ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 325 สองขั้วอำนาจ
บทที่ 325 สองขั้วอำนาจ
ด้วยแผนที่ที่พึ่งจะได้รับมานี้ เฉินเฉียงก็คิดจะใช้เมืองเฉินหลิวแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในการรวบรวมข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจในโลกต่างเขตแดนแห่งนี้ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการขั้นต่อไป
“หยานเสวี่ย พวกเราไปหาที่พักกันก่อนแล้วกัน” หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้ชี้ไปที่อาคารทรงจีนโบราณสามชั้นที่ติดป้ายเอาไว้ว่า โรงแรมผาสุก
“นายน้อย คุณหนู พวกท่านต้องการจะทานอาหารหรือพักค้างคืนครับ”
ในทันทีที่ทั้งสองได้เข้าไปในโรงแรม พนักงานตัวน้อยที่ทาปากแดงแล้วแก้มระเรื่อได้รีบเข้ามาโค้งคำนับทักทายและกล่าวถาม
เฉินเฉียงได้มองไปที่พื้นที่ชั้นหนึ่งโดยรอบก็พบว่ามีโต๊ะอยู่ที่ชั้นหนึ่งสิบกว่าโต๊ะ และมีห้องพักอยู่ไม่ไกลนัก
ดูเหมือนว่าผู้ที่จะมีกินดื่มและอยู่ที่นี่ต้องมีเงินระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“ขอห้องดีๆสองห้องแล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ โปรดมาทางนี้” พนักงานได้เดินพาเฉินเฉียงและหยางเสวี่ยไปที่เคาน์เตอร์ร้านก่อนที่จะพูดกับเจ้าของร้านวัยกลางคนตัวอ้วนฉุที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ “หัวหน้า มีแขกสองคน ต้องการห้องที่ดีที่สุด”
ชายหวัยกลางคนเมื่อได้ยินก็ยิ้มร่าก่อนที่จะหันไปมองเฉินเฉียงแล้วไปหยุดสะดุดตามที่หยานเสวี่ยเพราะตะลึงในความงามของเธอ
“นายน้อย คุณหนู ดูเหมือนว่าท่านทั้งสองจะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของสำนักใต้บาดาลสินะ”
“ไม่เพียงที่พักของข้าจะดูหรูหราแล้ว พวกเรายังเตรียมข้อมูลภายในให้กับผู้ที่เข้ามาพักแล้วต้องการไปสอบอีกด้วยครับ”
เมื่อพูดจบ ชายวัยกลางคนก็หยิบตำราออกมาสองเล่มที่ซุกไว้ใต้เคาน์เตอร์ก่อนที่จะส่งให้เฉินเฉียงไป
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะร่าอยู่ในใจ
เมื่อคิดถึงเรื่องข้อมูลนี้แล้ว เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของโรงแรมนี้เป็นคนที่มีหัวการค้าอย่างยิ่ง และไม่ยอมพลาดโอกาสอันงามแบบนี้ที่จะหากำไรเพิ่มเติม
แต่นี่ก็ช่วยเขาได้อย่างมาก
“เจ้าของร้าน ห้องพักสองห้องกับหนังสือสองเล่มนี่เท่าไหร่ล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจ้าของร้านก็ยิ้มแช่งก่อนที่จะส่งหนังสือสองเล่มให้กับเฉินเฉียงก่อนจะยักไหล่แล้วพูดออกมา “นายน้อย ตัวข้าเองก็ใช้จ่ายไปมากโขกว่าจะได้เนื้อหาของตำราในสองเล่มนี้มา”
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ห้องพักหนึ่งห้องหนึ่งคืนราคาแปดสิบเหรียญคริสตัล ส่วนตำราทั้งสองเล่ม ข้าคิดสองเหรียญสีน้ำเงิน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ท่านก็ให้ข้าแค่สี่เหรียญสีน้ำเงินก็พอ ส่วนค่าที่พัก คิดซะว่าเป็นของแถม
