ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 522-2 จื่อเสวียนบนตะเกียงกระจ่าง (2)
บทที่ 522 จื่อเสวียนบนตะเกียงกระจ่าง (2)
ในเสี้ยวพริบตาที่เข้ามาในเขตกำแพงเลือดเนื้อ พลังควบคุมที่นี่ปะทุขึ้นอีกครั้ง กวาดโหมมาสามสี่รอบ แต่ท่อนแขนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเลือดเนื้อเหวอะหวะ บางที่มีกระดูกโผล่ออกมา แต่สุดท้ายก็นับว่าสมบูรณ์ดี ร่วงหล่นอยู่ในชานเรือน สมานตัวอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ฝ่ามือของท่อนแขนก็แบออก สวี่ชิงเดินออกมาจากในนั้น
จ้องมองไปรอบๆ
ในตอนนี้เอง ในวังพญาหงส์ทั้งเก้าที่อยู่ในพื้นที่ที่กำลังสลายและผุพังไปแห่งนี้ วังที่อยู่ตรงกลาง พลันมีประกายแสงสีม่วงแผ่ออกมา
ขณะเดียวกัน แสงประเภทนี้ก็แผ่ออกมาจากในถุงเก็บของของสวี่ชิงเช่นกัน จากนั้นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งก็พุ่งออกมา ลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง
แผ่นหยกแผ่นหยกที่จื่อเสวียนมอบให้สวี่ชิงก่อนจาก แฝงไว้ด้วยพลังปกป้องของนาง
ตอนนี้หลังจากที่ปรากฏขึ้น ประกายแสงพร่างพราย สะท้อนกับแสงกลางวัง
ขณะเดียวกัน เงาร่างรางเลือนร่างหนึ่ง ในแสงสีม่วงที่ฉายมาจากวังก็ปรากฏขึ้นมา ลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองไปที่ไกล
สวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่น
เงาร่างนั้นก็คือจื่อเสวียน!
แต่ตอนนี้อยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ เข้าไปดูใกล้ๆ อีกฝ่ายกับจื่อเสวียนในความทรงจำสวี่ชิง ก็ยังมีจุดที่แตกต่างอยู่บ้าง ไม่ใช่หน้าตา แต่เป็นลักษณะบุคลิกภาพ
เหมือนเงาข้างหน้าจะเย็นชายิ่งกว่า เหมือนว่าไม่มีอารมณ์อยู่ในนั้นสักเท่าไร
สวี่ชิงเงียบนิ่ง นานหลังจากนั้น เขาก็ก้าวเท้าเดินออกไปข้างหน้า
พลังควบคุมทุกอย่างที่นี่เหมือนจะหลีกทางให้เขาจากการเข้าใกล้ ทำให้สวี่ชิงเดินไปถึงข้างหน้าวังพญาหงส์ที่อยู่ตรงกลางได้อย่างราบรื่น ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสูดลมหายใจลึก ยกมือผลักประตูที่ในเวลาเนิ่นนานมานี้ไม่เคยเปิดออก
ประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง โถงตำหนักมืดสนิทสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง
ในตำหนักไม่มีแสงตะเกียง ทุกอย่างที่เห็นล้วนมืดมิด ต่อให้แสงริบหรี่ข้างนอกสาดเข้ามาตามประตูที่เปิดออก ก็ไม่อาจขับไล่ความมืดในโถงใหญ่แห่งนี้ไปได้
สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เมื่อคุ้นชินกับความมืดที่นี่แล้วก็มองเห็นสภาพแวดล้อมในตำหนักแห่งนี้
ทั้งตำหนักใหญ่กว้างขวาง ไม่มีเก้าอี้เลย มีเพียงรูปสลักนั่นตั้งอยู่ตรงกลาง รอบๆ ว่างโล่ง ฉายความเงียบเหงาอ้างว้าง
จินตนาการได้ว่า ในตอนที่ประตูตำหนักปิดลง ที่นี่ไม่ต่างอะไรไปจากกรงขังเลย
มีเพียงรูปสลักนั่นตั้งตระหง่านชั่วนิรันดร์
รูปสลักผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่จื่อเสวียน
แต่หน้าตางดงาม ฉายความอ่อนโยนใจกว้าง เหมือนจะมีอายุแล้วเล็กน้อย และไม่ได้จงใจไปเปลี่ยนแปลงความแก่ชรา จึงเห็นหางตามีรอยย่นที่เหมือนกับหางปลา
สีหน้าของนางอมยิ้ม แฝงด้วยความอ่อนโยน ดวงตาที่เหมือนทำมาจากอัญมณีฉายความเมตตา ทำให้คนเมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจไปตามสัญชาตญาณ
ในมือของนางถือตะเกียงดวงหนึ่งเอาไว้ วางไว้ที่หน้าอก เหมือนว่าเป็นสมบัติของล้ำค่าที่สุด
