บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 400 กังวล
ภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ขันทีและนางในเดินเข้าๆ ออกๆ ข้างเตียงหลัวฮั่นในห้องด้านข้างวางโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทนั่งด้วยกันโดยไม่แบ่งโต๊ะ
“เสด็จพ่อลองเสวยอันนี้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทถลกแขนเสื้อ คีบเนื้อปลานึ่งชิ้นหนึ่งวางไว้ตรงหน้าของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เขาใช้ตะเกียบคีบกิน พลันพยักหน้า “ไม่เลวๆ” พลันบอกให้อีกฝ่ายรินสุรา “กินคู่กับสุรานี้ยิ่งดี”
องค์รัชทายาทรินสุราให้ฮ่องเต้ “เสด็จพ่ออย่าทรงดื่มมาก บรรดาหมอหลวงบอกว่าพระองค์มิอาจทรงดื่มสุรามากในเวลากลางคืน มิฉะนั้นจะทรงปวดหัว”
ฮ่องเต้ไม่พอใจเล็กน้อย “แม้แต่เจ้าก็ยังมาห้ามข้า”
องค์รัชทายาทตรัสด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมห้ามเสด็จพ่อ เพื่อให้พระองค์สามารถดูแลกระหม่อมได้ดียิ่งขึ้นนานยิ่งขึ้น”
ฮ่องเต้ยิ้มพลันยกจอกสุราขึ้น พ่อลูกสองคนชนแก้วดื่มพร้อมกัน
“วันนี้อวี๋หยงก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา โชคดีที่เจ้ารับรองแขกอยู่ด้านหน้า” ฮ่องเต้ตรัสพลางถอนหายใจ “ไม่ได้ทำให้ราชวงศ์อับอาย”
องค์รัชทายาทตรัส “เสด็จพ่ออย่าตรัสเช่นนี้ มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อม…น้องหกเขา เสด็จพ่อพระองค์อย่าทรงโกรธนักเลย”
เมื่อเอ่ยถึงองค์ชายหก ฮ่องเต้ก็ดื่มสุราไม่ลง ทั้งโกรธทั้งระอา “ลูกทรพีคนนี้ ไม่ได้สั่งสอนให้ดีแต่เด็ก เวลานี้จึงหยิ่งยโสเช่นนี้”
องค์รัชทายาทเกลี้ยกล่อม “อย่างไรน้องหกร่างกายไม่แข็งแรง นิสัยอาจประหลาดไปเสียบ้าง”
ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “เขาร่างกายไม่ดีก็สมควรที่จะทำให้ผู้อื่นลำบากหรือ เดิมทีข้าคิดว่าเขาน่าสงสารที่ต้องอยู่ในซีจิงตัวคนเดียว เวลานี้แผ่นดินสงบสุข ข้ามีเวลาดูแลเขามากขึ้น ดังนั้นจึงรับเขามา ไม่คิดว่าเพิ่งมาถึงจะกลายเป็นเช่นนี้”
เขากำลังอธิบายต่อว่าเหตุใดเขาจึงรับองค์ชายหกมา องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่ออย่าทรงรีบร้อนนัก เพิ่งมา ค่อยๆ สั่งสอน”
ฮ่องเต้ส่ายมือ “ข้าเห็นชัดแล้ว เวลานี้เขาเติบใหญ่ นิสัยอยู่เหนือการควบคุมนานแล้ว ไม่อาจสั่งสอนได้ ให้เขากลับซีจิงไปเถิด ไม่เห็นย่อมไม่รำคาญใจ”
องค์รัชทายาทถือตะเกียบพลันเอ่ย “เช่นนั้นคงไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ เขาตัวคนเดียว…”
“ไม่ใช่ตัวคนเดียว” ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ยังมีเฉินตันจูอีก ลูกทรพีเหลวไหลก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ มัดเฉินตันจูติดกับเขา ส่งกลับไปซีจิง เช่นนี้ย่อมไม่รำคาญใจแล้ว”
องค์รัชทายาทลังเลเล็กน้อย “คุณหนูตันจูเหมาะสมกับน้องหกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูดอย่างเรียบเฉย “ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเหมาะสมหรือไม่ สำคัญคือเรื่องนี้เหมาะสม”
องค์รัชทายาทก้มหน้าพูด “เสด็จพ่อ ถึงแม้กระหม่อมจะไม่โปรดเฉินตันจู แต่ก็ไม่สมควรให้น้องหกต้องเดือดร้อนไปด้วย”
