ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 48
“นั้นมันสัตว์กลายพันธ์รึเปล่าวะ?”
“ไม่น่าใช่หรอกคงเป็นเครื่องประดับอะไรสักอย่างที่พวกภูติดดำทำขึ้นมาอีกแหงๆ”
เหล่าผู้คนเดินถนนต่างจับจ้องไปที่ดาดาที่ตอนนี้กลายเป็นจิ้งจอก4หางไปเรียบร้อย ดูเหมือนเธอเองก็รู้สึกลำบากใจในเรื่องนี้พอสมควร ที่ต้องมาเดินในเมืองสภาพแบบนี้
“พวกเราเด่นพอสมควรเลยนะครับ”
“ก็ช่วยไม่ได้หรอกคะ ก็น้องเหมียวเมี้ยวกลายสภาพเป็นน้องจอกจิ้งแล้วนี้คะ แถมยังมีตั้ง4หางอีก จะเด่นก็ไม่แปลกหรอก”
บเรนพูดพร้อมกับมองไปที่หางของดาดาที่กำลังส่ายไปมาคนละทิศทาง
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะกลายเป็นจิ้งจอกที่มี4หางซะหน่อย…ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนายนั้นแหละยะ!! เอาหางแมวฉันคืนมาเลยน้า~!!”
ดาดาโวยวายใส่เฟที่เดินอยู่ข้างๆ เธอไม่ค่อยจะชอบหางแมวของตัวเองซักเท่าไหร่ เนื่องจากมันทำให้เธอต้องมานั้งเจาะรูเพิ่มทุกครั้งที่ต้องซื้อกางเกงตัวใหม่ หากเธอจะใส่ชุดเดรสก็จะต้องม้วนหางขึ้นไปด้านบนของชุดไม่ก็ด้านล่างตลอด ทำให้ชีวิตของเธอมีแต่เรื่องจุกจิกเล็กน้อย แต่ตอนหางที่น่ารำคาญกลับมีเพิ่มมาถึง4หาง ซึ่งเธอไม่สามารถซ่อนหรือเก็บมันได้เลยเนื่องจากขนาดของมันใหญ่กว่าหางปกติที่เธอเคยมี
“อืม..งั้นเหรอ.. ท่างั้นลองพูดเฮบันฮาดาอีกสักรอบอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้นะ”
“ฉันลองก่อนนายพูดอีก!! หางมันก็ยังอยู่เลยยะ!!”
“ถ้างั้นผมก็จนปัญญาแล้วละ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ด้วยสิ”
เฟถอดหายใจยอมแพ้ แต่ดูเหมือนทางบเรนจะคิดอะไรบางอย่างได้
“น้องจอกจิ้งลองอยู่นิ่งๆหน่อยนะคะ”
“จะทำอะไรของหล่อนยัยสี่-อุกิ้ววววว!!”
บเรนสัมผัสไปที่ไหล่ของดาดาก่อนที่เธอจะร้องเสียงแปลกๆ ออกมา
“เรียบร้อยแล้วคะ ทีนี้ลองดูที่หางของตัวเองดูนะคะ”
“อูย~…ยัยสี่ตาจู่ๆทะ–“
ก่อนที่ดาดาจะพูดจบเธอก็เหลือบไปมองหางของตัวเองที่กลายเป็นหางแมวดั้งเดิม เมื่อลองสัมผัสที่แก้มหนวด6เส้นของเธอก็หายไปแล้วเหมือนกัน
“ดูเหมือนว่าร่างกายคุณที่มีการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน อาจจะเป็นเพราะระดับพลังเวทในร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น ฉันเลยลองดูดพลังเวทนั้นออกไปจนเท่ากับตอนปกติ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีกว่าที่คิดนะคะ”
“ขอบคุณมากๆเลยน้า~ ยัยสี่ตา”
ดาดากระโดดกอดบเรนด้วยความดีใจ แม้เธอจะไม่ค่อยชอบเธอก็ตามแต่การกระทำในรอบนี้ได้ใจเธอไปเต็มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคะ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ว่าเดี๋ยวพอผ่านไปสักวันสองวันก็จะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก จึงขอแนะนำให้พรุ้งนี้มาอีกเพื่อเรียนเกี่ยวกับการกดพลังเวทเพื่อให้สามารถคงสภาพนี้ได้ตลอดเวลา นี้คือคำแนะนำพิเศษเฉพาะคุณเลยนะคะ”
“จะไป!! หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไปเรียนให้ได้!!”
