ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 399 กองโจรหมาป่า
บทที่ 399 กองโจรหมาป่า
ผลัก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเฉียงถึงกับต้องยืนขึ้นในทันทีพร้อมใบหน้าที่ดุร้าย
แต่เดิมเขานั้นคิดว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพียงพิษร้ายที่จ้องทำลายโลกของเขาเพียงเท่านั้น เพราะบนโลกใบนี้มันสงบสุขเกินกว่าที่เขาคิดอย่างมากมาย
แต่นึกไม่ถึงว่า ขุมพลังแห่งโลกปีศาจนั้น ไม่เพียงจะทำตัวสูงส่ง แต่ยังทำตัวที่เลวร้ายอย่างสุดขั้วอยู่อีก
ในสายตาของผู้คนบนโลกปีศาจนั้น วิหารศักดิ์สิทธิ์คือตัวตนที่สูงล้ำ
แต่ใครจะไปคิดว่าที่นั่น จะมีองค์กรสาขาที่ทำเรื่องต่ำตมสุดขีด แม้แต่พรากชีวิตมนุษย์บนโลกนี้ด้วยกันเองอย่างกองโจรหมาป่าอยู่
“ผู้อาวุโสสูงสุด ทำไมไอ้พวกกองโจรหมาป่าที่ท่านกล่าวถึงนั่นมันต้องทำอย่างนั้นด้วย”
“พวกมันไม่กลัวเลยรึไงว่าผู้คนบนโลกนี้จะรู้ความจริงเกี่ยวกับพวกมัน”
“ไม่ใช่ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเทพพิทักษ์แห่งโลกปีศาจนี่หรอกเหรอ”
“เทพพิทักษ์เรอะ…..ฮ่าฮ่าฮ่า” หลิวฉิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น จนแม้แต่ห้องที่มีการกั้นเสียงเอาไว้ก็ยังกั้นไว้ไม่อยู่
“เมื่อตอนที่พวกข้าทั้งห้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองโจรหมาป่าแล้วต้องทำเรื่องพวกนั้นในแต่ละครั้งน่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกข้ารู้สึกยังไง”
“ก่อนที่พวกข้าจะเข้าไป พวกข้าทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติแห่งชีวิตและจิตวิญญาณที่ได้เข้าร่วมกับพวกมัน”
“แต่เมื่อพวกข้าได้เหยียบย่างเข้าไปแล้วเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันนั้น พวกข้ารู้สึกเสียใจกับความคิดรู้สึกเป็นเกียรติก่อนหน้าอย่างที่สุด เพราะพวกข้านั้นต้องทำแม้แต่การจับคนธรรมดาที่ควรจะปกป้องให้มาพบกับนรกอเวจี”
“มันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของพวกข้านั้นมันยากจะรับได้จนทำให้เกือบที่จะเสียความเป็นคนไป”
“และเมื่อรู้ตัว พวกข้าทั้งห้าคนได้ถอนตัวจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ในทันที”
“อย่างไรก็ตาม วิหารศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้ในการเข้าไป เจ้าอาจจะมองว่ามันยากเย็นแล้ว แต่การจะออกมานั้นแสนเข็ญยิ่งกว่า”
“โดยเฉพาะกับพวกข้าทั้งห้าคนที่ได้เข้าไปเป็นถึงคนของกองโจรหมาป่า ซึ่งเป็นสิ่งสุดพิเศษที่หากพวกข้าพูดเรื่องของพวกมันออกไปแล้วจะทำให้พวกมันเปลี่ยนเป็นวิหารมารได้ในทันที มีหรือที่พวกมันจะปล่อยพวกข้าไปได้โดยง่าย”
“ในทันทีที่พวกข้าออกจากเขาโรคานั้น พวกข้ากับถูกพบเจอกับไอ้พวกลาดตระเวน”
“และเพื่อให้มีโอกาสหลุดรอด พวกข้าทั้งห้าจึงได้แยกย้ายกันหลบหนี”
“นึกไม่ถึงว่าไอ้คนลาดตระเวนที่ไล่ล่าพวกข้าอยู่นั้นเป็นถึงมหาราชา แค่พวกมันจับตัวได้ พวกมันก็ฆ่าพวกข้าได้โดยไม่ต้องไต่ถาม”
“หลังจากหลบหนีหลบซ่อนอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่สองสามปี ในที่สุดข้าก็ได้ยินมาว่านอกจากข้าแล้วไม่หลงเหลือผู้ใดอีก”
“และเพื่อให้อยู่รอด หลังจากนั้นอีกสองสามปี ข้าก็เปลี่ยนรูปลักษณ์และชื่อแซ่ไปอีกหลายหน จนในที่สุดก็ปักหลักได้ที่เมืองเฉินหลิวแห่งนี้”
“หลังจากที่ผ่านไปอีกสามสิบปี ไอ้แก่ผู้นี้ก็คิดว่าจะไม่ต้องเกี่ยวกับไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว”
“ใครจะไปคิดว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน พวกมันจะเหยียบย่างมาที่นี่ และทำสิ่งที่ข้าเกินกว่าจะรับได้อีก”
“เฉินเฉียง ไอ้แก่คนนี้บอกเจ้าไว้เลยว่าตราบใดที่พวกมันยังคงอยู่ ไอ้แก่ผู้นี้จะหนทางแก้แค้นล้างอายในสิ่งพวกมันได้กระทำกับข้า”
“แต่เดิม ไอ้แก่ผู้นี้ก็คิดจะหลบซ่อนตัวอย่างสงบและอยู่ให้ไกลจากพวกมัน พี่น้องของข้าทั้งหมดได้ตกตายโดยพวกมัน และหลานชายเพียงคนเดียวของข้าก็ยังถูกพวกมันข้าตายต่อหน้าต่อตาไปอีกคน”
“ไอ้แก่ผู้นี้ต่อให้ต้องตายก็ไม่สนใจแล้ว”
เมื่อได้ยินมาถึงตอนนี้ เฉินเฉียงไม่รู้สึกสำนึกเสียใจในการตายของหลิวฉางเชิงไปแต่อย่างใด หากจะให้พูดกันตามตรงแล้ว เป็นเขาด้วยซ้ำที่เป็นต้นเหตุให้หลิวฉางเชิงต้องตายไป และเป็นต้นเหตุให้หลิวฉิงหยุนต้องถูกเหยียบย่ำโดยเหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าผู้คนแบบนี้
แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกสงสัยว่า ชายแก่คนนี้จะเอาเรื่องนี้มาพูดกับเขาทำไม
กับเรื่องนี้ มันควรจะเป็นสิ่งที่หลิวฉิงหยุนต้องเก็บงำเอาไว้ในใจไปตลอดกาลไม่ใช่รึไงกัน
“ผู้อาวุโสสูงสุด ในเมื่อท่านเองก็หลุดรอดจากเงื้อมมือของวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว แล้วท่านทำไมถึงมาบอกเล่ากับข้าอีกกัน ท่านไม่กลัวว่าข้าจะนำเรื่องของท่านไปหาประโยชน์ใส่ตัวงั้นรึ”
หลิวฉิงหยุนส่ายหัวไปมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่ทำหรอก”
หลังจากนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง หลิวฉิงหยุนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เฉินเฉียง ข้าสังเกตเจ้ามาได้พักใหญ่แล้ว”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าเองคงไม่ใช่คนจากเมืองเฉินหลิวแห่งนี้”
“และด้วยเหตุนี้ ทั้งเจ้าและคุณหนูของเจ้าจึงมีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ผิดแผกจากศิษย์ทั่วไป”
“นี่หมายความว่าตระกูลของพวกเจ้าเองก็น่าจะเป็นตระกูลที่สูงส่งอยู่เหมือนกัน”
“ด้วยความสามารถที่เลิศล้ำของเจ้า รวมถึงตระกูลที่เจ้าสังกัด ข้าเชื่อว่าพวกจ้าสมควรจะไม่มีปัญหา ต่อให้พวกเจ้าได้เข้าไปยังสำนักในภาคกลางเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้าก็ยังเลือกมายังสำนักที่ไม่มีสิ่งใดเลยเช่นสำนักเต๋าใต้บาดาลแบบนี้”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะเข้ามาที่นี่ แต่ข้าก็ไม่สนเรื่องนั้นแต่อย่างใด”
“ใครบ้างที่จะไม่มีความลับอยู่กับตัวกันล่ะ”
“แต่อย่างน้อยๆ ไอ้แก่ผู้นี้ก็รู้เช่นเห็นชาติได้ว่าการที่เจ้าหมายจะเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าหรือแม้แต่การเหยียบย่างเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้น ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน”
“ในเมื่อผอ.ฉียอมมอบตำแหน่งยอมยกตำแหน่งศิษย์คัดเลือกให้เจ้า การเข้าไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด”
“ตัวข้านั้นคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้ายังไม่รับรู้เรื่องของไอ้พวกนั้น ข้าจึงเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเอาไว้ก่อน”
“ข้าหวังเพียงว่าเจ้านั้นจะระวังตัวและเตรียมตัวไว้ให้ดีก่อนที่จะเข้าไปยังที่นั่น หากเป็นไปได้ เจ้าควรจะเลือกทางที่ดีกว่าในการเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือการถูกคัดเลือกโดยตรง”
“ถึงแม้มันจะฟังดูเป็นวิธีการที่ยากกว่าสำหรับเจ้าก็ตาม”
“โดยทั่วไปแล้ว คนที่ถูกวิหารศักดิ์สิทธิ์คัดเลือกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต”
“และในวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้จะมีสถานะที่สูงล้ำ ยามที่ได้อยู่ที่นั่น”
“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต คือคนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ต้องการตัวมากที่สุด”
เฉินเฉียงขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ผู้อาวุโสสูงสุด จนมาถึงตอนนี้ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะว่าท่านนั้นบอกเรื่องราวพวกนี้กับข้าทำไมกัน”
“ต่อให้ท่านเห็นข้าว่าเป็นผู้ที่มีทักษะเหนือมนุษย์มนา และอยากจะรับข้าเป็นศิษย์นักหนา แต่นั่นก็สมควรจะไม่ใช่เหตุผลที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ข้าได้รับรู้ไว้ไม่ใช่รึไงกัน”
บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอาหารให้กินฟรีๆ ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด เฉินเฉียงก็ไม่เชื่อว่าหลิวฉิงหยุนจะบอกเล่าความลับของตนให้เขาได้รับฟังเพียงเพราะต้องการให้เขาเป็นศิษย์ของหลิวฉิงหยุนเพียงเท่านั้น
มันต้องมีเรื่องอื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน
หลิวฉิงหยุนพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
การพูดคุยกับคนฉลาดเฉลียวย่อมไม่ต้องเหนื่อยในการพูดคุย
หากเฉินเฉียงคิดจริงๆว่าที่เขาบอกเล่าเรื่องเหล่านั้นเพียงเพื่อให้เฉินเฉียงยอมรับเขาเป็นอาจารย์ หลิวฉิงหยุนก็คิดอยู่ว่าจะเลิกล้มความตั้งใจ
เพราะหากพูดกันตรงๆแล้ว ต่อให้เฉินเฉียงเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าไปได้ ก็ไม่มีทางเลยที่เฉินเฉียงจะได้เข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย
“ถูกต้อง เฉินเฉียง ก่อนหน้านี้แม้ข้าจะอยากได้เจ้าเป็นลูกศิษย์ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าหากข้าขอร้องอะไรเจ้า มันจะง่ายกว่าที่เจ้าจะยอมทำตามคำขอของข้า”
“แต่หลังจากสังเกตเจ้ามาแล้ว มันทำให้ไอ้แก่ผู้นี้รู้สึกได้ว่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้าก็ไม่มีทางรับข้าเป็นอาจารย์”
“และมันก็ถูกอีกเช่นกันตามที่เจ้าสังเกตเห็น ที่ไอ้แก่ผู้นี้พูดให้มากความก็เพียงเพื่อให้มีค่าพอที่จะร้องขอให้เจ้าทำบางอย่าง”
หลิวฉิงหยุนถอนลมหายใจพร้อมสายตาที่เหนื่อยอ่อน ก่อนที่เขานั้นจะพูดออกมาอย่างไม่เร่งรีบ “ย้อนกลับไปตอนที่พวกข้าทั้งห้าได้เข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ และได้มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะถูกสลักไว้บนกำแพง”
“ข้าได้ยินมาว่าเหล่าผู้ที่อยู่ในระดับมหาราชานั้น ต่างก็ฝึกตามเคล็ดวิชาเหล่านั้นต่างก็กลายเป็นมหาราชา และพวกมันเป็นเคล็ดวิชาที่ได้มาจากผู้บ่มเพาะจากโลกอื่น”
“สำหรับผู้เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะ ทุกคนล้วนถวิลหาการเข้าสู่ระดับขั้นที่สูงล้ำ”
“ไอ้แก่คนนี้ก็เช่นกัน”
“เฉินเฉียง ตามความเห็นของข้านั้น อย่างน้อยๆก็สามปี เจ้าจึงจะได้มีโอกาสเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ และนั่นจะเป็นโอกาสที่เจ้าได้เข้าถึงเคล็ดวิชาเหล่านั้น”
“ไอ้แก่คนนี้หวังเพียงว่าเมื่อถึงเวลานั้น เฉินเฉียง ข้าขอให้เจ้ากลับมาแล้วสอนข้าเกี่ยวกลับเคล็ดวิชาเหล่านั้น สักหนึ่งอย่างก็ยังดี”