ตะเกียงดวงนี้พิเศษมาก มันทำมาจากหินสีม่วง ดูเหมือนดอกชงโคบานสะพรั่งดอกหนึ่ง บนนั้นมีพญาหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะอยู่ สยายปีก มีชีวิตชีวาราวมีชีวิตจริง
ในพริบตาที่เห็นตะเกียงดวงนี้ สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ไปเล็กน้อย
นี่เป็นตะเกียงแห่งชีวิตดวงหนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกต้องว่า นี่เป็นตะเกียงสลักที่ทำขึ้นโดยเลียนแบบตะเกียงแห่งชีวิต
สวี่ชิงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในใจกลับมีความคุ้นเคย และต้นตอของความคุ้นเคยมาจากความฝันที่จอมเซียนจื่อเสวียนเคยเล่าให้เขาฟัง
‘ข้าเคยฝัน หลายปีมาแล้ว…ในฝัน โลกทั้งใบมืดสนิท มีตะเกียงดวงหนึ่ง
‘มันมอดดับ ไม่มีแสงไฟ แตะไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ มันเหมือนอยู่ไกลมากๆ แต่กลับอยู่ใกล้มากๆ
‘แต่ข้าจินตนาการได้ว่ามันดูเหมือนดอกชงโคบานสะพรั่ง บนนั้นมีพญาหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะพักอยู่ ปีกกางออกคล้ายจะสยายปีก
‘ตะเกียงดวงนี้ปรากฏขึ้นในความฝันของข้าตลอด ทุกครั้งล้วนดับ ทุกครั้งในโลกใบนั้นล้วนไม่มีแสง’
สวี่ชิงสีหน้าค่อนข้างเหม่อลอย
เขาในอดีตคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝันที่จอมเซียนจื่อเสวียนเล่าเท่านั้น จนเมื่อก่อนหน้านี้อยู่ข้างนอก มองเห็นเงาร่างของนาง จวบจนตอนนี้ มองตะเกียงสลักดวงนี้
ตะเกียงแห่งชีวิตของจริงดวงนี้อยู่ที่ใดสวี่ชิงไม่รู้ บางทีอาจจะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะสูญหายไปในกาลเวลา
‘ทำไมจื่อเสวียนถึงฝันเห็นตะเกียงดวงนี้ แล้วทำไมในแสงสีม่วงข้างนอกถึงได้มีเงาร่างนางปรากฏ…
‘นางกับตะเกียงดวงนี้มีกรรมเวรแบบใดผูกกัน…’
ในตอนที่สวี่ชิงพึมพำในใจ ในตำหนักใหญ่มืดมิดแห่งนี้ เงาร่างของจื่อเสวียนก็ปรากฏขึ้นมาข้างรูปสลักอย่างไร้สุ้มเสียง นางจ้องเพ่งรูปสลัก ในดวงตาฉายแววเคารพเลื่อมใส ยิ่งมีความขมขื่น
จากนั้นก็หันหน้ามามองสวี่ชิง ในดวงตาเย็นเยือกมีระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย อ้าปากเหมือนพูดอะไรบางอย่าง
สวี่ชิงไม่ได้ยิน เขาเห็นเพียงหลังจากจื่อเสวียนกำลังพูดอะไร สีหน้าก็เปลี่ยนไป มีความเศร้าเล็กน้อย ถอยหลังไปไม่หยุด และเงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งก็เดินมาจากข้างหลังสวี่ชิงเข้าไปในตำหนักใหญ่ ทะลุร่างของเขา
ภาพนี้สวี่ชิงสะท้านเฮือก พลันหันไป แล้วหันไปอย่างรวดเร็วมองเงาร่างที่ทะลุผ่านตนทางนี้มาข้างหน้าร่างนั้น
เงาร่างนั้นเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ สวมชุดจักรพรรดิมังกรทองสี่กรงเล็บ สวมกวานจักรพรรดิม่านมุกเก้าสาย ไม่มีพลังใดๆ แผ่ออกมา แต่มองเพียงปราดเดียวก็เหมือนเห็นอำนาจสวรรค์เข้มข้น
เขาหันหลังให้สวี่ชิง ยืนอยู่ข้างหน้าจื่อเสวียน ไม่รู้ว่าพูดอะไร
จื่อเสวียนร้องไห้ เงยหน้าทอดสายตามองไปนอกโลก ในดวงตาแฝงด้วยความอาลัยอาวรณ์และเศร้าเสียใจเข้มข้น และผ่านจากรูม่านตาในดวงตาของนาง สวี่ชิงมองเห็นรางๆ ภาพที่สะท้อนจากในนั้นคือท้องฟ้าที่ทลายลงมาและเสี้ยวหน้าขนาดมหึมาดวงหนึ่ง กำลังลงมาเยือนจากท้องฟ้า
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งที่ตนเห็นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริง
เป็นเหมือนบันทึกภาพเหตุการณ์ในอดีตมากกว่า!
