ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 462 แปลงเป็นเทพ
บทที่ 462 แปลงเป็นเทพ
……….
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังไปทั่วทุกสารทิศ
สวี่ชิงกระอักเลือดออกมา สีหน้าย่ำแย่ ร่างถอยหลัง
ถอยแล้วถอยอีก!
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแก้พิษของเขาได้ อาจจะพูดว่าแก้ไม่ได้ แต่เป็นชะลอ หากร่วมกับการฟื้นคืนชีพไม่สิ้นสุด ระดับการชะลอก็จะขยายผลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แต่สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าพิษของตน…ยังอยู่!
ต่อให้ในยามอีกฝ่ายที่ย้อนเวลาฟื้นคืนชีพก็ยังคงอยู่ซึมอยู่ในไขกระดูกในกระดูก นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของลูกกลอนพิษต้องห้ามของเขา
เพียงแต่หลังจากชะลอ แม้พิษจะน่ากลัวแต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สวี่ชิงรู้ว่าตัวว่าอาจจะไม่มีโอกาสรอให้พิษออกฤทธิ์
โดยเฉพาะศพทั้งเก้าล้วนเป็นอมตะ การโจมตีของสวี่ชิงโจมตีไปที่ร่างของพวกมันก็ไม่เกิดผลเลยแม้แต่น้อย คล้ายว่าวิญญาณเหล่านั้นบนร่างของพวกมันแบกรับทุกอย่างแทน
นี่ก็คือวิธีชะลอวิถีพิษของฉู่เทียนฉวิน
เขาย้ายพิษในร่างของตนไปที่ศพทั้งเก้า แล้วย้ายไปในวิญญาณนับไม่ถ้วนอีกที
และวิญญาณที่นับไม่ถ้วนเหล่านั้น แม้พวกมันจะร้องคร่ำครวญโหยหวน แม้จะร้องไห้ แต่มันทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนว่ายินยอมพร้อมใจ
เหมือนว่าฉู่เทียนฉวินเป็นที่ยึดมั่นของพวกมัน เป็นเทพเจ้าของพวกมัน!
นี่ความจริงแล้วก็คือหนึ่งในพลังของเทพเจ้า!
เช่นนี้แล้วก็ทำให้ศพทั้งเก้านั้นเป็นอมตะ และระลอกคลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดขั้นต้นที่แผ่ออกมาจากทั้งร่างของพวกมัน ร่างหนึ่งยังพอไหว เก้าร่างรวมกัน สำหรับสวี่ชิงแล้วนี่แฝงไว้ซึ่งอันตรายอันถึงแก่ชีวิต
เห็นว่ายิ่งอันตราย ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก เขายังมีไพ่ตายอีกสองใบที่ยังไม่ได้ใช้ แต่ไพ่สองใบนี้ล้วนแต่ปะทุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในครั้งแรก โดยเฉพาะเขาจักรพรรดิภูต นั่นมีโอกาสปรากฏออกมาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
‘ประเด็นที่สำคัญคือวิญญาณ วิญญาณเหล่านี้สะกดไปก็ไร้ประโยชน์ หากไม่ทำลาย ก็ต้อง…กำราบให้ศิโรราบ!’
คิดถึงตรงนี้ ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว พลันยกมือขวาขึ้น เพียงพริบตาเคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาก็โคจรขึ้น มือขวาเปลี่ยนมาเป็นกึ่งโปร่งแสงทันที และทะลวงทะลุหน้าอกของตัวเองเต็มแรง
มือเย็นเยียบทะลุร่างเข้าไปในทะเลความรู้สึก พุ่งไปในวังสวรรค์ที่สี่ แล้วคว้า…พระจันทร์สีม่วงในนั้น!
ใช้พลังพระจันทร์สีม่วง ใช้วังสวรรค์กระตุ้น เหมือนลูกม้าลากรถคันใหญ่ วัตถุนี้แม้จะมีจุดกำเนิดเดียวกับสวี่ชิง แต่พลังแท้จริงของเขามีจำกัด ยากจะดึงศักยภาพสูงสุดของมันออกมา
วิธีที่จะดึงศักยภาพมีเพียงใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา เอามันออกมาใช้โดยตรง
ตอนนี้จากการที่สวี่ชิงคว้าพระจันทร์สีม่วงเอาไว้ หน้าผากของเขาเส้นเลือดขึ้นปูดโปน ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง แต่กลับไม่อาจทำให้เขาขมวดคิ้วได้เลยแม้แต่น้อย ดวงตายังคงสงบนิ่ง แฝงด้วยจิตสังหาร แล้วกระชากมันออกมา
ทันใดนั้นวังสวรรค์วังที่สี่สั่นสะท้าน พระจันทร์สีม่วงถูกมือขวาของสวี่ชิงดึงออกมาชูขึ้นสูง
เพียงพริบตา แสงสีม่วงท่วมท้นก็ปะทุมาจากง่ามนิ้วมือขวาที่ยกขึ้นของสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นทะเลแสงสีม่วงกว้างใหญ่ไพศาล แผ่ไปรอบด้านอย่างไร้ขอบเขต
ทุกที่ที่พาดผ่าน ฟ้าดินกลายเป็นสีม่วง เหมือนพื้นที่แห่งนี้แบ่งแยกกับโลก ตัดขาดกับมิติ กลายเป็น…แผ่นดินเทวะในขอบเขตเขตหนึ่ง
ในดินแดนเทพ แสงสีม่วงคือพลังเทพ พระจันทร์สีม่วงที่เป็นต้นกำเนิดพลังของมันก็คือเทพเจ้า!
เสี้ยวขณะต่อมา จากการปะทุของของแสงสีม่วง ร่างต้นของฉู่เทียนฉวินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ในใจยิ่งเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร้องตกใจเสียงหลง
“อำนาจเทพเจ้า!
“เป็นไปไม่ได้!!”
ในขณะที่เขาพูด คนทั้งคนก็กระอักเลือดสดๆ สีทองออกมาคำโต ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาเลือดไหลอาบ ดวงตาคล้ายว่าจะบอดไปข้างหนึ่ง ขณะที่ร่างสั่นสะท้านรุนแรงมือทั้งสองก็ยกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ จะปิดตาหมอบคารวะ
ขณะเดียวกัน ร่างของเขาในตอนนี้ก็บิดเบี้ยว เลือดเนื้อทั้งหมดคล้ายว่าเกิดความคิดของตัวเอง จะแยกออกไปจากร่าง แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นร่างทดสอบเทพเจ้า พลังเทพของตนทำการสะกดควบคุมอย่างรุนแรงในเสี้ยวขณะนี้ พยายามให้ร่างรักษาสมดุล
เขาเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศพพิบัติพวกนั้นของเขาเลย
ดวงตาของศพเหล่านี้บอดทั้งหมด ร่างขณะที่สั่นเทาก็ต่างคุกเข่าหมอบคารวะ ปากส่งเสียงโหยหวนน่าเวทนา ไอพลังประหลาดในกายเข้มข้นขึ้นสูงสุดขีด มีเค้าลางว่าจะเกิดการกลายพันธุ์
ส่วนวิญญาณเผ่ามนุษย์เหล่านั้นในร่างของพวกมันก็ถูกโจมตีไม่ส่งเสียงร้องครวญคราง ไม่ร้องไห้อีกต่อไป สีหน้าของพวกมันฉายความภักดีอย่างไม่เคยมีมาก่อน แฝงไว้ด้วยความคลั่งไคล้ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นยึดมั่น
หลุดออกไปจากร่างศพทีละดวงๆ ลอยมายังพระจันทร์สีม่วงที่มือขวาสวี่ชิง
เพียงพริบตา วิญญาณเหล่านี้ก็ลอยเข้าไปในพระจันทร์สีม่วง และเมื่อไม่มีการค้ำยันจากวิญญาณ ศพทั้งเก้าท่ามกลางการสั่นสะท้านก็เกิดสัญญาณแตกสลาย
ทางฉู่เทียนฉวินทางนั้นไม่อาจชะลอพลังลูกกลอนพิษต้องห้ามได้อีกต่อไป พิษทั่วทั้งร่างปะทุขึ้นมาทันที เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสวี่ชิงจิตสังหารกะพริบวาบ กำลังจะลงมือต่อ แต่เสี้ยวขณะต่อมา จากการที่เกิดระลอกคลื่นบนท้องฟ้า ในใจของเขาเกิดความรู้สึกวิกฤตอันตรายอย่างแสนสาหัสขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ความรู้สึกอันตรายประเภทนี้เหนือกว่าประสาทสัมผัสรับรู้ทุกอย่าง อกสั่นขวัญแขวนประหวั่นพรั่นพรึง แฝงด้วยความอัปมงคล คล้ายว่าเป็นอันตรายร้ายแรง
สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลทันที
อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์บนท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้ก็ส่งเสียงร้อนรนหวีดแหลมโหยหวนออกมา
ท่ามกลางความเรือนรางคล้ายว่ามีตัวตนที่ไม่อาจพรรณาได้ กำลังอยู่ในจุดที่ไม่ทราบได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของพระจันทร์สีม่วง คล้ายว่าจะตื่นขึ้น คล้ายว่ากำลังตามหา
สีของท้องฟ้าเสี้ยวขณะนี้ก็เกิดเป็นสีแดงชาดขึ้นมารางๆ
ในสมองสวี่ชิงมีพระจันทร์สีแดงและรูปสลักเทวรูปที่น่ากลัวองค์นั้นผุดขึ้นมาทันที และยังมีเสียงลมหายใจที่ได้ยินบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ความจริงนี่ก็คือสิ่งที่สวี่ชิงกังวลมากที่สุด เขารู้ว่าพระจันทร์สีม่วงมีที่มาที่ไปอย่างไร
ตอนนี้เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้องของอสูรสมุทรบรรพกาลลมรรคาสวรรค์ ก็เก็บพระจันทร์สีม่วงที่ยกขึ้นสูงไปในวังสวรรค์ในกายทันที ลูกกลอนพิษต้องห้ามก็เก็บกลับมาเป็นส่วนใหญ่ ร่วมกับพลังเทพที่อยู่ในนั้น ทำการปกปิดสุดกำลัง
ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ ก็พุ่งตรงไปยังฉู่เทียนฉวินด้วยความเร็วที่น่าตื่นตะลึง ประชิดไปในพริบตา กริชปรากฏขึ้นในมือขวาปาดคอของฉู่เทียนฉวินที่ตัวสั่นเทายังไม่ฟื้นฟูกลับมาไปอีกครั้ง!
แต่เสี้ยวขณะต่อมา แสงสีทองทางหนึ่งปะทุออกมาจากผิวของฉู่เทียนฉวิน แสงเจิดจ้าบาดตาขวางกริชสวี่ชิงเอาไว้ ก่อเป็นการต้านทานและแรงสะท้อน สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม เลือดไหลย้อย ร่างถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
เสี้ยวพริบตาที่เขาหนี ฉู่เทียนฉวินที่อยู่ภายใต้แสงทองเน่าเปื่อยจนไม่เหลือก็พลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หลังจากมองสวี่ชิงด้วยความหมายล้ำลึกแวบหนึ่ง ก็เงยหน้าแล้วซัดฝ่ามือหนึ่งไปยังหว่างคิ้วของตัวเอง
เสียงบึ้มดังขึ้น หัวของเขาระเบิด มอดม้วยในทันที
สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ ร่างนอกจากถอยต่อไป ก็เงยหน้ามองไปทางท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ประกายแสงสีแดงเรื่อบนท้องฟ้าหายไปแล้ว เสียงร้อนรนของอสูรสมุทรบรรพการมรรคาสวรรค์เงียบไปแล้ว นี่ทำให้สวี่ชิงโล่งอก รู้ว่าพลังลูกกลอนพิษต้องห้ามของตนปกปิดกลิ่นอายของพระจันทร์สีม่วงสำเร็จ
ดังนั้นจากการไหววูบก็ทะยานขึ้นมาบนท้องฟ้า มือทั้งสองออกแรงฉีก ก็ฝืนฉีกพันธนาการที่นี่ออก
แม้พลานุภาพพันธนาการที่นี่จะน่าครั่นคร้าม แต่ตำแหน่งอสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์สูงกว่า ตอนนี้จึงทำลายมันไปได้กว่าครึ่งแล้ว
แต่ความจริงในใจสวี่ชิงนั้นไม่พอใจ เขารู้สึกว่าอสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ควรจะไม่ธรรมดามากๆ ถึงจะถูก ทำไมตอนนี้แค่ฝ่าพันธนาการถึงได้ช้าขนาดนี้
ต่อให้พันธนาการนี้ฉู่เทียนฉวินเตรียมอย่างสุดกำลัง แฝงไว้ด้วยพลังเทพของเขา
แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี
อสูรสมุทรบรรพกาลน้อยใจนัก
สวี่ชิงไม่สนใจ ลงมือสุดกำลังฉีกพันธนาการเป็นรอยแยกทางหนึ่ง กำลังจะส่งข้าม แต่เมื่อสายตามองผ่านรอยแยกไป จิตใจของเขาก็หนักอึ้ง การเคลื่อนไหวหยุดชะงักไปทันที
โลกภายนอก…ไม่ใช่ทะเลทรายเหมือนกับที่นี่!
นอกพันธนาการกลับเป็นโลกที่หมอกลอยอวลใบหนึ่ง
อสูรสมุทรบรรพกาลที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงคล้ายว่าอธิบาย คล้ายว่าบอกกับสวี่ชิงว่าที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของมัน
สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก
“เจ้าฉีกมันขาดได้จริงๆ ด้วย แต่น่าเสียดาย…ข้าทำการป้องกันเล็กน้อยเอาไว้ตั้งนานแล้ว เจ้ายังคิดจริงๆ หรือว่าที่นี่ยังเป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
“ที่นี่คือโลกควันคลุ้งที่เผ่าควันขจรหลอมจนสมบูรณ์และควบคุมเอาไว้ ไม่ใช่โลกใบเล็ก แต่เป็นเศษชิ้นส่วนหลงเหลือที่เทียบเคียงได้กับเศษชิ้นส่วนโลกบรรพกาลของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่แตกสลาย
“นี่คือของวิเศษล้ำค่าที่เหนือกว่าของวิเศษเวทต้องห้าม!
“ข้าใช้เลือดเทพร้อยหยดและมาซึ่งโอกาสในการเปิดหนึ่งครั้ง อยากจะออกไป ไม่ใช่ข้าตายก็เป็นเจ้าตาย วันนี้เจ้าและข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดออกไปได้”
บนพื้น จากเวลาที่หมุนย้อนกลับ เงาร่างของฉู่เทียนฉวินปรากฏออกมาอีกครั้ง ฟื้นฟูเช่นดังเดิม เพียงแต่บนให้หน้าบางส่วนต่อให้ฟื้นคืนชีพ ก็ยังอยู่ในสภาพเน่าเฟะ
ยิ่งมีบางส่วนที่ฉายแสงสีม่วงออกมา
นั่นเกิดจากพลังเทพของสวี่ชิง ต่อให้เขาฟื้นคืนชีพก็ไม่อาจลบล้างไปได้
ดังนั้น ฉู่เทียนฉวินฟื้นคืนชีพครั้งนี้จึงดูแล้วเหี้ยมเกรียมยิ่งนัก
สวี่ชิงยืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองไปทางฉู่เทียนฉวิน
“เช่นนั้นก็ฆ่าเจ้า!”
สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตรงไปยังฉู่เทียนฉวิน
“ฆ่าข้ารึ” ฉู่เทียนฉวินหัวเราะเหี้ยมเกรียม นั่งขัดสมาธิสองมือประสานปางมือ ทันใดนั้นแสงสีทองปรากฏรอบๆ ในขณะที่ปกคลุมร่างของตัวเอง แสงสีทองในดวงตาของเขาก็พลันปะทุขึ้น ทั่วทั้งร่างเสี้ยวขณะนี้กลายเป็นสีทองทั้งหมด
แม้แต่ผมก็เช่นกัน
ความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นพลันปะทุมาจากร่างของเขา สีหน้าไม่เหี้ยมเกรียมอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเฉยชา เหมือนระดับขั้นชีวิตยกระดับในเสี้ยวพริบตา ทำให้อารมณ์ทุกอย่างในใจของเขาล้วนเป็นส่วนเกิน
ท่ามกลางความเฉยชานี้ เขาหลับตาลง เมินสวี่ชิงที่พุ่งมา ปากส่งเสียงพึมพำประดุจท่องมนต์
“วัฏจักรปรโลกหนทางมืดมิดไร้แสงจันทร์ ปรโลกเหนือนำเทพเจ้ายุคต้น จวบจนเมื่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มืดเกิดความหวัง…”
เมื่อเสียงนี้ดังออกมา โลกที่ถูกพันธนาการใบนี้ก็สั่นไหวทันที สั่นคลอนอย่างรุนแรง
ไม่ใช่บทสวด แต่เป็นคำรำพันแห่งเทพเจ้า!
ตัวฉู่เทียนฉวินเป็นร่างทดสอบเทพเจ้า เขาจึงนำเสียงรำพึงที่ตัวเองได้ยิน ใช้พลังเทพจำลองของตัวเองผสานไปในโลก
ทั้งแปดทิศบิดเบี้ยว รางเลือนไปทั่ว ทั้งเขตพื้นที่มีไอพลังประหลาดมหาศาลพวยพุ่งขึ้นทันที โจมตีทุกสิ่ง แปรสภาพทุกอย่าง กระทั่งว่ารอบๆ มีเงาอสูรปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน ร่างได้รับผลกระทบไปเช่นกัน เกิดไอพลังประหลาดที่ไม่ใช่ของเขา
“ความมืดเลือนลับแสงสว่างลอยเด่น พลังกุศลล้ำสยบยั้งอำนาจปราสาทราชวัง…”
ร่างสวี่ชิงส่งเสียงดังบึ้ม ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ดวงตาแดงก่ำ เงยหน้าจ้องฉู่เทียนฉวินที่กำลังรำพึงรำพัน เงาร่างของอีกฝ่ายรางเลือนจากในครรลองสายตาของเขา ถูกซ้อนทับด้วยภาพนับไม่ถ้วน ท่ามกลางความรางเลือนคล้ายว่ามีรูปลักษณ์ของเทพเจ้าที่ไม่อาจจ้องมองตรงได้กำลังก่อเค้าปรากฏออกมา
ในสมองของเขาในเสี้ยวขณะนี้ปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง ลมหายใจถี่กระชั้น ร่างควบคุมไม่ได้เล็กน้อย เสียงของอีกฝ่ายคล้ายว่าเปลี่ยนเป็นวัตถุจริง อยู่ในทะเลความรู้สึก ในจิตใจ ในพลังเวท ในเลือดเนื้อ อยู่ในทั่วทุกที่ของเขา
ความเจ็บปวดปานถูกฉีกทึ้งแผ่ไปทั่วทั้งร่าง
ภาพฉากที่เคยเห็นดวงตาเทพเจ้าในอุโมงค์ภูตใต้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะปรากฏขึ้นอีกครั้ง