“มีความตั้งใจที่มุ่งมั้นจะเรียนรู้ก็ดีแล้วละคะ…..ว่าแต่…ไม่คิดว่าคุณเข้ามาใกล้ ฉันเกินไปเหรอคะ คุณเฟ”
บเรนมองเฟที่จู่ๆก็เข้ามาใกล้ๆเธอ ในขณะที่ดาดากำลังกอดเธออยู่ทำให้เธอถอบหนีไปไหนไม่ได้
“ก็แค่อยากเห็นใบหน้าลูกสาวตอนมีความสุขชัดๆนะครับ”
“เรียกเลิกฉันเป็นลูกสาวได้แล้ว และก็ถอยไปห่างๆเลย!!”
“ไม่เอาน่า ใจเย็นๆหน่อยสิดาดา ผมแค่มองเฉยๆเท่านั้นเองไม่ได้อะไรเสียหายสักหน่อย คุณบเรนเองก็ไม่เห็นปัญหาใช่มั้ยครับ”
“เฮ้อ เอาเถอะคะ อยากทำอะไรก็เชิญแต่–“
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะยะ!!!!”
ก่อนที่บเรนจะพูดจบก็มีเสียงเอะอะโวยวายข้างหน้า เมื่อเธอมองไปก็พบเด็กู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังเถียงกับภูติดำคนหนึ่งอยู่
“สกสัยฉันคงต้องไปทำหน้าที่แล้วละคะ”
“แต่วันนี้เธอหยุดไม่ใช่เหรอ? ปล่อยให้คนอื่นจัดการไม่ดีกว่ารึไง”
“สำหรับการ์ดอย่างฉันไม่มีวันหยุดคะ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในเมืองนี้ฉันก็ต้องไปจัดการไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม”
เมื่อพูดจบบเรนก็เดินไปหาทั้งคู่ที่กำลังทะเลาะกันอยู่ ดูเหมือนเธอกำลังไกลเกลี่ยอะไรสักอย่างกับสองคนนั้น ก่อนที่พวกเธอจะเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งด้วยกัน และบเรนก็เดินกลับมาพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่ายสุดๆ
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าเป็นอะไรไปเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ…ก็แค่พวกแม่มดขี้เมาอยากกินเหล้าแต่ทางภูติดำที่เป็นลูกสาวของเจ้าของร้านนึกว่าเป็นเด็กก็เลยถูกห้ามเข้าร้านก็เลยโวยวายเท่านั้นแหละคะ”
“แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนอารมเสียขนาดนี้ด้วยละครับ”
“ปกติภูติดำจะมีสัมผัสพลังเวทที่เร็วกว่าปกติ แต่ภูติดำคนนั้นกลับลืมนึกว่าเธอคนนั้นเป็นแม่มดซะได้… ทำไมถึงมีแต่เรื่องงี่เง่าเกิดขึ้นในเมืองของเราทุกวันด้วยนะ…”
“อย่าทำหน้าซังกะตายแบบนั้นสิยะ!! วันนี้เราจะไปกินร้านโปรดของเธอที่แนะนำไว้ไม่ใช่รึไง ขืนเธอทำหน้าซังกะตายแบบนั้นฉันกินไม่ลงหรอกนะ!!”
“นั้นสินะคะ ฉันอุส่าชวนน้องจอก–ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกน้องแมวเหมียวสินะ”
“ถามจริงเถอะ..ชื่อฉันมันเชยขนาดจนพวกเธอไม่ยอมเรียกกันเลยเหรอ?”
ตั้งแต่ดาดามาที่นี้ไม่ทีใครเรียกชื่อเธอเลยสักคนนอกจากเฟเลยสักคน จนตอนนี้เริ่มทำให้เธอกังวลเกี่ยวกับชื่อของตัวเองนึดหน่อยแล้ว
“มันก็ไม่เชยมากหรอกนะคะ..จะว่ายังไงดีละ.. ชื่อมันดูแปลกๆ ไม่ค่อยเข้ากับคุณเท่าไหร่.. ก็เลยไม่ค่อยอยากจะเรียกเท่าไหร่นะคะ”
“นี้เป็นชื่อที่แม่ที่ล่วงลับไปแล้วตั้งให้ฉันเลยนะ!!”
“ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เถอะ.. แต่ว่า–“
“ถ้างั้นมาเปลี่ยนชื่อดีไหมละครับ? “
“”ห๊า?””
ดาดาและบเรนต่างงงกับความคิดของเฟที่เสนอ ออกมา
“คุณจะบ้ารึเปล่าคะ? ไม่ได้ฟังที่น้องเหมียวเมี้ยวพูดรึไง นี้เป็นชื่อที่คุณแม่ที่ล่วงลับไปแล้วตั้งให้เลยนะคะ จู่ๆ จะมาเปลี่ยนแบบนี้มันไม่เสียมารยาทเกินไปหน่อยเหรอคะ?”
“มันไม่เสียมารยาทอะไรหรอกครับ แถมคูมิเองก็ไม่ไดว่าอะไรหรอกครับ”
“นี้เป็นชื่อที่แม่ตั้งให้เลยนะ!! มันต้องมีความหมายอะไรแน่ๆ!! ฉันไม่ยอมเปลี่ยนมันหรอก!”
“มันไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ เชื่อผมสิ”
“นี้มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ!!! รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังพูดจาดูถูกชื่อที่แม่ของน้องจิ้กจอกตั้งให้เลยนะคะ!!”
“ใช่แล้ว!!! ถ้านายยังพูดว่าชื่อที่แม่ตั้งให้ไม่มีความหมายละก็ ฉันโกรธนายจริงๆแน่!!”
เฟทำหน้าลำบากใจเล็กน้อยที่ถูกสองสาวรุมต่อว่า แต่ตัวเขาเองก็พอเข้าใจถึงเหตุผลที่โดนโกรธอยู่
“ใจเย็นๆ สิครับ ชื่อของดาดา ผมเป็นคนตั้งให้เองครับ”
“อย่ามาโกหกหน่อยเลย!! ฉันจำได้ว่าพึ่งเจอนายเมื่อ12ปีก่อนเองนะ!! นายจะมาตั้งชื่อให้ฉันตอนไหน”
“ถ้าเอาตามความจริงผมพบกับดาดาครั้งแรกเมื่อ16ปีก่อนต่างละ ถึงตอนนั้นเธอจะจำไม่ได้ก็เถอะ”
“ถึงฉันจะจำไม่ได้ก็เถอะ แต่ไม่มีใครเขาพึ่งมาตั้งชื่อลูกตอน2ขวบหรอกยะ!!”
“คูมิเป็นกรณีพิเศษนะครับ ตอนที่ดาดาเกิดมาเหมือนเธอจะนึกชื่อที่จะต้องตั้งไม่ออก ก็เลยปล่อยไว้อย่างงั้นจนผมมาตั้งให้นั้นแหละครับ”
“ละ..แล้วชื่อดาดามันมาจากไหนละ.. ไหนลองบอกมาสิ!!”
“ถ้าถามว่าชื่อมันมาจากไหน.. คือตอนที่ผมพบกับคูมิครั้งแรก ผมถามว่าลูกของเธอชื่ออะไร แต่คูมิก็บอกว่าเธอไม่มีชื่อเรียก สักพักเธอก็ตะโกนว่า ‘ดาดา’ ผมก็เลยถือวิสาสะตั้งชื่อให้เธอด้วยตัวเองเลยนะ”
“ห๊า?”
“ก็แหม~ ตอนนั้นเองผมก็ยังเด็กด้วยสิ ตอนแรกคูมิก็เหมือนจะไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่และบอกว่ามันเชยด้วย แต่ผมก็ตื้อจนเธอรำคาญเลยยอมตั้งชื่อเธออย่างเป็นทางการว่าดาดานะครับ คิดถึงสมัยตอนนั้นจังเลยนะ”
เฟนึกถึงอดีตของตัวเองสมัยเด็กๆ ที่ชอบหิ้วของกินออกจากบ้านเดินเข้าไปในป่าเพื่อไปให้คูมิและดาดากิน มันเป็นกิจกรรมที่เขาต้องทำหลังฝึกเสร็จทุกวัน จนถึงขั้นต้องควักเงินตัวเองทั้งหมดเพื่อซื้อเนื้อไปฝากเลยทีเดียว
“คุณเฟคะ ช่วยอยู่นิ่งๆ สักครู่นะคะ”
“หืม? มีอะไรรึ–“
ป้าบบบ!!!
ก่อนที่เฟจะพูดจบ บเรนตบเข้าไปที่หน้าของเฟจนหน้าของเขาหันไปตามแรงตบของเธอ
“ฉันว่าเราไปกันเถอะคะ คุณดาดา เราอย่าไปสนใจผู้ชายมักง่ายคนนี้เลยดีกว่าคะ”
“อะ..อืม”
บเรนจูงมือดาดาและจากไปโดยทิ้งเฟไว้ ให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
“สกสัยเราต้องกลับไปกินที่โรงแรมคนเดียวแล้วละมั้ง”
“ท่านพี่..เฟย์?”
ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ เขาก็ถูกเรียกชื่อที่ไม่ได้ถูกเรียกมานาน เพื่อหันกลับไปก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมสีดำยาว บนหัวมีปิ่นปักผมที่ดูคุ้นตาทำให้นึกถึงบ้านเกิด เธอมีหน้าตาที่สวยงามที่ดูเยาว์วัย เธอใส่ชุดที่แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี้ ชุดของเธอนั้นเป็นสีชมพูอ่อนและมีลวดลายดอกไม้ปักไว้อย่างประณีต มันเป็นชุดที่มีส่วนประกอบเยอะ ต่างจากชุดเดรสของที่นี้ มันเป็นชุดที่เขารู้จักและเคยถูกบับคับให้ใส่ในวัยเด็ก ชุดฮันฟู่นั้นเอง
“หยินเหรอ?”
“ท่านพี่เฟย์!!”
หยินโผกอดเฟทั้งน้ำตาด้วยความคิดถึง
“ข้าคิดถึงท่านมากเหลือเกินท่านพี่”
หยินพูดภาษาบ้านเกิดออกมาเสียงดังและก็กอดเฟให้แน่นขึ้น จนทำให้พวกเขาทั้งสองคนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันที
“ขอเสียมารยาทหน่อยนะ”
“ว้าย!!”
เฟจึงตัดสินใจลากตัวเธอเข้าไปในตรอกเล็กๆทันที และดันร่างของเธอชิดไปกับกำแพงเพื่อปิดทางหนีของเธอ
“ขะ..ข้ายังไม่ได้เตรียมใจ–“
“เจ้ามาทำอะไรที่นี้หยิน!!”
เฟกลับมาพูดภาษาบ้านเกิดและตวาดใส่หยินเสียงดังจนเธอสะดุ้งเล็กน้อย
“ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงกับข้าเลย ข้าไม่ได้มาตามล่าท่านสักหน่อย.. ข้าก็แค่มาหาท่านเพียงเท่านั้น”
“เจ้าจะมาตามหาทำไม? หญิงตระกูลเหมาอย่างเจ้าจะมีธุระอะไรกับคนทรยศอย่างข้าละ”
“ข้าไม่ได้เป็นคนของเหมาอีกต่อไปแล้ว และไม่ใช่ศิษย์ของสำนักพยัคขาวอีกด้วย”
“เจ้าเปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายอธรรมแล้วรึไง”
“ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายไหนทั้งนั้น!! ที่ข้ามาตามหาท่านก็แค่มาทวงสิทธิในฐานะคู่หมั้นของท่านพี่เท่านั้น”
“นั้นเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้โดยพ่อแม่ของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องจริงจังเลย นี้มันก็ผ่านมาตั้ง15ปีแล้วนะ ตอนนี้เราไม่ใช่คู่หมั้นกันอีกแล้ว เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีนี้”
“แล้วยังไงละ!!! ก็หัวใจของข้ามันอยู่กับท่านมานานแล้ว!! ท่านจะให้ข้าทำยังไงละ…..”
หยินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงที่น้ำตาของเธอไหลออกมาเล็กน้อย โดยที่เธอยังไม่ละจากสายตาของเฟที่จ้องเธออยู่ เฟเองจึงค่อยๆ หายใจออกมาเล็กน้อย และถอยห่างจากเธอ
“เจ้าเห็นมือข้างนี้ของข้ารึเปล่า?”
เฟโชวมือข้างที่ขาดให้กับหยินดู แต่เหมือนดูหยินจะไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย
“ข้าใช้วิชาดาบคู่ไม่ได้อีกแล้ว พลังปราณในร่างกายก็สลายไปหมด ไม่อาจฝึกฝนใหม่ได้ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนคนพิการเท่านั้น ไม่อาจคู่ควรกับหญิงงามที่มีพลังปราณสูงส่งเช่นเจ้าหรอก”
“คิดว่าข้าสนใจเรื่องนี้รึไง ต่อให้ท่านจะพิการจนขยับตัวไม่ได้ ข้าก็จะรักท่านอยู่ดี”
“เจ้ารู้ใช่มั้ย ว่าอายุขัยของพวกเรามันต่างกันมาก ข้าตายไปเจ้าเองก็ต้องอยู่คนเดียว เจ้าควรไปหาคนที่อยู่ระดับเดียวกับเจ้าไม่ดีกว่ารึไง”
“ข้าไม่เคยสนใจชายใดนอกจากท่านเลยแม้แต่น้อย หากท่านตาย ข้าจะฆ่าตัวตายตามท่านไปด้วย หรือหากท่านอยากให้เรามีอายุขัยเท่ากันให้ข้าสลายปราณทิ้งก็ยังได้ ข้ายอมทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับท่าน”
“ทำไมเจ้าถึงดื้อได้ขนาดนี้กันนะ”
เฟถอดหายใจอีกครั้ง แม้วิธีนี้เขาจะไม่อยากทำเพราะมันอาจจะทำร้ายจิตใจของเธอ แต่ก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว
“ฟังนะ หยิน ตอนนี้ข้ามีคนที่ข้ากำลังสนใจอยู่ ข้าคงรักเจ้าไม่ได้หรอก”
“ท่านคงหมายถึงนังปีศาจจิ้งจอกสินะ..”
“ไม่ใช่ นางเป็นเพียงสหายของข้าเท่านั้น คนที่ข้าสนใจนั้น นางเป็นคนที่ดินแดนนี้ ไม่ใช่คนที่มาจากแดนปีศาจหรือเทียหมิง”
“ท่านพี่โกหก!! ถ้าท่านพี่ไม่ได้รักนาง แล้วทำไมท่านต้องยอมช่วยนางถึงขนาดทรยศไปอยู่กับพวกอธรรมด้วยละ!!”
“นั้นก็เพื่อความถูกต้องของข้า มันเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จอมยุทธฝ่ายธรรมะอย่างเจ้าต้องเข้าใจหรอกนะ น้องหยิน”
เมื่อพูดจบเฟก็หันหลังกลับไป เพื่อไปกินข้าวกลางวันที่โรงแรม แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อหยินนำกระบี่มาจ่อที่หลังของเขา
“ข้ายังคุยกับท่านไม่จบเลยนะ ท่านพี่เฟย์”
“ข้าไม่คิดว่าจะมีเรื่องที่ต้องคุยกันต่อหรอกนะ”
“ท่านพี่ไม่อยากรู้เหตุผลที่ข้ามาที่นี้เหรอ? มันอาจจะเกี่ยวกับนังปีศาจจิ้งจอกที่อยู่กับท่านก็ได้ ท่านแน่ใจจริงๆเหรอ ว่าท่านไม่อยากฟัง”
เฟหันกลับมาทันทีเมื่อได้ยินหยินพูดจบ หยินเองก็เก็บกระบี่เข้าไปในฝักตามเดิม
“ว่ามาสิ..ข้ากำลังฟังอยู่”
“ตอนนี้ฝ่ายธรรมะและอธรรมกำลังหาตัวปีศาจวัวในแดนนี้อยู่”
ในหัวของเขานึกถึงหน้าของฮานะขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำว่าปีศาจวัว
“ทำไมต้องตามหาด้วยละ ก็แค่ปีศาจวัวตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนถึงขนาดข้ามทะเลมาเพื่อตามล่าเลยแม้แต่น้อย”
“ท่าเป็นแค่ปีศาจวัวทั้วไป มันก็คงไม่มีอะไรหรอกท่านพี่ แต่ปีศาจวัวตัวนั้นไม่ใช่ คิราซางิ ฮานะ องค์หญิงลำดับที่ 4 ของราชาปีศาจคนปัจจุบัน คิซารางิ คุโรกาเนะ พวกนั้นคงไม่สนใจนางหรอก”
“แล้วทำไมพวกธรรมะและอธรรมถึงแน่ในใจได้ละ ว่านางอยู่ที่นี้”
“มันมีข่าวลือว่าคนที่ลักพาตัวนางไปคือ ผู้หญิงที่มีใบหน้าที่งดงาม ผมสีขาวไร้สีสันใดๆ และมีผิวสีน้ำตาลเข้มเหมือนชา นางใช้พลังของนางที่แข็งแกร่งลอบโจมตีทหารองครักษ์ของราชาปีศาจและพาตัวไป พวกฝายธรรมะและอธรรมกระจายตัวไปทั้วเพื่อตามหานาง จนได้ยินเรื่องราวของเมืองที่เต็มไปด้วยสตรีที่มีลักษณะเช่นเดียวกับนางคนนั้นอยู่เต็มไปหมด จนทำให้พวกนั้นมาที่เมืองนี้เพื่อตามหาตัวนาง เพื่อเอานางไปต่อรองกับราชาปีศาจเพื่อผลประโยชน์ไงละ ท่านพี่”
“งั้นเหรอ? เจ้าเองก็มาตามหานางเหมือนกันรึไง”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก ที่ข้าเดินทางมาที่นี้เพื่อตามหาท่านเท่านั้น แต่คนอื่นข้าไม่รู้แต่ก็คงมาด้วยเหตุผลเดียวที่จอมยุตรทุกคนได้รับการสั้งสอนมา.. ท่านเองก็น่าจะรู้คำสอนนั้นดี… ท่านพี่”
“การฆ่าปีศาจที่ระรานผู้คนคือหน้าที่ของจอมยุตรที่ดีสินะ…”
เขาบ่นพึมพำออกมา มันคือคำที่เขาถูกสั้งสอนมาตั้งแต่เด็กโดยพ่อของเขา อย่างสม่ำเสมอ
“ใช่แล้วละ ข้าละแปลกใจจริงๆ ทำไมท่านถึงยังใจเย็นอยู่ได้ละ ในขณะที่พวกเราคุยกันอยู่ บางทีปีศาจจิ้กจอกตัวนั้นอาจจะถูกสังหารไปแล้วก็ได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไป ตราบใดที่เด็กคนนั้นยังอยู่กับเธอคนนั้น ก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เด็กคนนั้น? ท่านนี้ช่างกล้าพูดจริงๆ พวกปีศาจมีชีวิตที่ยืนยาว โดยเฉพาะปีศาจระดับสูงอย่างปีศาจ9หาง ที่มีพลังกล้าแกร่ง นางคงมีอายุขัยที่ยาวนานยิ่งกว่าข้าหรือท่านเสียอีก”
“งั้นเหรอ…เจ้ายังไม่รู้สินะ”
“เฟ!!! นายกำลังทำอะไรอยู่ยะ!!”
ในขณะที่เขากำลังคุยกับหยินอยู่ ดาดาก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“มาทำอะไรที่นี้เหรอดาดา ไม่ใช่ว่าเธอกำลังกินมื้อกลางวันอยู่กับคุณบเรนหรอกเหรอ”
“ก็ฉันกลัวว่านายจะคิดมากเรื่องที่โดนยัยสี่ตาตบ ก็เลยย้อนกลับมาดูนาย แต่ดูเหมือนนายจะดูดี้ด้าดีนี้ ถึงขนาดคุยกับผู้หญิงคนอื่นได้หน้าตาเฉย โดยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยนี้”
“อย่าเข้าใจผิดสิ เธอแค่มาถามทางผมเท่านั้นแหละ”
“ช่ายแล้วล่านฉานแคมาทามทาวทานนาม”
“หา?”
หยินพยามพูดภาษาแกรนเทล แต่ดูเหมือนเธอจะพูดมันไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก เฟกับดาดาเองก็ฟังที่เธอพูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นัก
“ก็อย่างที่เห็นครับ ดูเหมือนว่าเธอจะมาจากประเทศอื่นที่ไม่ได้อยู่ใน9อาณาจักร ก็เลยคุยกับใครไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นะ”
“อย่างงี้เองหรอกเหรอ ก็ว่าอยู่ทำไมถึงแต่งตัวแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นคนที่อื่นเองหรอกเหรอ… แล้วทำไมนายถึงคุยกับเธอรู้เรื่องละ?”
“ผมมีทักษะเรื่องภาษานึดหน่อย เห็นอย่างงี้ก็เถอะ ผมพูดได้ตั้ง3ภาษาเลยนะ”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ แต่ตอนนี้ฉันหิวแล้ว..พะ..พะ.เพราะงั้นจะอนุญาติให้นายมากินข้าวกับพวกเราเป็นกรณีพิเศษละกัน ไม่ใช่วาฉันอยากให้นายมากินข้าวด้วยหรอกนะ!!”
“ครับๆ ถ้าพวกเราก็–“
“ฉานไป๋ล่วย!!”
หยินพูดพร้อมกับกอดแขนของเฟเอาไว้แน่น จนแขนของเขาโดนหน้าอกของเธอทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
“เดี๋ยวสิ!! เธอทำอะไรของเธอเนี้ย!! ปล่อยเฟเดี๋ยวนี้นะ!!”
ดาดาพยามแงะหยินออกมาจากเฟ แต่ดูเหมือนไม่ว่าเธอจะออกแรงมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถขยับนิ้วของเธอได้เลย แม้แต่นิ้วเดียว
“เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้ากัน หยิน”[ภาษาอื่น]
“ข้าก็แค่อยากกินข้าวร่วมกับท่านพี่เหมือนในอดีตเท่านั้น ไม่ได้ต้องการจะทำอะไรที่น่าสกสัยเลยแม้แต่น้อย”[ภาษาอื่น]
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็ช่วยปล่อยข้าสักที หน้าอกของเจ้ามันโดนแขนข้าอยู่นะ”[ภาษาอื่น]
“สุขภาพบุรุษอย่างท่านพี่มีอารมกับหน้าอกของข้าด้วยเหรอ รู้สึกดีใจจัง ท่างั้นข้าไม่มีวันปล่อยท่านหรอกนะ เชิญเสพสุขกับร่างกายของข้าที่เติบโตแล้วเถอะ ท่านพี่เฟย์ของข้า หุๆ”[ภาษาอื่น]
“หยินนี้เจ้า!!”[ภาษาอื่น]
หยินยิ้มให้เฟ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเลห์และน่าสกสัย แต่ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่อาจสู้แรงเธอได้เช่นกัน
“พวกนายคุยอะไรกันเนี้ย!! ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนึด!! แล้วสรุปเธอจะปล่อยหรือไม่ปล่อยกันแน่ยะ!!”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมปล่อยผมด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง คงต้องปล่อยใว้อย่างงี้สักพักนั้นแหละ”
“อย่ามาล้อเล่นนะ!!! ตรงนี้มันที่ของฉันนะ!! ออกมาเดี๋ยวนี้น้า~!!”
“เจ้าไม่มีวันพรากข้าจากท่านพี่ด้วยพลังอันน้อยนึดของเจ้าหรอกนะ นังปีศาจจิ้กจอก”[ภาษาอื่น]
“พูดอะไรของหล่อน!! ฟังไม่รู้เรื่องแต่น่าโมโหชะมัด!!”
ดาดากับหยินพยามยื้อแย่งเฟอยู่อย่างงั้น จนเขาเริ่มเจ็บที่แขนหน่อยๆซะแล้ว แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าเกิดทำให้ดาดาหรือหยินโกรธละก็ ความซวยก็จะตกเป็นของเขาอยู่ดี เขาจึงปล่อยไว้อย่างงั้นจนกว่าพวกเธอจะพอใจและปล่อยเขาเอง