ญของเผ่าพันธุ์กู่คืออาศัยกู่เจ้าชะตาที่ฝังเข้าไปในร่างดูดซับพลังของเทพเจ้ากู่ พลังแห่งเทพเจ้ากู่มีอันตรายอยู่ พอสิ่งมีชีวิตทั่วไปสัมผัสกับพลังแห่งเทพเจ้ากู่ ก็จะถูกแปดเปื้อนกลายเป็นอสูรกู่ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ
การดำรงอยู่ของกู่เจ้าชะตาก็เพื่อช่วยหมอผีลด ‘ความเป็นพิษ’ ทำให้สามารถรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ หลีกเลี่ยงการถูกแปดเปื้อน
แต่กู่เจ้าชะตาก็เป็นกู่ หาก ‘ความเป็นพิษ’ ของกู่เจ้าชะตาถูกเพิ่มความแข็งแกร่ง เช่นนั้นบรรดาหมอผีที่มีร่างเดียวกับกู่เจ้าชะตาก็จะแปลงกู่
สิ่งที่อันตรายถึงชีวิตก็คือ เมื่อแปลงกู่ถึงระดับหนึ่งแล้วก็ไม่อาจหวนกลับมาได้อีก
สวี่ชีอันไม่รอช้าอีกต่อไป เขาเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่และเปิดประตูเข้าไป
สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายวานรยักษ์หลังดำตัวหนึ่ง แขนล่ำสันทั้งสองยันอยู่บนพื้น ดวงตาข้างหนึ่งแดงราวกับเลือด อีกข้างแหลมคมแต่ใสแจ๋ว
กล้ามเนื้อทั่วร่างกายแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้า อัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว
ด้านซ้ายของ ‘วานรยักษ์’ คือมนุษย์กิ้งก่าที่มีผิวสีม่วง มีเขาเดี่ยวบนหน้าผาก มีเขี้ยวยื่นออกจากปาก มีเกล็ดสีม่วงบนแก้ม มีเงามืดที่เคลื่อนไหวอย่างบิดเบี้ยว มีมนุษย์วิหคที่เท้ากลายเป็นกรงเล็บ มีขนสีเขียวเต็มตัว แขนกลายเป็นปีก และศพเดินได้ที่มีดวงตาเป็นสีขาว ใบหน้าเป็นสีเขียว
สวี่ชีอันสามารถแยกแยะจากกลิ่นอายได้อย่างรวดเร็ว วานรยักษ์คือหลงถู มนุษย์กิ้งก่าคือป๋าจี้ เงามืดคือเงา มนุษย์วิหคคือฉุนเยียน ศพเดินได้คือโหยวซือ
ทำให้พวกเขาแปลงกู่แล้วจริงๆ นั่นก็คืออสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ห้าตัว สวี่ชีอันรู้ว่าจะช่วยบรรดาผู้นำอย่างไร เจ็ดยอดกู่ตรงกระดูกสันหลังต้นคอของเขาโป่งขึ้นมา โครงร่างปรากฏอย่างชัดเจนภายใต้ผิวหนัง
ลูกตาของเขา ‘ละลาย’ ครอบคลุมเบ้าตาทั้งหมด และเขาก็อ้าปากดูดเบาๆ
ในฉับพลันนั้น พลังแห่งเทพเจ้ากู่ที่มีสีสันต่างๆ ก็ล้นออกจากร่างของบรรดาผู้นำทั้งห้า และพวยพุ่งเข้าไปในปากสวี่ชีอันราวกับหมอกควัน
ขณะที่พลังแห่งเทพเจ้ากู่ที่มากเกินพิกัดเหล่านี้ออกจากร่าง ลักษณะที่กลายพันธุ์บนร่างของผู้นำทั้งห้าก็หลุดออกไป บ้างก็หดเข้าไปในร่าง ไม่นานก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว
นอกจากฉุนเยียนที่ยังคงมีขนสีเขียวปกคลุมร่างกายแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเปลือยทั้งตัว
หลวนอวี้แสร้งทำเป็นเขินอายต่อหน้าสวี่ชีอันโดยเอามือปิดหน้าแล้วกล่าวอย่างเขินอาย
“น่าเกลียด!”
แต่ทุกคนต่างไม่สนใจนาง
“รอก่อน!”
ฉุนเยียนหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
ชั่วเวลาสั้นๆ ก็คลุมกระโปรงยาวชุดหนึ่งออกมา ขนสีเขียวบนตัวหายไปหมดแล้ว
หลังจากหลงถูและคนอื่นๆ สวมเสื้อผ้าเสร็จ สวี่ชีอันก็รู้สถานการณ์หลังเทพเจ้ากู่ถือกำเนิดจากปากฉุนเยียนที่ออกมาก่อน
เทพเจ้ากู่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้
“ไปทางใต้หรือ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและพึมพำเบาๆ สองสามรอบ ต่อมาก็มองไปยังผู้นำสี่ห้าท่าน
“พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
ฉุนเยียนกล่าวอย่างลังเล
“ทางใต้ของซินเจียงตอนใต้มีแค่มหาสมุทรเวิ้งว้าง พระองค์คงไม่ออกทะเลหรอกนะ”
ป๋าจี้พูดวิเคราะห์
“อาจใช้ทางอ้อมลงใต้ไปยังอวิ๋นโจวแล้วเริ่มกลืนกินดินแดนต้าฟ่งจากที่นั่นอย่างดุร้าย”
ถอดกางเกงเพื่อผายลมเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น…สวี่ชีอันส่ายหน้า
ขณะนี้แม่ย่าแห่งเทียนกู่กล่าวเสียงทุ้ม
“เทพเจ้ากู่ออกทะเลไปแล้ว”
ฝูงชนพากันมองมาทันที เมื่อมองเห็นสีหน้ามั่นใจของแม่ย่าเทียนกู่ หลวนอวี้ก็ใจเต้นขึ้นมา
“แม่ย่า ตอนที่ท่านอยู่ตำหนักกระดิ่งทองในวันนั้น สิ่งที่เห็นคือภาพเทพเจ้ากู่ออกทะเลหรือ”
ผู้คนในห้องนึกถึงเรื่องในวันนั้นทันที แม่ย่าแห่งเทียนกู่บอกว่า ‘พูดไม่ชัดเจนว่าดีหรือร้าย แต่เป็นภัยพิบัติที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง’
อีกอย่างตอนนั้นสีหน้าของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ก็ดูฉงนมาก เหมือนกับไม่อาจอธิบายอนาคตที่นางมองเห็นได้
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้าช้าๆ เพื่อยืนยันคำตอบ
“ไม่ผิด ภาพที่ข้ามองเห็นก็คืออันนี้”
ตอนนี้เทพเจ้ากู่ออกทะเลไปแล้ว อนาคตกลายเป็นอดีตกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด การพูดออกมาในตอนนี้ ไม่ใช่การแพร่งพรายความลับสวรรค์
“เพราะเหตุใด”
หลวนอวี้กล่าวอย่างงงงวย
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลุดพ้นจากผนึกมาได้ ไม่ไปช่วงชิงโชคชะตาทางเหนือแต่กลับออกทะเลหรือ
ฉุนเยียนกล่าวอย่างครุ่นคิด
“ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการช่วงชิงโชคชะตา การกระทำของเทพเจ้ากู่ในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้แค่สองประการ ประการแรกคือโพ้นทะเลมีโชคชะตาที่สามารถช่วงชิงได้ ประการที่สอง โพ้นทะเลมีเรื่องที่สำคัญกว่าการช่วงชิงโชคชะตา”
“โพ้นทะเลไม่มีโชคชะตา!” สวี่ชีอันปฏิเสธในฉับพลัน
“และก็ไม่น่ามีอะไรที่สำคัญไปกว่าโชคชะตา”
ก่อนที่ดาบไท่ผิงจะดูดซับ ‘ประตูแสง’ นั้น หากจะบอกว่าโพ้นทะเลยังมีอะไรที่คุ้มค่าต่อการไปของเทพเจ้ากู่ นั่นจะต้องเป็นประตูแสงอย่างแน่นอน
…
อรัญตา
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ กว่างเสียน และหลิวหลีเงี่ยหูฟังพร้อมกัน ประเดี๋ยวเดียวพวกเขาก็มองหน้ากันเงียบๆ ในแววตามีทั้งความปีติยินดีและเคร่งขรึม
เมื่อครู่พระพุทธเจ้าบอกพวกเขาว่าเทพเจ้ากู่หลุดพ้นจากผนึกและออกไปโพ้นทะเลแล้ว
พระโพธิสัตว์หลิวหลีกล่าวพึมพำ
“พระองค์ไม่ได้หลอกข้า พระองค์ไปโพ้นทะเลจริงๆ เพียงแค่ไม่ยอมบอกสาเหตุกับข้าเท่านั้น”
ที่หุบเหวลึกจี๋เยวียนในวันนั้น ดูเหมือนเทพเจ้ากู่จะมองเห็นอะไรบางอย่างล่วงหน้า หลังจากบอกพระโพธิสัตว์หลิวหลีว่าพระองค์หลุดพ้นจากผนึกแล้วจะไปโพ้นทะเลสักครา หวังว่าพระพุทธเจ้าจะตรึงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนจากที่ราบกลางเอาไว้ได้
ส่วนสาเหตุนั้นเทพเจ้ากู่ไม่ได้บอก
“ว่าอย่างไร ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่” พระโพธิสัตว์หลิวหลีถาม
เจียหลัวซู่ส่ายหน้า
“ต้องให้พระพุทธเจ้าตัดสินด้วยพระองค์เอง”
กล่าวจบทั้งสามก็หลับตาลงอีกครั้งและทำการติดต่อกับพระพุทธเจ้า
“บุกโจมตีที่ราบกลาง…”
น้ำเสียงทรงอานุภาพและน่าเกรงขามของพระพุทธเจ้าดังขึ้นในสมองของพระโพธิสัตว์ทั้งสาม
…
หมายเลขสอง ‘เทพเจ้ากู่ไปที่ใดแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผล’
ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี หลังจากอ่านข้อความที่สวี่ชีอันส่งมาแล้ว จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินก็ถามด้วยความสงสัย
ใครก็ดูออกว่ามันไม่สมเหตุสมผล…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจไปหนึ่งประโยค
หมายเลขหนึ่ง ‘เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไปหาทายาทเทพมาร’
หมายเลขสาม ‘บอกได้แค่ว่ามีความเป็นไปได้’
แม้ในบรรดาทายาทเทพมารจะมีระดับเหนือมนุษย์ไม่น้อย แต่สำหรับเทพเจ้ากู่แล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลย
พระองค์ต้องการกลืนกินที่ราบกลาง ไม่จำเป็นต้องให้ระดับเหนือมนุษย์เหล่านี้คอยช่วยเหลือ เป็นไปไม่ได้ที่จะเสียเวลารวมตัวทายาทเทพมารในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
หมายเลขเก้า ‘เมื่อมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นจะต้องมีปีศาจ หากนึกสาเหตุที่เทพเจ้ากู่กระทำเช่นนี้ไม่ออก ก็ลองคิดถึงสาเหตุที่ทำให้พระองค์สามารถกระทำการเช่นนี้ได้ดู’
คำพูดนี้พูดได้แย่มาก แต่สมาชิกพรรคฟ้าดินนอกจากลี่น่าแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนฉลาด
หมายเลขสี่ ‘ความหมายของท่านนักบวชเต๋าก็คือเทพเจ้ากู่อาจมองเห็นอะไรล่วงหน้าหรือ’
ประการแรก เทพมารตนนี้มีสติปัญญาระดับเหนือมนุษย์ จะต้องไม่ทำเรื่องไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีความหมายลึกซึ้ง
ประการที่สอง สำหรับระดับสุดยอดแล้ว ช่วงชิงโชคชะตาถือเป็นเรื่องสำคัญสุด แต่เทพเจ้ากู่กลับละทิ้งมันไป
เมื่อผนวกสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน แม้จะไม่รู้เป้าหมายของเทพเจ้ากู่ ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าพระองค์รู้อนาคตล่วงหน้าได้ และอนาคตนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ออกทะเล
หมายเลขเจ็ด ‘ไม่ต้องคิดมาก แค่จำไว้ว่าเรื่องที่ศัตรูต้องการทำ พวกเราต้องทำลายอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ศัตรูต้องการทำลาย พวกเราจะต้องรักษาไว้ให้ได้ แค่นี้ก็พอแล้ว’
หลี่หลิงซู่ใช้แนวคิดชีวิตคืนสู่ธรรมชาติของตนเองส่งข้อความเข้าไป
‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ารีบออกทะเลไปสักครา แม้จะสู้เทพเจ้ากู่ไม่ได้ แต่ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ใช่หรือไม่’
ขณะนี้สวี่ชีอันที่ตัวอยู่ซินเจียงตอนใต้กำลังจะตอบกลับ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหยิบหอยสังข์ส่งกระแสจิตออกมา
หอยสังข์อีกตัวอยู่ในมือของเสินซู
“ไต้ซือเสินซูหรือ”
“พระพุทธเจ้ามาแล้ว!”
อีกด้านหนึ่งของหอยสังข์ เสียงทุ้มต่ำของเสินซูดังออกมา
………………………………………
……….