บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 44 ลองถาม
เฉินตันจูที่กลับไปถึงอารามไม่ได้นิ่งเฉยต่อเรื่องภายนอกเหมือนครั้งก่อน นางจับตาดูเรื่องโลกภายนอกอยู่เสมอ
เฉินตันจูสวมชุดกระโปรงสีเหลือง นั่งอยู่ในศาลาหลังน้อย มือถือพัดกลมพัดไปยังดอกแปะเจียกที่ผลิบานอยู่นอกศาลาอย่างแผ่วเบา บนเกสรของดอกแปะเจียกมีผึ้งน้อยบินขึ้น นางถาม “เช่นนี้ ท่านอ๋องจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วันแล้วใช่หรือไม่?”
อาเถียนพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข่าวกระจายไปทั่วแล้ว ราษฎรจำนวนมากในเมืองต่างเริ่มเก็บของ บอกจะติดตามท่านอ๋อง”
เฉินตันจูพูด “ดีมาก ราษฎรของท่านอ๋องติดตามท่านอ๋อง เป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การรอคอย แล้วเหล่าขุนนางล่ะ?”
อาเถียนมองไปยังจู๋หลินที่อยู่ด้านข้าง นางรู้เพียงเรื่องเล่าในหมู่ราษฎร แต่ข่าวที่แม่นยำกว่านั้นก็ทำได้เพียงถามเหล่าองครักษ์
“ส่วนใหญ่ล้วนติดตามไปขอรับ” จู๋หลินพูด “แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมจากแผ่นดินบ้านเกิดไป”
เป็นเรื่องปกติเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เฉินตันจูเงยหน้า “ข้าอยากรู้ว่ามีขุนนางคนไหนบ้างที่ไม่ไป”
ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ถึงนาทีสุดท้าย ทุกคนล้วนซ่อนเร้นความคิดของตนเอง จู๋หลินลังเลเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าสืบไม่ได้ เพียงแต่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายและแรงใจ
คุณหนูตันจูคงนี้เห็นพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ของตนเองไปเสียจริงๆ แล้ว หรือจะว่าไปสาวรับใช้ของนางให้ไปซื้อของจำนวนมากล้วนยังไม่ได้ให้เงิน…
“เรื่องนี้สำคัญต่อท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน” เฉินตันจูนั่งตัวตรง พูดกับเขาอย่างจริงจัง “เจ้าคิดดู ขุนนางที่นี่ส่วนใหญ่เป็นขุนนางของท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพและฝ่าบาทอยู่ในเมืองหลวงที่ห่างไกลเสมอมา ต่อจากนี้ไม่มีท่านอ๋องแล้ว คนพื้นที่เหล่านี้ทำความรู้จักเป็นมิตรจะดีกว่า”
ความหมายของนางคือหากคนเหล่านี้มีสายของท่านอ๋องอู๋เหลืออยู่? จู๋หลินกระจ่าง เรื่องนี้ควรจะสืบให้ละเอียด “คุณหนูตันจูรอสองวัน พวกข้าจะไปสืบเดี๋ยวนี้”
เฉินตันจูถือพัดพยักหน้าต่อเขา “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
ดวงตาของแม่นางแพรวพราว เต็มไปด้วยความจริงใจจู๋หลินไม่กล้ามองรีบเดินจากไป
เขาจากไปแล้ว เฉินตันจูเอนกายลงบนที่นั่งคนงาม[1] อีกครั้ง ใช้พัดกลมพัดเกสรสีขาวของดอกแปะเจียกต่อ นางย่อมไม่ได้สนใจว่าท่านอ๋องอู๋จะทิ้งสายเอาไว้ หากแต่นางกังวลว่าคนที่เหลืออยู่จะเป็นศัตรูของนาง นางย่อมไม่จากไปอย่างแน่นอน ท่านพ่อ…
เฉินตันจูลุกขึ้นนั่งตัวตรง “ทางท่านพ่อมีการเคลื่อนไหวหรือไม่ เมื่อเช้าเจ้าบอกว่าองครักษ์หลวงเหลือคนไม่มากแล้ว?”
อาเถียนนึกย้อนไปถึงภาพที่เห็นเมื่อเช้า “ไม่มากเท่าแต่ก่อนแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งไม่เป็นระเบียบมากนัก ดูวุ่นวาย บางครั้งมีคนวิ่งไปวิ่งมา…ท่านอ๋องกำลังจะไป พวกเขาย่อมต้องติดตาม ไม่ค่อยเฝ้าดูนายท่านสักเท่าไรแล้ว”
เวลานี้ท่านอ๋องอู๋อาจคิดจะปล่อยท่านพ่อออกมาอีกครั้ง เพื่อให้ท่านไปสังหารฮ่องเต้… เฉินตันจูลุกขึ้นยืน “ในจวนมีคนออกมาหรือไม่ มีคนนอกเข้าไปหานายท่านหรือไม่”
เรื่องนี้นางไม่แน่ใจ อาเถียนรีบหันตัว “ข้าจะให้คนไปถาม”
นอกจากนางจะเข้าเมืองไปดูเองแล้ว นางยังให้องครักษ์คนหนึ่งเฝ้าอยู่ทางจวน…คุณหนูใช้คนเหล่านี้แล้ว นางก็ย่อมใช้งานพวกเขาด้วย
ข่าวถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว
“ในจวนไม่มีคนออกมาเจ้าค่ะ” อาเถียนมองเฉินตันจูด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีคนของท่านอ๋องเข้าไป แต่อยู่แค่หนึ่งถ้วยชา[2]ก็จากไปแล้วไม่รู้ว่าทำเรื่องอันใด”
พวกเขาต้องการให้ท่านพ่อไปตายอีกครั้ง? เฉินตันจูกำพัดในมือแน่น นางเดินวนอยู่หลายก้าว ก่อนจะเรียกองครักษ์มาหานาง “พวกเจ้าหาคนเฝ้าที่จวนของข้า หากท่านพ่อของข้าออกมารั้งเขาเอาไว้ให้ได้ จากนั้นรีบมาบอกข้า” องครักษ์นั้นตอบรับก่อนจากไป
เฉินตันจูมองดูแผ่นหลังของเขา ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งกี่คนมาเฝ้านางเอาไว้? ราวกับมีเพียงสิบคน ไม่พอใช้นัก หากขอเพิ่มจะเป็นการได้คืบจะเอาศอกหรือไม่
องครักษ์หลวงด้านนอกตระกูลเฉินกระจัดกระจาย ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามขององครักษ์หลวง ยืนอย่างละหลวม อีกทั้งยังจับกลุ่มสนทนาในบางครั้ง เพียงแต่ประตูใหญ่ของจวนตระกูลเฉินยังคงปิดสนิท เงียบสงบดุจดั่งตัดขาดจากโลกภายนอก
ตระกูลเฉินตัดขาดจากโลกภายนอกจริง จนกระทั่งวันนี้ท่านอ๋องส่งขุนนางมาคนหนึ่ง พวกเขาถึงได้รู้ว่าในเวลาเพียงครึ่งเดือน บนโลกนี้ไม่มีท่านอ๋องอู๋อีกต่อไป
“สวรรค์เอ๋ย” เฉินเถี่ยเตายืนอยู่ด้านหน้าเฉินเลี่ยหู่ พูดออกมาด้วยความตกใจ “ท่านอ๋องอู๋กลายเป็นท่านอ๋องโจวไปแล้วคิดได้อย่างไรกัน”
ตอนที่ท่านอ๋องส่งคนมาแต่เฉินเลี่ยหู่ไม่ได้พบบอกว่าป่วยไม่รับแขก แต่คนนั้นไม่ยอมจากไป อีกทั้งเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินเลี่ยหู่เสมอมา ก่วนเจียไร้ซึ่งวิธีจึงทำได้เพียงถามเฉินตันเหยียน
เฉินตันเหยียนก็ไม่อยากพบบอกว่านางในฐานะบุตรสาวไม่อาจขัดขืนท่านพ่อได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการอกตัญญู แต่นางก็ไม่อาจไม่เคารพต่อท่านอ๋อง ดังนั้นจึงเชิญนายท่านรองเฉินมาพบแขก
เฉินเถี่ยเตาออกมารับแขกหลังจากที่ได้ฟังจุดประสงค์การมาของเขาแล้ว แต่เนื่องจากไม่ใช่นายท่านจึงไม่อาจให้คำตอบเขาได้ ทำได้เพียงรอส่งต่อให้เฉินเลี่ยหู่จากนั้นจึงให้คำตอบ แขกจึงทำได้เพียงจากไป
เฉินเถี่ยเตาได้ยินเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างมาก เขาถึงกับทำกริยาไม่ดีออกมาต่อหน้าคนในตระกูล
ครึ่งเดือนมานี้เฉินเลี่ยหู่ผอมซูบลงไปอย่างมาก สีหน้าเหลือง ผมและหนวดเคราเป็นสีขาว สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ได้ยินว่าท่านอ๋องอู๋กลายเป็นท่านอ๋องโจวก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใด เพียงแค่พูด “มีอันใดในใจ ก็พูดออกมาได้”
ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องไม่สำคัญอย่างกับอากาศวันนี้เป็นอย่างไร
เฉินเถี่ยเตามองก่วนเจี่ย ก่วยเจียก็ไม่ตอบรับเขา ทำได้เพียงถามเอง “ท่านอ๋องจะไปแล้ว ท่านอ๋องเชิญท่านมหาราชครูไปด้วย บอกว่าเรื่องก่อนหน้านี้เขาสำนึกผิดแล้ว”
เฉินเลี่ยหู่ส่ายหัว “ท่านอ๋องพูดเล่นแล้ว ท่านอ๋องผิดอันใด ท่านอ๋องไม่ผิด ข้าเองก็ไม่โกรธ…ไม่โกรธแม้แต่น้อย”
เช่นนั้น…เฉินเถี่ยเตาถาม “พวกเราจะตามท่านอ๋องไปหรือไม่”
ไม่ว่าอย่างไร เฉินเลี่ยหู่ยังคงเป็นท่านมหาราชครูของเมืองอู๋ แตกต่างจากขุนนางคนอื่นของท่านอ๋อง มหาราชครูตระกูลเฉินเป็นฐานันดรศักดิ์ที่สามารถสืบทอดต่อได้ อีกทั้งยังอยู่เคียงข้างท่านอ๋องอู๋เสมอมา
เฉินเลี่ยหู่ไม่ตอบ สีหน้าเรียบเฉยดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอันใด
“อีกอย่าง” เฉินเถี่ยเตาครุ่นคิด ก่อนจะเล่าอีกเรื่องขึ้น “เฉินตันจูอยู่ด้านนอกนางถูกคนรังแก”
ดวงตาของเฉินเลี่ยหู่เบิกกว้าง แต่นาทีถัดมาก็หลุบต่ำลง เพียงแต่มือที่วางอยู่บนเก้าอี้กำแน่น
“ตระกูลเรา ไม่มีคนที่ชื่อเฉินตันจู” เฉินเถี่ยเตาไม่เกลี้ยกล่อมเขา แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ทำเป็นไม่ได้ยิน
“แต่ว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ตันจูฟ้องที่ว่าการ คนนั้นได้รับโทษแล้ว เฮ้อ…พูดถึงคนนั้น ข้ายังไม่อยากเชื่อ” เขาพูดอย่างขุนเคือง “เขาคือคุณชายรองตระกูลหยาง รู้หน้าไม่รู้ใจเสียจริง!”
เฉินเลี่ยหู่หลุบตาต่ำไม่พูดอันใด
“ใต้เท้าฉีบอกว่า เป็นเพราะพี่ใหญ่ท่านเป็นแบบนี้ ตระกูลเฉินของพวกเราล่มสลายแล้ว ดังนั้นตันจูจึงถูกรังแก” เฉินเถี่ยเตาพูดอย่างระมัดระวัง “แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับตระกูลเราล้วนได้ทีขี่แพะไล่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เกลียดพวกเรา”
ดังนั้นหากต้องการปกป้องบุตรสาว ไม่ให้บุตรสาวถูกคนเหยียดหยาม ตระกูลเฉินต้องได้รับความสำคัญจากท่านอ๋อง ถึงจะได้อำนาจกลับคืนมา
เรื่องเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของแม่นาง ในฐานะผู้อาวุโสเฉินเถี่ยเตาไม่อาจพูดตรงไปตรงมากับเฉินเลี่ยหู่ อีกทั้งเป็นกังวลว่าเฉินเลี่ยหู่จะโกรธจนล้มป่วย แต่เฉินตันเหยียนผู้เป็นพี่สาวได้ยินเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
“ไม่คิดว่าคุณชายรองหยางจะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณหนูรองได้!” เสี่ยวเตี๋ยพูดอย่างขุ่นเคือง “ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแบบนั้น”
เฉินตันเหยียนนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงหัวเราะเยาะตนเองขึ้นมา “ผู้ใดจะดูออกว่าคนอื่นเป็นคนอย่างไร”
เสี่ยวเตี๋ยไม่กล้าพูดในทันที เฮ้อ หลี่เหลี่ยง…
เฉินตันเหยียนไม่อยากพูดถึงหลี่เหลียง
“นางทำเรื่องเหล่านั้น เวลานี้ท่านพ่อเป็นเช่นนี้อีก คนเหล่านั้นไร้ที่ระบาย นางอยู่ด้านนอกตัวคนเดียว…” เขาถอนหายใจไม่พูดอันใดต่อ ภายใต้รังที่พังทลายจะมีไข่ที่ไม่แตกได้เยี่ยงไร “ดังนั้นใต้เท้าฉีมาเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อกลับไปอยู่เคียงข้างท่านอ๋อง ออกเดินทางไปเมืองโจวหรือ”
เสี่ยวเตี๋ยพยักหน้า “ท่านอ๋อง ไม่อาจไม่มีนายท่านได้”
ส่วนนายท่านก็ไม่อาจไม่มีท่านอ๋องได้
เวลานี้นายน้อยจากไปแล้ว หลี่เหลียงตายแล้ว คนในตระกูลมีทั้งคนชรามีทั้งเด็กเล็ก ตระกูลเฉินเปรียบเสมือนเรือเล็กที่โยกไปมาท่ามกลายสายฝนและพายุ มีเพียงนายท่านที่สามารถประคองตระกูลขึ้นมาได้
นายท่านเป็นขุนนางของท่านอ๋อง ไม่ติดตามท่านอ๋องได้อย่างไร
พวกเขาต้องเตรียมตัวย้ายไปตามท่านอ๋องอู๋แล้ว?
เฉินตันเหยียนเงียบไปสักพัก “รอท่านพ่อตัดสินใจเถิด” หลังจากพูดจบประโยคนี้กระแอมไอหลายครั้ง สีหน้าแดงก่ำ ลมหายใจไม่เสถียร เสี่ยวเตี๋ยตกใจจนป้อนน้ำป้อนยา ผ่านไปสักพักเฉินตันเหยียนถึงดีขึ้น แต่หลับตาลงเพราะสูญเสียพลังไปมาก
เสี่ยวเตี๋ยมองดูใบหน้าซีดเผือดของเฉินตันเหยียน ไต้ฟูบอกว่าคุณหนูเสียใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นยาจึงไม่อาจฟื้นฟูจิตใจได้ หากเปลี่ยนสถานที่ออกจากเมืองอู๋แห่งนี้ คุณหนูอาจดีขึ้นเสียบ้าง?
เขามองเฉินตันเหยียนนอนหลับ ปลดผ้าม่านลงถอยออกไปอย่างเบามือ
เฉินตันเหยียนภายในม่านลืมตาขึ้น ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดริมฝีปาก ร่ำไห้เสียงเงียบ
เวลานี้นางไม่กล้าร่ำไห้ต่อหน้าผู้อื่น ไร้เหตุผลในการร่ำไห้ ไร้คนที่ต้องร่ำไห้ให้
…
เฉินตันจูเฝ้าดูทางนี้ นางทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าขุนนางคนนั้นมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเฉินเลี่ยหู่ แต่ไม่ได้เกลี้ยกล่อมเฉินเลี่ยหู่ไปสังหารฮ่องเต้ แต่มาเชิญเขาเดินทางไปพร้อมกับท่านอ๋อง
“สุดท้ายก็ไม่มีนายท่านไม่ได้” อาเถียนเบะปาก “เดินทางไปถึงสถานที่ใหม่อย่างเมืองโจว ท่านอ๋องต้องการให้นายท่านคุ้มครอง ต้องการให้นายท่านออกรบ”
เฉินตันจูเหม่อลอยไม่พูดอันใด
อาเถียนมองนางด้วยความกังวล ตอนที่ท่านอ๋องไม่ต้องการนายท่าน นายท่านยังออกแรงทำเพื่อท่านอ๋องด้วยชีวิต ตอนที่ท่านอ๋องต้องการนายท่าน เพียงแค่ประโยคเดียวนายท่านก็ยอมบุกน้ำลุยไฟ
นายท่านย่อมต้องติดตามท่านอ๋องออกจากเมืองอู๋ไปเมืองโจว คนในตระกูลล้วนไป? คนอื่นยังดี แต่คุณหนูรอง…
“คุณหนู” อาเถียนถาม “ทำอย่างไรดี”
เฉินตันจูถูกคำถามของนางดึงสติกลับมา นางไม่เคยคิดว่าหากท่านพ่อติดตามท่านอ๋องไปเมืองโจวจะทำอย่างไร นางยังคงระแวงว่าท่านอ๋องอู๋จะเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อไปสังหารฮ่องเต้…ท่านอ๋องถูกฮ่องเต้ขับไล่ออกมา ทั้งเสียศักดิ์ศรีทั้งน่าสงสาร ขุนนางย่อมต้องแบ่งเบาความกังวลให้ท่านอ๋อง
“หากจะไป…ก็ไป”
ท่านอ๋องกล้าพาพวกเขาไปนางย่อมกล้าติดตาม นางจะคอยจับตาดูท่านอ๋องไม่ให้เขาทำร้ายคนในตระกูลอีก
เมื่อได้ยินคำตอบของนาง อาเถียนจึงโล่งใจ จริงสิก็แค่ไป กลัวอันใด แม้แต่หลี่เหลียงคุณหนูยังกล้าสังหาร กล้าที่จะไม่ให้ฮ่องเต้นำทหารเข้าเมืองอู๋ กล้าใช้องครักษ์ของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก บนโลกนี้ยังมีสิ่งใดน่ากลัวอีก!
“คุณหนูตันจู” จู๋หลินเดินเข้ามา ในมือถือหนังสือม้วนเล่มหนึ่ง “รายชื่อขุนนางที่จะอยู่ในเมืองอู๋ที่ท่านต้องการ พวกข้าได้มาส่วนหนึ่ง”
เฉินตันจูรับมา ก่อนจะกวาดตาดูอย่างรวดเร็ว เฮอะ จำนวนคนไม่น้อย รายชื่อเหล่านี้แค่ส่วนหนึ่ง?
“เหล่านี้คือขุนนางคนสนิทของท่านอ๋อง ขุนนางคนอื่นยังมีจำนวนมาก คุณหนูรออีกสองสามวัน”
จู๋หลินถามขึ้น “หากคุณหนูต้องการ ท่านสามารถเขียนรายชื่อให้ผู้ใดอยู่ผู้ใดไม่อยู่”
นางบอกให้ผู้ใดอยู่ ผู้นั้นย่อมอยู่หรือ เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้ เฉินตันจูส่ายหัว “ข้าจะทำเรื่องนั้นได้อย่างไร หากข้าทำ ข้าคงเป็นท่านอ๋องเสียยิ่งกว่าท่านอ๋องอีก”
นางพูดพลางหัวเราะขึ้นมา จู๋หลินไม่พูดอันใด ประโยคนี้เขาไม่ได้เป็นคนพูด หลังจากที่รู้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด ท่านแม่ทัพจึงบอกว่าไม่ต้องมาวุ่นวาย นางอยากให้ผู้ใดอยู่ก็เขียนลงมา แต่ในเมื่อคุณหนูตันจูไม่ต้องการก็ช่างเถิด
เขาหันหลังกำลังจะเดินจากไป แต่ได้ยินเสียงของเฉินตันจูถามขึ้น “เหตุใดจางเจี้ยนจวินไม่ไป”
ตระกูลจางอาศัยบุตรสาว บุตรสาวเป็นคนของท่านอ๋องอู๋ ชาตินี้ท่านอ๋องอู๋ยังไม่ตาย
เรื่องนี้จู๋หลินพอจะรู้ข่าวมา แต่เขาพูดไม่ได้ ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เหมือนจะอยู่กับจางเหม่ยเหริน จางเหม่ยเหรินป่วยไม่อาจเดินทางไปกับท่านอ๋องได้ชั่วคราว”
ทันที่ที่เขาพูดจบ ก็เห็นแม่นางตรงหน้าลุกขึ้นยืนถลึงตาใส่เขา
————————————————-
[1]ที่นั่งคนงาม หมายถึง ม้านั่งตัวยาว ทำมาจากไม้ทั้งชิ้น ด้านหลังจะมีพนักพิงที่มีลักษณะโค้งยื่นออกไปด้านหลังคล้ายกับคอของห่านเพื่อให้ให้สะดวกสบายต่อการนั่ง
[2]หนึ่งถ้วยชา หมายถึง หน่วยนับเวลาแบบจีนโบราณ ประมาณเป็นเวลาสิบนาที