ฮ่องเต้ส่ายมือ “ไม่ต้องกังวล ทั้งสองคนล้วนไม่ใช่คนอยู่สุข ให้พวกเขาบั่นทอนกันเองเถิด” ตรัสถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง “แต่ถึงแม้มู่หยงจะเลวร้าย ข้าก็จะหาพระชายาที่เหมาะสมให้เขา เจ้าให้พระชายาของเจ้าดูว่าสตรีตระกูลใดเหมาะสม ไม่ต้องดูที่ตระกูล เพียงแค่นิสัยดี สามารถอยู่กับมู่หยงได้ ทำให้เขากลับตัวกลับใจ ต่อจากนี้เจ้าก็กังวลเรื่องเขาให้น้อยลงได้”
สีหน้าขององค์รัชทายาททั้งเศร้าโศกทั้งดีใจ เขาลุกขึ้นคุกเข่าลง “กระหม่อมขอบพระทัยเสด็จพ่อ กระหม่อมขอบพระทัยเสด็จพ่อแทนมู่หยง”
ฮ่องเต้ยื่นมือ “รีบลุกขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่พี่ใหญ่อย่างเจ้าต้องขอบคุณ มันเป็นหน้าที่ของบิดาอย่างข้า”
องค์รัชทายาทลุกขึ้นตามคำสั่ง สีหน้าทั้งเศร้าโศกทั้งละอาย “เสด็จพ่อทรงเป็นบิดา แต่ก็ทรงเป็นจักรพรรดิ เรื่องที่น้องห้าทำช่างไม่อาจให้อภัยได้”
ฮ่องเต้พยักหน้า “การเป็นจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ต่อจากนี้อวี๋หยงอยู่ในเมืองซีจิง มู่หยงขังไว้ที่นี่ ไม่แต่งตั้งฐานันดรให้ทั้งสองคน ให้ทั้งสองคนเป็นองค์ชายไปทั้งชีวิตอย่างไม่ต้องกังวล ซิวหยงผลักดันการสอบรับราชการจนกลายเป็นบรรทัดฐาน เขาถูกแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้ว พระราชทานความดีความชอบและรางวัลให้เขาอีกก็เพียงพอ เช่นนี้เรื่องของบ้านเมืองล้วนสงบ เจ้าย่อมสามารถวางใจ”
คำว่าต่อจากนี้หมายความว่าอย่างไร องค์รัชทายาทย่อมรู้ดี เขาทั้งตื้นตันทั้งเสียใจ “มีเสด็จพ่ออยู่ กระหม่อมย่อมสามารถวางใจ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้ม “ระหว่างพวกเราพ่อลูกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้าต้องจดจำฐานะของตนเองเอาไว้ เตรียมตัวหากข้าไม่อยู่ ข้าเคยบอกเจ้าตั้งแต่เจ้าอายุสามปี”
เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต องค์รัชทายาทก็อดบ่นไม่ได้ “เสด็จพ่อ เวลานั้นกระหม่อมยังเป็นเด็กอายุสามขวบ จะรู้เรื่องมากมายได้อย่างไร เฮ้อ ตอนนั้นกระหม่อมตกใจแทบแย่ คิดว่าจะสูญเสียเสด็จพ่อไปทันทีเสียอีก”
สีหน้าของฮ่องเต้เศร้าโศก “ข้าก็ไร้หนทาง เวลานั้นข้ามักรู้สึกว่าจะรอจนเจ้าเติบใหญ่ไม่ได้”
เวลานี้ขันทีจิ้นจงเดินเข้ามา รินสุราให้คนทั้งสองจนเต็ม “ฝ่าบาทไม่อาจทรงดื่มสุราได้เสียจริง เมื่อทรงดื่มก็จะระลึกถึงเรื่องในอดีต วันเวลาที่ทุกข์ยากล้วนผ่านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อกำลังระลึกถึงความขมขื่นคำนึงถึงความหวาน”
ฮ่องเต้หัวเราะร่า ยกจอกสุราขึ้น “เมื่อวันเวลาที่ทุกข์ยากยังไม่ผ่านไปไม่อาจระลึกถึงบ่อยนัก แต่เมื่อวันเวลาที่ทุกข์ยากผ่านไปแล้ว กลับไม่อาจลืม”
มื้อดึกรอบหนึ่งดื่มด่ำกันทั้งพ่อทั้งลูก องค์รัชทายาทดื่มจนมึนเมาเล็กน้อย เขาทูลลาพลันถูกฝูชิงพยุงขึ้นเกี้ยวกลับตำหนักวังบูรพาไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท
พระชายาองค์รัชทายาทยืนต้อนรับอยู่นอกตำหนัก พลางเข้าไปพยุงพลางพูด “เตรียมน้ำแกงแก้เมาให้องค์รัชทายาทแล้วเพคะ”
แต่หลังจากองค์รัชทายาทลงจากเกี้ยวก็หายจากความมึนเมา เขาสะบัดนางออก เดินตรงปรี่เข้าไปโดยไม่พูดสิ่งใด
ขันทีและนางในด้านข้างก้มหน้าทำเป็นไม่เห็น สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทแปรเปลี่ยนจากแดงก่ำเป็นซีดเผือด
องค์รัชทายาททรงถูกฝ่าบาทตำหนิจึงอารมณ์ไม่ดี นางทำได้เพียงปลอบตนเองเช่นนี้
…
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท” ฝูชิงเดินตามอย่างรีบร้อน
องค์รัชทายาทเดินเข้าห้องทรงพระอักษร ปลดผ้าคาดเอวโยนลงพื้นอย่างแรง
ฝูชิงรีบปิดประตูลง แต่ก็ไม่กล้าก้มหยิบ “องค์รัชทายาท ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงรู้เรื่องแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทตรัส “ซู่เอ๋อตายแล้ว นอกจากนี้วาจาของฝ่าบาทในคืนนี้ล้วนกระแทกกระทั้นข้า” เขาเล่าสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสให้ฝูชิงฟัง
เมื่อฝูชิงได้ยินจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องในวังหลวงไม่อาจปิดบังฝ่าบาทได้ แต่ก็เหมือนกับที่พวกเราคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ฝ่าบาททรงรู้ว่าพระองค์มีความแค้นกับเฉินตันจู ดังนั้นการกระทำในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกทั้งพระองค์ยังตรัสว่าจะส่งองค์ชายหกกับเฉินตันจูออกนอกเมืองหลวง ดูท่าทางพระองค์จะไม่ทรงโปรดองค์ชายหกกับเฉินตันจูมากนักเสียจริง องค์รัชทายาทไม่ต้องทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทยิ้มเย็น “ไม่โปรดหรือ หากไม่โปรดพวกเขาจริงก็ควรจะขังองค์ชายหกไว้ในเมืองหลวงเหมือนน้องห้า ประหารเฉินตันจูทิ้งเสีย สุดท้ายเล่า พระองค์ทรงให้พวกเขาทั้งสองอภิเษกกัน ให้พวกเขากลับไปเป็นอิสระในเมืองซีจิง!”
เขามองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเย็นชา
“น้องหกพักอยู่นอกวังมานานหลายปี แต่น้ำเสียงเมื่อเสด็จพ่อทรงเอ่ยถึงเขากลับคุ้นเคยอย่างมาก อีกทั้งยังปกป้องเช่นนี้ ฝูชิง เจ้าจับตาดูจวนองค์ชายหกเอาไว้ อย่าปล่อยผ่านแม้แต่น้อย”
ฝูชิงก้มหน้าตอบรับ
…
เวลาดึก ถึงแม้งานเลี้ยงในวันนี้จะทำให้คนเหนื่อยล้า แต่คนจำนวนมากก็ไม่อาจหลับลงได้
ภายในจวนท่านอ๋องฉี ฉู่ซิวหยงมองโจวเสวียนอย่างระอา “ถึงแม้เวลานี้ข้าจะมีจวนของตนเอง ไม่ถูกปิดกั้นจากวังหลวง แต่เจ้าก็ไม่อาจมาหาข้าได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าเป็นท่านโหวที่มีอำนาจทางการทหารผู้หนึ่งนะ”
โจวเสวียนไม่สนใจ “ไม่มีคนเห็นว่าข้าออกมา หรือเข้าจวนท่านอ๋อง ท่านก็สามารถรับรองได้ว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นข้า ข้าทำสิ่งใดท่านวางใจได้ ท่านทำสิ่งใดข้าก็วางใจได้ มีเรื่องใดต้องกังวล” เขาขมวดคิ้วมุ่น “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ องค์ชายหกโผล่ออกมาได้อย่างไร”
ท่านอ๋องฉีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเขา”
แต่เหมือนว่าเฉินตันจูจะสนิทกับเขาอย่างมาก
เฉินตันจูไปมาหาสู่กับองค์ชายหกมากว่าองค์ชายอื่นๆ จริง
เฉินตันจูอาละวาดเส้าฝู่เจี้ยนเพื่อองค์ชายหก อีกทั้งยังไปเยือนจวนองค์ชายหกพร้อมองค์หญิงจินเหยา
พี่ชายอย่างพวกเขายังไม่เคยไปมาก่อน
ความสนิทนั้นไม่เหมือนกับเคยพบหน้ากันเพียงสองครั้ง ฉู่ซิวหยงนึกย้อนไปถึงเรื่องที่พบในสวนดอกไม้วันนี้ นับแต่องค์ชายหกปรากฏตัว สายตาของเฉินตันจูก็หยุดอยู่ที่เขาเสมอ
“เขาเป็นอย่างไร” โจวเสวียนพูด “ข้าไปดูที่จวนองค์ชายหกก็รู้แล้ว”
ความคิดของฉู่ซิวหยงถูกขัด เขารีบยื่นมือรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “อย่าเหลวไหล! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”
โจวเสวียนโกรธ “ฝ่าบาททรงให้เขาอภิเษกกับเฉินตันจูแล้ว จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร! เขาสามารถหาถุงแห่งโชคห้าใบมาได้ ข้าทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ เขาใกล้ตายแล้ว ฝ่าบาทพระราชทานพระชายาให้เขา ท่านพ่อของข้าตายแล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่พระราชทานภรรยาให้ข้าด้วย”
ชายหนุ่มร้อนใจ ฉู่ซิวหยงยิ้มอย่างเห็นใจ พูดขึ้น “เจ้าอย่าใจร้อน สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่การอภิเษก หากแต่เป็นองค์รัชทายาท”
โจวเสวียนสูดลมหายใจเข้า ยิ่งไม่พอใจ “ข้าเตือนท่านแล้ว เหตุใดจึงปล่อยให้แผนการขององค์รัชทายาทสำเร็จได้”
อันที่จริงแผนการขององค์รัชทายาทไม่ได้สำเร็จ เพราะเป้าหมายขององค์รัชทายาทคือเขา เฉินตันจูรับแทนเขาเอาไว้…
“อาเสวียน เจ้ารู้หรือไม่ ตันจูนาง...” ฉู่ซิวหยงพูดขึ้นก่อนจะหยุดลง
โจวเสวียนได้ยินคำว่าตันจูจึงมองจ้องเขา “นางเป็นอันใด”
ฉู่ซิวหยงส่ายหัว “ไม่เป็นใด เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงอีก อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทเคลื่อนไหวครั้งแล้วครั้งเล่า นับวันยิ่งใจกล้ามากขึ้น พวกเราไม่อาจรอได้อีกต่อไป”
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าเคยบอกว่าให้ลงมือได้แล้ว ท่านทรงคิดมากเกินไป”
เสี่ยวชวีเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดเตือนเสียงเบา “ท่านโหว ท่านควรไปได้แล้ว ชิงเฟิงมาหาท่านแล้ว”
โจวเสวียนไม่ได้บอกลาฉู่ซิวหยง “เตรียมการเสร็จแล้วบอกข้าด้วย”
ฉู่ซิวหยงไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ หากแต่ให้เสี่ยวชวีส่งอีกฝ่ายออกไป ส่วนตนเองเดินเข้าห้องด้านในอย่างเชื่องช้า รับสั่งให้นางในที่กำลังจะปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุดถอยลงไป เขามองคนในกระจกก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พูดในสิ่งที่ยังพูดไม่จบก่อนหน้านี้
“…เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นคุณหนูตันจูนางบอกกับเสด็จแม่ว่า ไม่รู้พระสนมจะทรงเชื่อหรือไม่ แต่นางหวังว่าท่านอ๋องฉีจะมีชีวิตที่ดี”
วันนี้เสด็จแม่พูดเรื่องเฉินตันจูกับเขามากมาย แสร้งโง่แสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างไร ต่อรองราคาอย่างไร แต่เขายังจดจำประโยคนี้ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาอยากพูดประโยคนี้ของเฉินตันจูให้คนอื่นรู้ แต่เมื่อเห็นโจวเสวียน เขาก็ไม่อยากพูดออกมา ประโยคนี้เป็นของเขาคนเดียว ไม่อยากแบ่งปันผู้อื่น
ฉู่ซิวหยงกุมหน้าอกเอาไว้ แผนการขององค์รัชทายาทไม่อาจทำร้ายเขาได้ แต่กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บมากกว่าทำร้ายตัวของเขา
“เสี่ยวชวี” เขาเรียก
เสี่ยวชวีที่เพิ่งส่งโจวเสวียนออกไปกลับเข้ามาจากด้านนอกจึงรีบขานรับ
“เชิญหมอหลวงจางมาหน่อยเถิด” ฉู่ซิวหยงพูด “อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายนัก”