ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 539.6 ตอนพิเศษ 2 คนในฝัน
ตอนพิเศษ 2 คนในฝัน
ใต้หล้าเริ่มสงบสุข ราษฎรใช้ชีวิตสุขสงบ เมืองหลวงจึงยิ่งคึกคักและครึกครื้นอย่างเห็นได้ชัด
วันนี้ หน้าประตูร้านลิ่วชูฮวาไจแถวยาวเฟื้อย
กล่าวถึงร้านลิ่วชูฮวาไจ นับว่าเป็นร้านเก่าแก่อายุร้อยปีแห่งหนึ่งซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
จนกระทั่งตอนนี้ร้านลิ่วชูฮวาไจก็ยังคงได้รับความนิยม เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่งก็มักจะสามารถวางจำหน่ายบทละครซึ่งมีเรื่องราวแปลกประหลาดออกมา ดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้แย่งกันซื้อ กระทั่งมีคนจากนอกเมืองมาฝากญาติและสหายในเมืองหลวงให้ซื้อด้วย
แน่นอนว่า ก็ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่มีบทละครเล่มใหม่ขายล้วนจะต่อแถวยาวเฟื้อยกันแบบนี้ เพียงแต่หนึ่งปีกว่ามานี้ ผู้คนเห็นสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้จนชินนานแล้ว
ร้านลิ่วชูฮวาไจมีบัณฑิตเขียนหนังสือคนหนึ่งชื่อคนในฝัน ฝีมือสูงส่ง บทละครที่เขียนทำให้ผู้คนที่ได้อ่าน ดื่มด่ำลุ่มหลง ลืมกินลืมนอน
เสียงแอ๊ดดังขึ้นในรุ่งอรุณ ประตูใหญ่ร้านหนังสือร้อยปีเปิดออกแล้ว
ผู้คนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น มีคนงานมากประสบการณ์ตะโกนเสียงดัง “ต่อแถวให้เรียบร้อย มาก่อนได้ก่อน!”
คนที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าเข้าไปก่อนแล้วอุ้มบทละครเล่มใหม่เอี่ยมออกมา เดินไป พลางเปิดอ่านอย่างอดใจรอไม่ไหว
“เรื่องอะไรหรือ” คนที่ยังต่อแถวอยู่ถาม
คนคนนั้นตายังจ้องอยู่ที่บทละคร ขณะตอบอย่างโอ้อวดหลายส่วน “เป็นเรื่องราวประหลาดเล่มสาม…คืนวิญญาณ”
เรื่องแรกที่คนในฝันเขียนมีชื่อว่า ‘วิญญาณจิ้งจอก’ เรื่องราวที่สองมีชื่อว่า ‘วาดม้าศักดิ์สิทธิ์ของวายุเทพ’ เรื่องราวประหลาดสองเรื่องนี้ทำให้นักประพันธ์ท่านนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือ กระตุ้นให้ผู้คนนับไม่ถ้วนรอเล่มสามเปิดตัว
คนที่เข้าแถวได้ยินชื่อหนังสือก็ร้อนใจขึ้นมาทันควัน อดรนทนไม่ไหวอยากจะอ่านเสียเดี๋ยวนี้
แต่ตอนนี้คนงานร้านหนังสือดันตะโกนว่า “บทละครของอาจารย์คนในฝันจำหน่ายหมดแล้ว ลูกค้าที่จะซื้อหนังสือเล่มอื่นสามารถเข้ามาได้แล้วขอรับ”
พรึบ แถวหายไปกว่าครึ่ง คนที่ซื้อบทละครไม่ได้ไปล้อมคนที่ซื้อได้เอาไว้อย่างรวดเร็ว
“รีบเล่ามาสิว่า ‘คืนวิญญาณ’ หลักๆ เขียนเรื่องราวอะไร”
“เขียนเรื่องสตรีนางหนึ่งเกิดอุบัติเหตุหมดสติไป หลังฟื้นขึ้นมาอุปนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก ความจริงแล้วถูกวิญญาณร้ายยืมศพเพื่อคืนวิญญาณ ในภายหลังเพราะคุ้มครองฮ่องเต้ในช่วงเวลาวิกฤตได้สำเร็จ จึงถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง…”
“ผีร้ายตนหนึ่งจะกลายเป็นองค์หญิงได้อย่างไร รีบเล่าเร็วเข้า”
คนผู้นั้นส่ายหน้า พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นแค่สรุปย่อของเรื่องราว เนื้อหาที่เป็นรูปธรรมต้องรอข้ากลับบ้านไปอ่านให้ละเอียดก่อน ถึงจะเล่าให้พวกเจ้าฟังได้”
เห็นคนผู้นั้นจากไปอย่างภาคภูมิใจยิ่ง คนกลุ่มนั้นก็กระทืบเท้าอย่างคันยุบยิบในใจ
‘วิญญาณจิ้งจอก’ กับ ‘วาดม้าศักดิ์สิทธิ์ของวายุเทพ’ ของอาจารย์คนในฝันล้วนสนุกมาก ‘คืนวิญญาณ’ จะต้องไม่เลวแน่นอน น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่บทละครเล่มใหม่วางจำหน่ายนั้นมีจำนวนจำกัด หากต้องการอ่านก็ทำได้แค่รอวางจำหน่ายเพิ่มในเดือนถัดไปแล้ว
บนโต๊ะมังกร บทละครชื่อ ‘คืนวิญญาณ’ เล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าลั่วเฉิน
ลั่วเฉินพลิกอ่านเรียบร้อยแล้วก็จ้องชื่อบทละครด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
ขันทีคนสนิทยืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้าส่งเสียง
แม้ว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะพระชนมายุยังน้อย แต่กลับเฉลียวฉลาด เก็บงำความรู้สึกเก่ง ค่อนข้างมีความน่าเกรงขาม
เนิ่นนานหลังจากนั้น ลั่วเฉินจึงเอ่ยว่า “นี่คือเรื่องราวที่คนในฝันเขียนออกมาหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ร้านลิ่วชูฮวาไจคัดลอกออกมาทั้งหมดกี่เล่ม”
“ทูลฝ่าบาท คัดลอกออกมาทั้งหมดหนึ่งร้อยเล่มพ่ะย่ะค่ะ” พิจารณาสีพระพักตร์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างละเอียดแล้ว ขันทีก็เอ่ยเสริมว่า “นี่คือวิธีการที่ร้านลิ่วชูฮวาไจใช้เป็นประจำ ควบคุมปริมาณบทละครที่ออกใหม่ รอผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปก็จะวางจำหน่ายในปริมาณมาก…”
ลั่วเฉินมีสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปบอกเจ้าของร้านลิ่วชูฮวาไจว่า ‘คืนวิญญาณ’ ไม่อาจปรากฏในท้องตลาดได้อีก”
ขันทีรับคำ
ลั่วเฉินหางคิ้วไม่ขยับ น้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม “สำหรับคนในฝันผู้นั้น ทำลายเส้นเอ็นที่มือของเขาแล้วกัน เราไม่อยากเห็นเรื่องราวที่เขาเขียนออกมาใหม่อีก”
ขันทีตะลึง รีบรับคำ
“ไปจัดการเถอะ”
ขันทีค้อมกายถอยออกไป ลั่วเฉินเดินไปข้างหน้าต่าง เหม่อมองทิวทัศน์นอกห้องทรงพระอักษร
ในคฤหาสน์ธรรมดาหลังหนึ่งทางเมืองตะวันออก บุรุษชุดเขียว ผมยาวสยายกำลังตวัดพู่กันเขียนอักษรอย่างรวดเร็ว
บนโต๊ะหนังสือคือต้นฉบับกองสูง กำจายกลิ่นหมึกออกมาจางๆ
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก เขาวางพู่กัน นวดข้อมือแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
วันนี้เป็นวันเปิดตัว ’คืนวิญญาณ’ คิดว่าเป็นคนของร้านลิ่วชูฮวาไจมาส่งเงินของบทละครและจองเรื่องราวเล่มถัดไป
การปรากฏตัวของ ‘วิญญาณจิ้งจอก’ กับ ’วาดม้าศักดิ์สิทธิ์ของวายุเทพ’ ล้วนทำเพื่อให้ ’คืนวิญญาณ’ ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในใต้หล้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นี่ยังไม่พอ
แม้ว่า ‘คืนวิญญาณ’ จะเขียนเรื่องราวของผีร้ายยืมศพคืนวิญญาณกลายเป็นองค์หญิง แต่กลับไม่สามารถทำให้ผู้คนคิดเชื่อมโยงไปถึงองค์หญิงใหญ่ที่มีหน้ามีตาไม่มีที่สิ้นสุดท่านนั้น เพียงแค่ทิ้งความคิดเลือนรางให้กับคนที่ได้อ่านเรื่องนี้เท่านั้นเอง
เรื่องประหลาดที่เขาต้องการให้ผู้คนในใต้หล้าได้อ่านอย่างแท้จริงคือเล่มสี่…’บ่อเกิดแห่งหายนะ’
เรื่องราวแปลกประหลาด เหนือความคาดหมายมักจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นเขาอยากจะเห็นว่าราชวงศ์จะปิดปากที่พล่ามไปเรื่อยได้อย่างไร
ผู้คนเห็นเป็นเพียงนิทานแล้วอย่างไร ในฐานะคนที่เป็นตัวเอกของเรื่อง จะสามารถหนีความอึดอัดใจไปได้หรือ
เสียงเคาะประตูเร่งรีบกว่าเดิมแล้ว
บุรุษหนุ่มจัดระเบียบเสื้อผ้า เดินออกไป
เขาพูดไม่ได้จึงเขย่ากระดิ่งที่ประตูครั้งหนึ่ง
มีเสียงดังลอยมาจากนอกประตู “เสวี่ยฮวา”
เมื่อได้ยินคำนี้ บุรุษหนุ่มก็ยื่นมือไปเปิดประตู
ยามเกล็ดหิมะงดงามโปรยปรายที่หน้าประตู พวกเราร่ำสุราที่นี่ ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่ต้องเอ่ย สนใจเพียงแต่ชมหิมะเถอะ
ลิ่วชูฮวาเป็นอีกชื่อของเสวี่ยฮวา เมื่อได้ยินสองคำนี้ เขาก็จะรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นคนของร้านลิ่วชูฮวาไจ
ถ้าหากว่าคนด้านนอกเอ่ยว่าเป็นร้านลิ่วชูฮวาไจ ในทางตรงกันข้าม เขาไม่มีทางเปิดประตู
ประตูเปิดแล้ว เมื่อเห็นคนข้างนอก บุรุษหนุ่มก็นัยน์ตาหดวูบ คิดจะปิดประตูตามจิตใต้สำนึก
“อย่ารีบร้อนสิ” สือเยี่ยนดันประตูไว้ หัวเราะเหอๆ
มือยกขึ้น ฟันดาบลงมา แสงเย็นเยียบเปล่งประกาย จากนั้นก็ปิดประตูแล้วจากไป
บุรุษด้านในประตูกุมข้อมือ เจ็บปวดจนล้มลงไปกลิ้งบนพื้น แต่กลับส่งเสียงออกมาไม่ได้
เขาจ้องประตูที่ปิดลง ทั้งหวาดกลัว ทั้งโมโห
นั่นคือคนของไคหยางอ๋อง!
ที่แท้ไคหยางอ๋องก็ให้คนจับตาดูเขาตลอด กระทั่งสัญญาณลับที่เขาตกลงกับร้านลิ่วชูฮวาไจก็ยังรู้!
ข้อสงสัยของเขาไม่ผิด ลั่วเซิง นังแพศยานั่นถูกวิญญาณเร่ร่อน ไร้ญาติขาดมิตรครอบครองร่างแล้ว
ซูเย่าซึ่งล้มลงไปกองบนพื้น มองท้องฟ้าอันคับแคบ แววตาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
ในความฝัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แบบนี้
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในจินซา มีสภาพแวดล้อมเป็นใจคอยอำนวย ราบรื่นไร้อุปสรรคใดๆ รอประสบความสำเร็จในการสอบขุนนาง ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางราชการ นับแต่นั้นก็เริ่มต้นชีวิตอันสดใส
แต่ในปีที่อายุสิบเจ็ด มีคุณหนูลั่วท่านหนึ่งมาจากเมืองหลวง
การบังเอิญพบกันครั้งหนึ่งเป็นการเริ่มต้นการตามตื๊อไม่เลิกราของนาง ในภายหลังก็วุ่นวายหนักยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากอำนาจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ครอบครัวจึงทำได้เพียงตอบตกลงการแต่งงานนี้
นั่นคือจุดเริ่มต้นฝันร้ายของเขา
สำหรับคุณหนูลั่วนั้นกลับไม่ได้พึงพอใจที่สมปรารถนา ในทางตรงกันข้าม ไม่นานนักก็เบื่อหน่ายคืนวันธรรมดาอันจืดชืด เมื่อเห็นบุรุษรูปงามก็ยังคงตามตอแยอย่างไร้ซึ่งความกังวลใดๆ
มารดาตักเตือนและตำหนินางด้วยความโมโหจึงถูกตบมาฝ่ามือหนึ่ง
มารดาไม่อาจทนการถูกเหยียดหยามได้จึงกลืนทองจนเสียชีวิตไป
บทสรุปสุดท้ายคือ เขาฉวยโอกาสที่นางหลับสนิทรัดคอนางตาย จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย
สติปัญญาที่สวรรค์มอบให้อะไร อนาคตอันสวยงามอันใด ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา ชีวิตอันแสนสั้นของเขานี้ กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า เมื่อลืมตาขึ้นมา เขาจะยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนนั้น ได้ยินน้องสาวเอ่ยกับเขาอย่างว้าวุ่นใจ ‘พี่รอง ท่านต้องระวังนะ ข้าได้ยินว่า จวนเซิ่งมีคุณหนูญาติผู้น้องมาท่านหนึ่ง ไม่มีเรื่องอะไรก็ไปแทะโลมเด็กหนุ่มรูปงามบนถนน’
ตอนนั้นเขาร้องไห้แล้ว
เขาไม่รู้ว่านั่นคือความจริงหรือฝันร้าย แต่กลับรู้ว่าคุณหนูลั่วที่ทำลายชีวิตของเขามาแล้วจริงๆ
ครั้งนี้เขาไม่มีทางนั่งรอความตายอีก เขาต้องลงมือก่อน ถึงจะได้เปรียบ
แต่เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงการเริ่มต้นกลับค้นพบว่าคุณหนูลั่วไม่เหมือนกับในฝัน…
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ซูเย่ากลอกตา จ้องบานประตู
เสียงเคาะประตูหยุดแล้ว ประตูที่ปิดแต่ไม่ได้ลงกลอนถูกผลักให้เปิดออก
ผู้มาเยือนถือดาบ เห็นข้อมือซูเย่ามีเลือดหลั่งรินก็ตกตะลึง จากนั้นก็เดินเข้ามาตรวจดูรอบหนึ่ง แล้วจากไปเงียบๆ
“หลังคนที่ส่งไปเดินทางไปถึงก็พบว่าเอ็นข้อมือของซูเย่าถูกตัดไปแล้วหรือ” ลั่วเฉินฟังรายงานแล้วก็แปลกใจอยู่บ้าง
“พ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วเฉินครุ่นคิดแล้วยิ้ม
เขาพอจะเดาได้ว่าคนที่ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งเป็นใครแล้ว
เขานึกว่าคนที่แอบจับตาดูซูเย่ามีเพียงเขา คิดไม่ถึงว่าจะยังมีไคหยางอ๋องด้วย
อืม ตอนนี้ดูท่า พี่เขยคนนี้ยังคงมีคุณสมบัติเหมาะสม
“หาอาภรณ์ที่จะออกไปข้างนอกให้เรา เราจะไปเยี่ยมหลานชาย”
ขันทีรีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่สวมใส่ทั่วไปให้ลั่วเฉิน จากนั้นก็ออกจากวังไปโดยที่ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ
ในจวนไคหยางอ๋อง ลั่วเซิงกับเว่ยหานกำลังพาบุตรชายที่อายุไม่กี่เดือนดูต้าไป๋ในลาน
ขนของต้าไป๋บางตาเล็กน้อย แต่ยังคงกระปรี้กระเปร่าเช่นเคย ก้าวเดินเอื่อยเฉื่อย ปล่อยให้ผู้คนล้อมดู
“พี่สาว พี่เขย วันนี้พวกท่านว่างๆ นะ” เสียงหัวเราะก้องกังวานของเด็กหนุ่มลอยมา
ลั่วเซิงเห็นว่าเป็นลั่วเฉินก็อดโค้งริมฝีปากไม่ได้ “จะเข้าจวน ทำไมไม่บอกสักคำเพคะ”
ลั่วเฉินเดินเข้ามา นั่งลงข้างกายนาง พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้ไปที่อื่นสักหน่อย”
“วันนี้ไม่ยุ่งหรือเพคะ”
ลั่วเฉินมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้งแล้วตอบว่า “ต่อให้ยุ่งก็ต้องมาเยี่ยมหลานชาย”
เว่ยหานที่ถูกเมินเฉยอยู่อีกด้าน มุมปากกระตุกเงียบๆ
น้องชายภรรยาเอ่ยปาวๆ ว่าคิดถึงหลานชาย แต่กระทั่งสายตาก็ไม่แบ่งให้บุตรชายตัวอ้วนของเขาเลยสักนิด
“แค่กๆ” เว่ยหานไอเบาๆ ในที่สุดก็ดึงดูดความสนใจของลั่วเฉินได้
“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่ามีดำริอย่างไรกับข้อเสนอของเสนาบดีจ้าวและคนอื่นๆ เมื่อสองวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ลั่วเฉินก็ขมวดคิ้วทันที “ข้ารู้สึกว่าพวกเขากังวลเกินไปแล้ว ข้าเพิ่งจะอายุสิบแปด ไม่รีบร้อนเลยสักนิด”
เอ่ยถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็มองไปทางเว่ยหานอย่างสงสัยแวบหนึ่ง “หรือว่าพี่เขยก็อยากให้ข้ารีบแต่งงานด้วยเหมือนกัน”
เว่ยหานเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “บุรุษต้องแต่งภรรยา สตรีต้องออกเรือน ฝ่าบาทก็ถึงช่วงเวลาที่ต้องหารือเรื่องการแต่งงานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วเฉินยิ้มบางๆ “ตอนพี่เขยแต่งงานก็อายุยี่สิบสามแล้ว”
เว่ยหาน “…”
น้องชายของภรรยากำลังเยาะเย้ยเขาที่แต่งภรรยาไม่ได้เสียทีอย่างนั้นหรือ
เขายื่นมือไปโอบลั่วเซิงเอาไว้ หัวเราะเหอะๆ พลางเอ่ยว่า “แต่กระหม่อมปักใจในตัวพี่สาวฝ่าบาทนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นลั่วเฉินที่โมโห
โอ้อวดอะไรกัน
นึกว่าเขาไม่รู้หรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่า ไคหยางอ๋องยึดมั่นในบะหมี่เครื่องผัดก่อน
เขาเคยได้ยินหงโต้วเล่าเมื่อนานมาแล้ว ระหว่างทางเข้าเมืองหลวงในตอนนั้น ไคหยางอ๋องกินบะหมี่เครื่องผัดไปห้าชาม ไม่ได้กินมากกว่านี้ ไม่ใช่เพราะกินอิ่มแล้ว แต่เป็นเพราะเงินไม่พอแล้ว
แบบนี้ เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าไคหยางอ๋องตกหลุมรักพี่สาวแต่แรกเห็น
ลั่วเซิงมองสองคนแข่งขันกันเงียบๆ ก็ถามขึ้นอย่างจนปัญญาว่า “ฝ่าบาทจะอยู่เสวยด้วยไหมเพคะ”
ลั่วเฉินสีหน้าตะลึง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
อย่างไรเสีย การออกจากวังก็ไม่ได้ง่ายเหมือนออกจากจวนในอดีต จะไม่อยู่กินข้าวได้อย่างไร
“พี่สาว ข้าอยากกินชุนปิ่ง ห่อกระเพาะหมูน้ำแดง หมูรมควันฝอยกับกุยช่าย…”
หลานชายตัวน้อยที่ถูกเมินเฉยร้องไห้เสียงดังในที่สุด
ลั่วเฉินถึงได้นึกขึ้นได้ว่ามาเยี่ยมหลานชาย รีบร้อนรับหลานชายจ้ำม่ำมากล่อม “เด็กดีไม่ร้องไห้นะ อีกประเดี๋ยวกินชุนปิ่งด้วยกันกับน้า…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบก็รู้สึกผิดปกติ
เด็กหนุ่มยกมือที่เปียกชื้นขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งความสุขุมขององค์จักรพรรดิ หลงเหลือเพียงความลนลานเท่านั้น “พี่สาว เขาฉี่แล้ว!”
น่ากลัวเกินไปแล้ว เขาไม่มีทางแต่งงานเร็วหรอก!
เว่ยหานรับบุตรชายมานิ่งๆ จุมพิตลงบนใบหน้าอวบของเด็กน้อยครั้งหนึ่ง
ยังคงเป็นบุตรชายที่ใส่ใจ