เมื่อได้ยินแบบนี้เฉินเฉียงก็ได้เข้าใจ
ดูเหมือนว่านอกจากเหรียญคริสตัลสีน้ำเงินและม่วงแล้วก็ยังมีค่าเงินที่ถูกกว่าอยู่ และนั่นคงเป็นเหรียญธรรมดาที่ไม่เอ่ยสีที่เจ้าของโรงแรมกล่าวถึง
เฉินเฉียงได้สัมผัสแหวนของตนก่อนที่จะนำเหรียญสีน้ำเงินสี่เหรียญออกมา
“เจ้าของร้าน เตรียมอาหารกับไวน์ให้พวกเราด้วย”
“ได้ได้” เจ้าของร้านรีบตอบรับและหันไปสั่งลูกน้องในทันที “พาแขกทั้งสองท่านไปห้องส่วนตัว”
ไม่นาน โต๊ะในห้องของเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยก็เต็มไปด้วยอาหารและไวน์ ส่วนเมิ่งน้อยเองนั้นก็วิ่งเล่นอยู่รอบโต๊ะของทั้งสองคนอย่างมีความสุข
หากพูดกันตรงๆแล้ว นับแต่เมิ่งน้อยได้เกิดมานั้น มันกินแต่แก่นวิญญาณเพียงเท่านั้น เป็นธรรมดาที่มันจะไม่เคยลิ้มรสอาหารบนโต๊ะมาก่อน
แต่เมื่อเฉินเฉียงหยิบเหรียญสีม่วงออกมา สายตาของเมิ่งน้อยก็ลุกวาวก่อนที่จะพุ่งเข้าไปคว้าเหรียญสีม่วงนี้มาไว้ในมือแล้วจับใส่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ไอ้เด็กนี่ ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะอยู่ไม่ได้หากไม่ล้างผลาญเสียล่ะมั้งเนี่ย” เมื่อเห็นเมิ่งน้อยเคี้ยวเหรียญคริสตัลสีม่วงเข้าไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา เฉินเฉียงก็อดที่จะส่ายหัวขึ้นมาไม่ได้ ก่อนที่เขาจะกางแผนที่ที่ได้มาจากหอการค้าซิ่งเซียนออกดู
กลายเป็นว่าโลกใบนี้มีชื่อว่าโลกปีศาจ
ทั่วทั้งโลกแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วน ในห้าส่วนนี้ยังแบ่งออกเป็นที่ราบและหุบเขาอีก
นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำที่มีชื่อว่าตงเตียนที่ทอดยาวจากตะวันตกไปตะวันออก ตัดผ่านโลกปีศาจออกเป็นคนละครึ่ง
พื้นที่ตรงกลางนี้เป็นที่ราบขนาดใหญ่ รอบที่ราบภาคกลางแบ่งออกไปภาคเหนือใต้ออกตกมีชื่อเรียกว่าปีกแดนใต้ วังตะวันออก แสงตะวันตก ฟ้าเขตเหนือ
และสถานที่ที่เฉินเฉียงอยู่ในตอนนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่ชื่อว่าฟ้าเขตเหนือ ในเมืองที่ชื่อว่าเฉินหลิว
ด้วยพลังจิตที่แข็งกล้าของเขานี้ทำให้เขาสามารถจดจำแผนที่โลกปีศาจศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ในทันที
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เฉินเฉียงก็ยังไม่พบสถานที่ที่มีชื่อว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์บนแผนที่เลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าหากเขาต้องการจะหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงจะต้องท่องไปทั่วแดนเสียกระมัง
หลังจากวางแผนที่ลง เฉินเฉียงก็เห็นว่าหยานเสวี่ยกำลังขะมักเขม้นในการอ่านหนังสือ ในตอนที่เขากำลังจะถามว่าเนื้อหาเป็นยังไงบ้าง เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พี่หลู พรุ่งนี้พี่จะเลือกเข้าสำนักเต๋าสำนักไหนงั้นเหรอ”
“ตอนเด็กๆข้านั้นก็ชื่นชอบในทางยามาโดยตลอด ข้าว่าจะจะเลือกเข้าสำนักเต๋าใต้บาดาลนะ แล้วเจ้าล่ะลี่น้อย”
“ข้าก็ด้วย ไม่เพียงข้าจะชื่นชอบการปรุงยานะ ข้าเองก็ชอบวิชายุทธด้วยเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เลือกไม่ถูกน้า ทั้งสองสายนี้ข้าได้ยินมาว่าสำนักเต๋าดาวตกแกร่งกว่าทั้งสองทางเลยนะ”
“ฮื้ม หลิวเหลียง ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าหมายตาสำนักดาวตกเอาไว้”
“ความจริงแล้วในด้านวิชายุทธ ทั้งสองแทบจะเหมือนกันในทุกๆด้าน แต่พอข้านึกถึงไอ้คนที่อยู่ในแผนกหุ่นเชิดโลหิตแล้วอดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้ ข้าไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด”
“ก็จริงนะ หลิวเหลียง ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราไม่เข้าสำนักเต๋าดาวตกกันล่ะ แต่หากว่าเจ้าอยากจะเข้าร่วมกับหุ่นเชิดโลหิตล่ะก็ การเข้าสำนักเต๋าใต้บาดาลย่อมดีที่สุด”
ถึงแม้สำนักดาวตกจะไม่ได้รับความนิยม แต่ศิษย์ของแผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าใต้บาดาลเองก็ไม่ได้มากมาย ทรัพยากรที่ได้รับก็ช่างน้อยนิด
“ไอ๊หยา เอาเป็นลองดูก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าก็รู้ว่าไม่ได้ดีเด่นมาจากไหน ไม่ได้พิเศษทั้งด้านปรุงยาและวิชายุทธ ทางเลือกของข้าก็มีเพียงแค่เลือกแผนกหุ่นเชิดโลหิตได้เพียงเท่านั้น”
“เฮ้ๆ หลิวเหลียง คิดดีๆนา ถึงแม้ศิษย์ของแผนกหุ่นเชิดโลหิตจะฝึกยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ไอ้พวกนั้นมันสูญเสียความเป็นคนไปแล้วนะนั่น”
“ช่างมันก่อนแล้วกัน เมื่อถึงพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ต่อให้ข้าต้องการเป็นนักรบคลั่งในภายภาคหน้า แต่อย่างน้อยเมื่อพบเจอพวกเจ้า ข้าก็จะพยายามไม่ทำร้ายพวกเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินการสนทนาที่แปลกประหลาดจากห้องข้างๆ เฉินเฉียงก็ได้ถามออกมา “หยานเสวี่ย หนังสือนี่ว่ายังไงบ้าง”
“มีเรื่องเกี่ยวกับไอ้แผนกหุ่นเชิดโลหิตอะไรนี่รึเปล่า”
หยานเสวี่ยได้หยักหน้ารับ ก่อนที่จะเปิดหน้าหนังสือส่วนที่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ “นี่ มันมีข้อมูลแนะนำแผนกที่มีชื่อว่าหุ่นเชิดโลหิต แต่มันช่างน้อยนิดนัก”
“มันเขียนไว้เพียงว่าแผนกหุ่นเชิดโลหิตนี้มีทั้งสองสำนัก แต่ของสำนักใต้บาดาลจะดูอ่อนด้อยกว่า”
“ในนี้ยังกล่าวอีกว่าสำนักเต๋าดาวตกแผนกนี้เองกำลังรับคนเข้า”
“มันยังบอกอีกว่าศิษย์สำนักเต๋าคนใดก็ตาม ที่มีความสามารถปานกลางไม่โดดเด่น ขอแนะนำให้เลือกอยู่แผนกหุ่นเชิดโลหิตนี้”
“หรือก็คือ หากใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตในตอนนี้ ก็หมายความว่าคนคนนั้นต้องเข้าร่วมกับสำนักเต๋าดาวตก”