บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1464 โลหิตเทพหลั่งริน
บทที่ 1464 โลหิตเทพหลั่งริน
……………………………………………………………………..
บทที่ 1464 โลหิตเทพหลั่งริน
หนึ่งประกายกระบี่สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดแก่โลกทั้งใบ!
การออกกระบี่ของปราชญ์เฒ่าครั้งนี้สังหารสามขุนพลสังหารเทพของนิกายอำนาจเทวะ ทลายวงล้อชะตาวิถีสวรรค์ กำจัดค่ายกลขจัดเทพ มันทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ทรงพลังร้ายกาจเสียจนสามารถทิ้งร่องรอยหนักหนาสาหัส จารึกไว้ในประวัติศาสตร์!
นี่คืออานุภาพของนายท่านสี่แห่งเขาเทพพยากรณ์ เขาค้นคว้าตำรามาชั่วชีวิตดุจบัณฑิตอวดรู้ ไม่ได้ออกจากสำนักมาหลายปี แต่เมื่อออกมายามนี้ เขาก็ปักใจทวงแค้น สังเวยอายุขัยหมื่นปีของตนอย่างไม่ลังเล เพียงเพื่อขจัดเภทภัย คืนความสงบสุขแก่โลกหล้า เป็นชั่วเวลาบ้าคลั่งอันหาได้ยากยิ่ง!
ขณะนี้ ค่ายกลขจัดเทพถูกทำลายลง ทำให้เฉินซีและพวกได้รับการช่วยเหลือ และเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า คนทั้งหลายล้วนตกตะลึงพูดไม่ออก มิอาจสงบตนลงได้เนิ่นนาน
นี่คืออำนาจอหังการ ยิ่งใหญ่สะท้านสรรพสิ่ง!
แต่บางคนไม่ได้คิดเช่นนั้น เช่นหลียางซึ่งอดร้อนใจไม่ได้ ยามเห็นว่าปราชญ์เฒ่าดูคล้ายไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ จิตวิญญาณโรยราปวกเปียก กระอักไอรุนแรงไม่จบสิ้น หยาดโลหิตเทพซึมไหลจากมุมปาก
“เจ้าเฒ่าสารเลว! ไม่ใส่ใจชีวิตตัวเอง! หากศิษย์พี่ใหญ่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คงไม่ยอมให้เจ้ามาที่นี่แน่!” หลียางรีบร้อนเข้าไปพยุงปราชญ์เฒ่า
นางตระหนักชัดเจนว่าประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ ทรงอำนาจเพียงใด และยิ่งตระหนักชัดเจนว่าปราชญ์เฒ่าทำร้ายรากฐานของตนเองโดยออกกระบี่หนนี้ ทำให้เขาไร้กำลังจะสู้ศึกต่อไป
เขาถึงขนาดที่ไม่มีทางฟื้นจากบาดแผลเช่นนี้ได้หากไม่พักสักพันปี ส่วนอายุขัยที่ใช้ไปนั้นก็ไม่มีทางได้คืนมาเลย เว้นแต่จะสามารถก้าวเดินต่อบนเส้นทางวิถีเทพได้สักก้าว
“ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นโอกาสถลำตนอันหาได้ยากสำหรับข้า ย่อมต้องทุ่มสุดกำลังเป็นธรรมดา!” ปราชญ์เฒ่าโบกมือ กระทำตัวดุจวีรชน ยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่
หลียางเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หยุดเขา นางทำเพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า
“เจ้าบังอาจฆ่าพี่น้องของข้าไปถึงสาม! ปราชญ์เฒ่าสมควรตาย! ข้าจะล้างสกุลเจ้าให้สิ้น!!” ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงกู่ก้องของฉือเหลียนสะท้านสะเทือนขึ้นเหนือนภา เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโทสะอันล้นทะลัก
“ฮึ! พวกเจ้าบีบให้ศิษย์น้องสี่ของข้าต้องสังเวยอายุขัยของตน ใช้ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อออกมา! คิดบัญชีเรื่องนี้กันก่อนดีกว่ากระมัง!” ขณะเดียวกัน เสียงอันเดือดดาลของเที่ยอวิ๋นไห่ก็ก้องกังวาน เขาเดือดแค้นไม่แพ้กัน เหมือนว่าในใจ อายุขัยของปราชญ์เฒ่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ตู้ม!
ศึกระหว่างเทพเหนือนภาดุเดือดเข้มข้น แสงสว่างเจิดจ้ากลางเวหา ขณะที่มิติปั่นป่วนทั่วทิศ ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ ขณะนี้ กระทั่งราชันเซียนยังไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าสู่สมรภูมิ เพราะพวกเขามีแต่นำชีวิตไปทิ้งที่นั่น
“ไม่ต้องหรอก ศิษย์พี่สามมีอุปนิสัยแข็งกร้าวไม่ยืดหยุ่น หากพวกเจ้าไปช่วย มีแต่จะถูกเขาด่าสาปส่งเสียมากกว่า เขาจะคิดว่าพวกเจ้าประเมินเขาไว้ต่ำ ซึ่งไม่ดีเลย” ปราชญ์เฒ่าเอ่ยขึ้นก่อนหลียาง ปฏิเสธความปรารถนาดีของคนอื่น ๆ ทันที
ชายชราไม่ได้ดูถูกผู้อื่น แต่เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับเที่ยอวิ๋นไห่อย่างยิ่ง จึงตระหนักชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของเที่ยอวิ๋นไห่เพียงพอรับมือศัตรูของตนเท่านั้น
“ว่าด้วยเหตุผลแล้ว เนตรทัณฑ์สวรรค์ควรดับสูญไปเมื่อค่ายกลขจัดเทพถูกทำลายสิ เพราะเหตุใดมันจึงยังลอยอยู่ที่นั่น?” จู่ ๆ หลียางก็พึมพำขึ้นด้วยสีหน้าเจือความงุนงง
คนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นกัน และพวกเขาก็ล้วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่ในใจสุดแสนสับสน
“เพราะหายนะนี้… ไม่อาจหยุดได้แล้ว” ปราชญ์เฒ่ารำพึงอย่างท้อใจ
“หมายความเช่นไรหรือ?” สายตาของหลียางเพ่งนิ่งขณะถาม
“มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น มันจึงไม่ได้แตกต่างกันนัก” ปราชญ์เฒ่าเกาศีรษะ ดูลังเลว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ ท้ายที่สุดจึงให้คำตอบแก่นางอย่างคลุมเครือ
ได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของคนอื่น ๆ ก็หนักอึ้งอย่างช่วยไม่ได้
เฉินซีไม่ได้สนใจ เพราะตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่ ต่อให้หายนะคืบคลานเข้ามา เขาก็แค่ต้องต่อสู้สุดฝีมือ ผลสุดท้ายก็แค่รอดหรือตายเท่านั้น แต่หัวใจยามหวนนึกถึงทุกเหตุการณ์ในวันนี้ก็ยังไม่อาจสงบได้อยู่ดี
เริ่มที่เขาต่อสู้กับจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ ทำให้ราชันเซียนรัตติกาล เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงต้องมาช่วยเหลือ
ทั้งหมดนี้จบลงด้วยความตายของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคณะ เดิมทีเฉินซีคิดว่าทุกอย่างจะจบหลังล้างแค้นเสร็จสิ้น แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าวังวนโลกาวินาศจะปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับซุ่ยเหรินถิง จั่วชิวเป่ยหยง และจั่วชิวเหลิงฮวาก็ปรากฏขึ้นจากนั้นติด ๆ กัน
ขณะนั้น เฉินซีก็ตระหนักว่า นี่คือแผนที่นิกายอำนาจเทวะบรรจงตระเตรียมไว้นานแล้ว!
แผนการนี้กระทั่งลากผู้คนทั้งมวลจากเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวามาพัวพัน และนิกายอำนาจเทวะตั้งใจใช้ค่ายกลขจัดเทพสังหารเทพ สังเวยโลหิตเทพ ชักนำหายนะมา!
โชคยังดีที่เขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวามองแผนการเหล่านี้ออก และท้ายที่สุดเกิดเหตุแปรผันอันเป็นประโยชน์ นายท่านสามของเขาเทพพยากรณ์เที่ยอวิ๋นไห่ และปราชญ์เฒ่าซึ่งเป็นลำดับสี่มาปรากฏที่นี่พร้อมกัน เข้าต่อสู้กับขุนพลสังหารเทพ ทำลายค่ายกล ต่อต้านเนตรทัณฑ์สวรรค์ จนสุดท้ายสถานการณ์ก็พลิกกลับ
ทั้งหมดนี้ดูสุดแสนธรรมดา แต่แท้จริงแล้วน่ากลัวยิ่ง และกล่าวได้ว่าเปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร แค่คำว่าอันตรายลำพังยังไม่อาจใช้บรรยายได้!
ยกตัวอย่างก็คือ ประสบการณ์เช่นนี้เป็นประหนึ่งการถูกแขวนระหว่างชายขอบความเป็นความตาย ร่ายรำบนปลายคมมีด เลินเล่อเพียงนิดอาจส่งผลถึงตายในพริบตา
ด้วยความสามารถของจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุยและฉือฉางเซิง พวกเขาในขณะนั้นทำได้เพียงสนับสนุน แสดงให้เห็นได้ชัดว่าหายนะครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ส่วนเฉินซี เขาถือตนเป็นผู้เฝ้ามองอย่างสมบูรณ์ แต่ก็เพราะเคยเผชิญเรื่องทั้งหมดนี้มา จึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าศึกระหว่างสามนิกายสูงสุดร้ายแรงสะท้านสะเทือนเพียงใด และเกิดความเข้าใจต่อระดับขั้นในทั้งสามภพ อำนาจราชันเซียน อำนาจขอบเขตเทวา และทุก ๆ อย่างใหม่ทั้งหมด…
ประสบการณ์อันมีค่าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมีได้!
เมื่อมีประสบการณ์นี้เสริมส่ง เส้นทางเต๋าของเฉินซีย่อมมีแต่เคลื่อนพัฒนาอย่างมั่นคงเป็นระเบียบในภายหน้า
ซ่า!
บนท้องฟ้า โลหิตเทพหลั่งรินลงดุจกระแสคลื่น ย้อมทั่วนภาแดงฉานเฉียบพลัน
“เฮยหลิง! หวงจง!!!” เสียงกู่ร้องอันตกตะลึงระคนเดือดดาลของฉือเหลียนกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ทั้งรวดร้าวและโกรธแค้นถึงที่สุด นี่คือเสียงตวาดด้วยโทสะเทวะ สนั่นลั่นทั่วโลกา สะท้านหัวใจทุกดวง
เห็นได้ชัดว่าขุนพลสังหารเทพตกตายไปอีกสองด้วยมือเที่ยอวิ๋นไห่!
“ตะโกนสิ! ตะโกนต่อไป! ตะโกนให้คอแตกก็ไร้ประโยชน์ เนิ่นนานในกาลก่อน พวกเจ้าฝูงสุนัขป่าทั้งเจ็ดตามติดประชิดข้างกายเจ้านิกายอำนาจเทวะมาตลอด จึงรอดตายจากสารพัดเภทภัยมาจนถึงตอนนี้ มันไม่ใช่เพราะความสามารถของพวกเจ้าเลิศเลออะไรเลย! ยามนี้เจ้านิกายอำนาจเทวะไม่อยู่ หรือพวกเจ้าจะคิดว่าพวกตนรอดตายได้แน่?” เสียงเหยียดหยามของเที่ยอวิ๋นไห่สนั่นลั่นตามฉือเหลียน “หากนักบวชทั้งสามของพวกเจ้านิกายอำนาจเทวะอยู่ที่นี่ บางทีพวกเขาอาจสู้ข้าไหว แต่เพียงพวกเจ้า… อ่อนแอเกินไปจริง ๆ! ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาพิเศษนักหรือ? มันก็แค่ขยะชั้นต่ำที่สุดในหมู่ทวยเทพเท่านั้น!”
“เจ้า… จะรังแกกันเกินไปแล้ว!” ฉือเหลียนแผดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าพูดถูก ข้ากำลังรังแกพวกเจ้า ฝูงสุนัขเฝ้าวิถีสวรรค์!” เที่ยอวิ๋นไห่แผดเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้น สรรพเสียงก็ถูกกลบด้วยคลื่นเสียงครืนโครมกึกก้องสนั่นสะท้าน
“นายท่านสามไม่ธรรมดาจริง ๆ!” หยวนเชอและพรรคพวกต่างอุทานอย่างชื่นชมจากใจ ขณะที่คนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วยไม่ต่างกัน เพราะทั้งฝีมือ ความกล้าหาญและความดุดัน ล้วนแล้วไม่อาจบรรยายด้วยถ้อยคำใด
ขณะเดียวกัน หลียางจับตามองความเปลี่ยนแปลงของเนตรทัณฑ์สวรรค์มาตลอด ได้ยินเช่นนี้ก็พูดขึ้นเรียบ ๆ “หลายปีที่ผ่านมา ศิษย์พี่สามของข้าเป็นเพียงช่างตีเหล็กกักขฬะไม่รู้หนังสือ ภายหลัง เขาเข้านิกายมาฝึกฝนข้างกายอาจารย์”
“ถูกต้อง ศิษย์พี่สามหยาบคายเป็นที่สุด เขาไม่มีมารยาทใด ๆ ไม่เป็นผู้เป็นคนสักนิด ไร้ความอ่อนโยน ใจดี การให้เกียรตินอบน้อม มัธยัสถ์หรือรู้หลบรู้เลี่ยงใด ๆ ไม่อาจสอนกันได้เลยสักนิด” ปราชญ์เฒ่าส่ายหน้า ดูกังวลใจสุดซึ้ง
เฉินซีเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ศิษย์พี่สี่ผู้นี้เหมือนวาจาศิษย์พี่หญิงไม่มีผิด เขาเป็นบัณฑิตอวดรู้ผู้พยายามพูดด้วยท่าทีล้ำลึกมากภูมิ แต่กลับไม่ทำให้เป็นที่น่ารังเกียจ กลับให้ความรู้สึกเป็นมิตรเสียแทน
“บางอย่างไม่ถูกต้อง! แม้เนตรทัณฑ์สวรรค์จะไม่เคลื่อนไหว แต่ปราณของมันกำลังแปรเปลี่ยน… เดี๋ยวก่อน! มันกำลังดูดซับปราณเทพจากโลหิตเทพทั่วฟ้าดิน!” สีหน้าของหลียางแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน “ที่แท้ โลหิตเทพที่หลั่งรินลงมาถูกเนตรทัณฑ์สวรรค์ดูดซับไปจนสิ้น!”
ผู้อื่นได้ยินเช่นนี้ หัวใจต่างสะท้านวาบ หนาวยะเยือกในอกกันอย่างไม่อาจทำความเข้าใจ รู้สึกค่อนข้างอึดอัดไม่สบาย แต่กลับไม่อาจตัดสินเหตุผลที่ชัดเจนได้
เปรี้ยง!
โลหิตเทพกระหน่ำลงจากนภาอีกครั้ง
หนนี้ผู้ตกตายคือจินกวง และพร้อมกันนั้น เสียงกู่ก้องอย่างสุดเดือดดาลของฉือเหลียนก็เลือนลั่น “เที่ยอวิ๋นไห่ ข้าจะสู้กับเจ้าจนตายไปข้าง!”
“สุนัขเอ๋ย คิดจะลากข้าไปตายกับเจ้าหรือ? เจ้าไม่คู่ควรสักนิด!” เที่ยอวิ๋นไห่แค่นเสียงเย็น
“ศิษย์พี่สาม โปรดหยุดเถิด!” ทันใดนั้น หลียางก็กล่าวขึ้นเสียงดัง แต่น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว
ตู้ม!
ขณะที่เสียงของเที่ยอวิ๋นไห่กึกก้องทั่วเวหา เสียงของฉือเหลียนก็หยุดลงกะทันหัน พร้อมกับโลหิตเทพหลั่งทะลักลงจากนภาอีกครั้ง ย้อมทั่วฟ้าดินจนแดงฉาน
วูบ!
ขณะเดียวกันนั้น ร่างบึกบึนของเที่ยอวิ๋นไห่ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ เส้นผมถูกโลหิตย้อมแดง สายตาคมปลาบดุจสายฟ้า ผิวกายอันดูประหนึ่งหลอมตีจากทองแดงยังคงเต็มไปด้วยแผลจากศึกมากมาย กลิ่นอายยิ่งใหญ่ชวนสะท้านตะลึงอย่างยิ่ง
เขาดูประหนึ่งเทพสงคราม เหนือล้ำเกินโลกหล้า ชวนให้หัวใจสรรพชีวิตอื่นสั่นสะท้าน
“โอ้ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าควรพูดให้เร็วกว่านี้นะ เจ้าก็รู้ว่าข้ารั้งการโจมตีที่ลงมือไปแล้วไม่ได้เลย” เที่ยอวิ๋นไห่หัวเราะ เผยรอยยิ้มจริงใจยามเผชิญหน้าหลียาง
“มันจบสิ้นแล้ว สุดท้ายเราก็ติดกับแผนการของเจ้านิกายอำนาจเทวะอยู่ดี…” หลียางรำพึงเบา ๆ สายตาของนางมองไปยังเนตรทัณฑ์สวรรค์ด้วยอารมณ์ซับซ้อน
เราติดกับดักของเจ้านิกายอำนาจเทวะแล้ว!
หัวใจผู้คนสะท้าน ตกตะลึงไม่อยากเชื่อ ค่ายกลขจัดเทพถูกทำลาย เจ็ดขุนพลสังหารเทพถูกประหาร สรรพสิ่งจบด้วยชัยชนะของพวกเขา แต่เหตุใดจึงยังติดกับดักของเจ้านิกายอำนาจเทวะอยู่?
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นเอง เนตรทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้าซึ่งเดิมเงียบกริบดุจตกตาย จู่ ๆ ก็เรืองรัศมีดำทมิฬลึกลับยิ่งใหญ่
ในพริบตานั้น ทั้งโลหิตเทพที่อาบย้อมฟ้าดิน สมบัติศักดิ์สิทธิ์ ซากศพทวยเทพ… ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีอำนาจเทพ พวกมันทั้งหมดล้วนถูกเนตรทัณฑ์สวรรค์ดูดซับ กลืนกินในพริบตา!
คนทั้งหลายสัมผัสได้ชัดเจน ว่าปราณของเนตรทัณฑ์สวรรค์เริ่มทวีอย่างบ้าคลั่งไร้จุดจบ เพียงพริบตาเดียว ปราณทัณฑ์สวรรค์จากมันก็ทำให้ทุกชีวิตที่นี่อึดอัดหายใจลำบาก!
“ศิษย์พี่ใหญ่คาดการณ์ไว้ถูกต้องจริง ๆ ท้ายที่สุด หายนะซึ่งจะกวาดกระหน่ำทั่วสามภพก็ถูกกำหนดล่วงหน้าให้อุบัติในวันนี้…” ขณะนี้ สีหน้าของเที่ยอวิ๋นไห่ก็จริงจังเคร่งขรึม ม่านแสงอำนาจเทพปรากฏขึ้นจากร่างของเขา โอบล้อมผู้คนทั้งหมด สกัดแรงกดดันอันถาโถมไม่หยุดหย่อนจากเนตรทัณฑ์สวรรค์เอาไว้