เหมือนก่อนหน้านี้จื่อเสวียนเหมือนมองตน แต่ความจริงแล้วคือมองไปทางทิศที่ตนอยู่
ตอนนี้ในดวงตาสวี่ชิง จื่อเสวียนส่ายหน้าไม่หยุด เอ่ยปากเหมือนตำหนิ แต่จนแล้วจนรอดเงาร่างที่สวมชุดจักรพรรดิร่างนั้นล้วนเงียบนิ่ง เพียงแต่ยื่นมือออกมา เหมือนจะให้จื่อเสวียนจากไปที่นี่กับเขา
ในดวงตาจื่อเสวียนฉายแววเด็ดเดี่ยว ส่ายหน้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มสวมชุดจักรพรรดิคนนั้นเงียบนิ่งไปนาน เอาขวดใบเล็กสีม่วงใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เดินไปอย่างแผ่วเบามาถึงข้างหน้ารูปสลัก เทของเหลวในขวดสามสี่หยดไปในตะเกียงสีม่วงดวงนั้น
ของเหลวนี้โปร่งแสง เหมือนเป็นน้ำมันตะเกียง
ทำทุกอย่างเสร็จ เขาก็วางขวดใบเล็กที่เหลือน้ำมันตะเกียงไม่มากไว้ข้างๆ จากนั้นก็หันหลังไปเงียบๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความเสียใจ ยิ่งมีความเจ็บปวดกลุ่มหนึ่ง
และหน้าตาของเขาตอนนี้สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง คล้ายกับจื่อเสวียนถึงเจ็ดส่วน ทั้งสองคนเหมือนเป็นพี่น้องกัน
เขาก้าวไปทางประตูตำหนัก เดินทะลุผ่านข้างหน้าสวี่ชิงไป เดินจากไปไกลเรื่อยๆ…
จากการหายไป ประตูตำหนักปิดลงช้าๆ
จื่อเสวียนที่อยู่ข้างรูปสลักเงยหน้า สีหน้าเศร้าสร้อย พิงรูปสลักนั่งย่อตัวอยู่ตรงนั้น ทั้งตำหนักใหญ่ค่อยๆ ตกอยู่ในความมืดมิด
แสงจากตะเกียงสลักบนรูปสลัก ต่อให้มีน้ำมันตะเกียง แต่ในความมืดมิดนี้ สุดท้ายก็ค่อยๆ อับแสง จวบจนหายไปโดยสมบูรณ์
ความเย็นยะเยือกมาเยือน
ความมืดเข้าแทนที่ทุกสิ่ง มีเพียงเสียงทอดถอนใจที่ดังก้องมา ดังอยู่นานไม่สลายไป
จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา ความมืดผืนนี้จู่ๆ ก็หายไป แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วง หลังจากชะงักอยู่กลางอากาศ ก็ตลบม้วนไปยังชานเรือนกำแพงเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว
และจากการหายไปของแสงสีม่วง ความเย็นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างข้างหน้าสวี่ชิงฟื้นฟูสู่ปกติ
นายกองอยู่ข้างๆ สวี่ชิง ลมหายใจหอบถี่ เอ่ยอย่างตื่นตกใจ
“ศิษย์น้องเล็ก นี่ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ตอนนั้นเป็นใคร ควบคุมข้าเหลือเกิน โดยเฉพาะแสงสีม่วงเมื่อครู่นี้…”
ขณะเดียวกัน นอกกำแพงเลือดเนื้อ เจ้าเงาม้วนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับมาก็ตัวสั่นงันงกใต้เท้าสวี่ชิง ส่งคลื่นอารมณ์น้อยอกน้อยใจและหวาดกลัวมา
“กลัว…เข้าไปไม่…ได้”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว จ้องเพ่งเรือนใหญ่กำแพงเลือดเนื้อที่อยู่ไกลๆ พลันเอ่ยขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างคุ้น แล้วก็เมื่อครู่ท่านได้ยินหรือไม่”
“คุ้นหรือ ได้ยินอะไร” นายกองอึ้งตะลึง
“ในแสงสีม่วงกลุ่มนั้นเหมือนจะมีเสียงถอนหายใจ” สวี่ชิงพูดอย่างเคร่งขรึม
นายกองหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะอ้าปาก แต่ตอนนี้ ห่างไปห้าร้อยลี้ที่เขตปลอดภัยที่กองทัพเผ่ามนุษย์บุกเบิกเอาไว้ ที่นั่นพลันมีเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังมา
ระยะห่างค่อนข้างไกล ไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจน แค่สัมผัสได้รางๆ ถึงระลอกคลื่นบนพื้น ในขณะเดียวกัน กระบี่อาญาสิทธิ์ของพวกเขาก็มีประกาศดังมา
“ผู้มาเยือนกลุ่มที่สามมาถึงแล้ว นอกจากนี้ตามรับสั่งขององค์ชายเจ็ด แจ้งคนที่มาถึงที่นี่กลุ่มแรก ในเจ็ดวันนี้พวกเจ้าทุ่มเทเพื่อแผนการแดนต้องห้ามเซียนไปมากแล้ว และจากนี้ที่นี่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้มาเยือนกลุ่มแรกสามารถจากไปได้ภายในสามชั่วยามหลังจากนี้ ส่วนผู้มาเยือนกลุ่มที่สอง ต้องรอให้ครบเจ็ดวันจึงจะจากไปได้ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
สวี่ชิงและนายกองหลังจากที่ตรวจดูกระบี่อาญาสิทธิ์ก็มองหน้ากัน พวกเขาย่อมไม่มีทางจากไปแบบนี้ จึงเก็บกระบี่อาญาสิทธิ์ลงไป นั่งย่อตัวไปในท่อนแขนขาด มองไปทางกำแพงเลือดเนื้อต่อ
นายกองกำลังจะอ้าปากถามสวี่ชิงถึงเสียงถอนหายใจที่พูด แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป เขาจู่ๆ เขาก็ตะลึงงัน พลันหันไปมองสวี่ชิง
สวี่ชิงก็รู้ตัวแล้วเหมือนกัน มองนายกองทันที
“กลุ่มที่สามมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”
“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้กลุ่มที่สองเพิ่งมาถึง…”
ทั้งสองรูม่านตาหดเล็ก หยิบกระบี่อาญาสิทธิ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตรวจอ่านเนื้อหาเมื่อครู่ สุดท้ายบนตัวอักษรคำว่าเจ็ดวันสองตัวอักษรนี้ ในใจเกิดคลื่นลูกยักษ์
“เจ็ดวันหรือ” นายกองหรี่ตา
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราเข้าใกล้ที่นี่เป็นวันที่สี่ เป็นวันที่กลุ่มที่สองมาเยือน” สวี่ชิงเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
“และในการรับรู้ของพวกเรา เวลาเพิ่งผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป แต่ดูจากกระบี่อาญาสิทธิ์ เวลากลับผ่านไปแล้วสามวัน!”
นายกองดวงตาฉายประกายเย็นเยือก
“สามวันนี้พวกเราไปทำอะไรกันมา”
สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ มองกำแพงเลือดเนื้อข้างหน้าและวังพญาหงส์เก้าวังข้างหน้า เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าตัวเองเหมือนจะลืมอะไร และความรู้สึกคุ้นเคยในพื้นที่บริเวณนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม
ประสบการณ์คล้ายๆ กัน เขาเคยมีมาก่อนตอนเขตติงหนึ่งสามสอง แต่ก็เหมือนจะมีจุดที่แตกต่างจากที่นี่
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็รีบโคจรพลังวังสวรรค์ติงหนึ่งสามสองปกคลุมมาทั่วร่าง
นายกองสีหน้าเคร่งเครียดไปเช่นกัน ในดวงตามีใบหน้าปรากฏ ร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเยือก มองไปที่กำแพงเลือดเนื้อด้วยกันกับนายกอง
ทั้งสองคนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ต่อ แต่เลือกที่จะถอย
และจากการถอยหลังไปของพวกเขา วังพญาหงส์เก้าวังในกำแพงเลือดเนื้อ เริ่มผุพังและสลาย ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงและนายกองฝีเท้าหยุดชะงัก
การผุพังและการสลายก็ชะงักไปเช่นกัน
ในดวงตาของพวกเขาฉายประกายเย็นเยือก ก้าวขึ้นไปข้างหน้าสามสี่ก้าวการผุพังของวังหมุนย้อน แต่เมื่อถอยต่อไป วังก็ผุพังต่อไป
จวบจนเมื่อถอยออกไปพันจั้ง วังพญาหงส์เก้าวังในกำแพงเลือดเนื้อแห่งนั้น ก็ผุพังและสลายไปในห้วงเวลา มีเพียงวังที่อยู่ใจกลางวังนั้นที่ยังเหลือรูปสลักผุผัง
เสียหายหนักมาก มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง มองไม่เห็นแขน เป็นเพียงรูปสลักผุพังเท่านั้น
ข้างๆ มีขวดใบเล็กสีม่วงใบหนึ่ง ในที่รกร้างแห่งนี้ เด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง