บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 920: คนของใครเยอะกว่ากัน?
ตอนที่ 920: คนของใครเยอะกว่ากัน?
ตอนที่ 920: คนของใครเยอะกว่ากัน?
หมัดเดี่ยวตรงและเรียบง่าย
คล้ายกับประกายแสงสีเลือดอันคมกริบไร้เทียมทาน แหวกทะลุอากาศ แล้วก็หายไปในชั่วครู่เดียว
ครู่ถัดมา จักรพรรดิอสูรวานรร้องโอดครวญเพราะความเจ็บปวด
บนร่างที่มีความสูงหลายร้อยจั้งของเขาปรากฏรอยบุ๋มที่กินพื้นที่ถึงจั้งกว่า ๆ เลือดสาดกระเซ็นประดุจสายฝน
เขายังไม่ทันได้ยืนขึ้น
จักรพรรดิกระดูกขาวก็บุกโจมตีมาอีกครั้ง
รวดเร็วปานลมกรด และรุนแรงปานสายฟ้าฟาด
เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิอสูรวานรที่มีความสูงหลายร้อยจั้ง ร่างของเขาแลดูเล็กกระจ้อยร่อย
ทว่าพลังของเขากลับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
จักรพรรดิอสูรวานรไม่มีโอกาสได้หลบ และทำได้เพียงแค่ตอบโต้ด้วยการกวัดแกว่งกระบองยักษ์ขนาดเท่าภูเขา
ครืน!
ศึกครั้งใหญ่ระเบิดขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา บนตัวขนาดใหญ่มหึมาของจักรพรรดิอสูรวานรก็ปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด เลือดไหลนองราวกับสายน้ำ
เขาพยายามที่จะหลบอยู่เช่นกัน ทว่าไม่อาจหลบได้พ้น
จักรพรรดิกระดูกขาวผู้โหดเหี้ยมจับจ้องไปที่เขาไม่คลาดสายตา ทุกครั้งที่บุกโจมตีอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง รุนแรงจนถึงขั้นไม่น่าเชื่อ แสดงถึงความเกรียงไกรของผู้เป็นใหญ่ระดับสุดยอด
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่ติดตามจักรพรรดิอสูรวานรมาก่อนหน้านี้ต่างพากันแยกย้ายหนีไป และหลบออกไปอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้แม้สักก้าว
เพราะการฆ่าฟันในระดับพระกาฬเช่นนี้ สำหรับพวกเขาแล้วลำพังเพียงแค่คลื่นพลังการต่อสู้ก็สามารถนำเคราะห์ร้ายถึงชีวิตมาสู่ตนเองได้!
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว ผู้เป็นจักรพรรดิบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วเหล่านั้นก็พากันตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น
ในที่สุดจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างซูอี้จึงไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ส่วนพวกของหลูฉางหมิงกับเฟิงอวี่จือที่กำลังต่อสู้กับภิกขุซื่อเอ้อร์ก็ตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน ความกังวลภายในจิตใจลดลงไปไม่น้อย
แต่พวกเขายังคงไม่ประมาท
การต่อสู้กันครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่เพียงแต่มีนักบวชห้าคนของวัดเสวียนหมิงเท่านั้น ยังมีผู้รับใช้มืดรัตติกาลอีกสามตน!
“บัดซบ!!”
อีกาเก้ามืดมิดเจ็บใจ ดวงตาสีแดงชาดเกิดประกายดุดัน
เดิมทีมันเข้าใจว่าทุกอย่างจะจบลงตามแผน
ใครเลยจะคาดคิดว่า การปรากฏตัวของจักรพรรดิกระดูกขาวกลับทำแผนของมันเสียหายจนรับมือไม่ทัน!
“อีกาน้อย ประเดี๋ยวอย่าลืมเด็ดหัวของเจ้าลงมาด้วย”
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว ซูอี้ยังคงนอนเอนกายสบายใจอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่ใส่ใจกับสิ่งใด
“กวางจะตายในมือใคร ยังไม่แน่!”
อีกาเก้ามืดมิดสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นมันก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าอาศัยเพียงแค่จักรพรรดิกระดูกขาวคนเดียวก็สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้เช่นนั้นหรือ? ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าความสิ้นหวังคืออะไร!”
พูดจบ มันก็แผดเสียงยาว ๆ ออกมา “ตะขาบเฒ่า จ้าวบรรพตหยก ปีศาจเพ้าโลหิต.. ถึงเวลาพวกเจ้าลงมือแล้ว!”
เรียกชื่อคนทั้งเก้าออกมาในทีเดียว
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปถล่มลงมา ตะขาบสีเลือดตัวยาวหลายสิบจั้งผุดขึ้นมา จากนั้นมันก็ดีดตัวขึ้นสู่ฟ้า เพลิงหฤโหดแผ่กระจาย
จ้าวบรรพตพันเท้า!
ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ‘บึงหมอกดำ’ สถานที่ต้องห้ามของเมืองมรณะ
แทบจะในเวลาเดียวกัน…
วิญญาณร้ายผู้มีกลิ่นอายพลังน่ากลัวตนอื่น ๆ ปรากฏขึ้นตนแล้วตนเล่า
แต่ละตนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของหนึ่งในแดนต้องห้ามนับร้อยแห่งของเมืองมรณะ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาฆ่าผู้ฝึกตนที่บุกเข้ามายังเมืองมรณะแห่งนี้ไปแล้วจำนวนไม่น้อย
ทว่าตอนนี้ พวกเขากลับปรากฏตัวและลงมือพร้อมกัน!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
พวกของหลูฉางหมิงกับเฟิงอวี่จือหนาวสะท้านขึ้นมาในใจ
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่กำลังฝ่าวงล้อม พวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่า แถบรอบนอกของสถานที่ต่อสู้แห่งนี้ซ่อนเร้นวิญญาณชั่วน่ากลัวได้มากมายถึงเพียงนี้!
“นี่…”
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว ผู้เป็นจักรพรรดิเหล่านั้นต่างก็ตื่นตระหนกจนตัวสั่นงันงก มือเท้าเย็นไปหมด
“ฮ่า ๆๆ ไอ้หนู ข้าล้างคอจนสะอาดสะอ้านเพื่อรอให้เจ้ามาเด็ดตั้งนานแล้ว แต่ดูท่าแล้ว… เจ้าคงจะไม่มีโอกาสหรอก!”
อีกาเก้ามืดมิดหัวเราะชอบใจราวกับเสียสติ มันแสดงความสะใจออกมาอย่างเต็มที่
วันนี้ สาเหตุที่มันระดมพลมาเป็นโขยงก็เพื่อจับตัวผู้เป็นจักรพรรดิจำนวนมากมาทำการบวงสรวงโลหิต เพื่อช่วยยมบาลที่ถูกคุมขัง!
ในสถานการณ์เช่นนี้ มันจะยอมให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เช่นใดกัน?
เมื่ออาศัยพลังที่มันโยกย้ายมาทั้งหมดในคืนนี้ก็สามารถถล่มกลุ่มขุมกำลังระดับสุดยอดใด ๆ ก็ได้ในภูมิมืดมิดแล้ว!
ทั่วทั้งสิบสามแดนหกเขตก็ยังหาศัตรูที่สามารถรับมือได้ไม่เจอ!
“อีกาน้อย นี่คือพลังทั้งหมดของเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าว
อีกาเก้ามืดมิดกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ใช้ขจัดพวกเจ้า นับว่ามากไปด้วยซ้ำ!”
ซูอี้กลับส่ายหน้าราวกับผิดหวัง จากนั้นเขาก็กล่าว “ดูท่าแล้ว ข้ายังคงประเมินความสามารถของเจ้าสูงเกินไป”
อีกาเก้ามืดมิดตะลึงไปชั่วขณะ แล้วมันก็อดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ “ไอ้หนู จะตายอยู่แล้วยังจะมาพูดดีอีก น่าขันนัก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเจรจา ศึกใหญ่ดำเนินขึ้นแล้ว
วิญญาณร้ายผู้น่ากลัวอย่างจ้าวบรรพตพันเท้าปรากฏตัว ก็พุ่งโจมตีไปที่จักรพรรดิกระดูกขาวในทันที
จักรพรรดิอสูรวานรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงได้โอกาสหนีเอาตัวรอดกลับมาได้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง การร่วมมือกันระหว่างภิกขุซื่อเอ้อร์กับนักบวชทั้งห้าและสามผู้รับใช้มืดรัตติกาลก็เป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นกัน พวกเขาเริ่มบีบคั้นพวกของโยวเสวี่ยเรื่อย
เขาเพียงแค่ยิ้มและกล่าว “เอาเถอะ การต่อสู้ที่น่าเบื่อเช่นนี้ ควรจะสิ้นสุดได้แล้วเช่นกัน”
เขาสะบัดแขนเสื้อ
คัมภีร์แห่งตี้ทิงกลายร่างเป็นประกายแสงสีสันประหลาดออกมาลำแล้วลำเล่า
จากนั้น…
ผู้ชายสง่างามประดุจเซียนสวมชุดสีดำมือถือแส้หางม้าก็ปรากฏตัวขึ้น
หลังจากที่เขาปรากฏตัวดาราสีเลือดหลายดวงวนเวียนอยู่รอบ ๆ กลิ่นอายพลังโลหิตน่ากลัวประดุจพายุใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วสถานที่แห่งนี้
“ท่านเทพดาราคล้อย!!”
เสียงหัวเราะของอีกาเก้ามืดมิดหยุดชะงัก ดวงตาสีเลือดเบิกกว้าง มันไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป
มันกล่าวด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเคยรับปากกับข้าไว้ จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของวัดเสวียนหมิง เหตุใดคืนนี้กลับยอมทำงานให้ไอ้หนูคนนั้น?”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ได้หรือ?”
อีกาเก้ามืดมิดพูดไม่ออก มันโกรธจนขนตั้งชัน
ทว่าท่านเทพดาราคล้อยกลับสะบัดแส้หางม้ามุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิกระดูกขาวแล้ว
เขาก้าวเท้าพลางส่งเสียง “จ้าวบรรพตหยก ปีศาจเพ้าโลหิต หากว่าพวกเจ้าไม่อยากจะตาย ก็รีบไปเสีย คืนนี้นอกเสียจากยมบาลจะหลุดมาได้ ไม่เช่นนั้น ใครก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้!”
เสียงนั้นดังราวกับระฆังที่ก้องกังวานไปทั่วทุกแห่ง
ขณะเดียวกัน คำกล่าวนี้ทำให้วิญญาณร้ายที่กำลังล้อมโจมตีจักรพรรดิกระดูกขาวอยู่ถึงกับตื่นตระหนกระส่ำระสาย
เห็นเช่นนี้แล้วอีกามืดมิดโกรธจัด มันจึงแผดเสียงออกมา “เฒ่าดาวตก ข้าสาบานว่า จะต้องทลายรังของเจ้าสักวันไม่ช้าก็เร็ว!!”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ นกอัปมงคลตัวนี้พลันตะลึงงัน
เพราะเห็นว่าหลังจากที่ท่านเทพดาราคล้อยปรากฏตัวแล้ว ตัวตนผู้มีกลิ่นอายพลังน่ากลัวปรากฏตัวบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้วตนแล้วตนเล่า
“จักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยน อสูรเฒ่าเมฆาฝัน เจ้าภูผาโคมโลหิต…”
การปรากฏตัวของวิญญาณร้ายที่น่ากลัวราวกับหมัดแต่ละหมัดที่ซัดใส่อีกาเก้ามืดมิดอย่างรุนแรง จิตใจของเขาดำดิ่งลึกลงไปทุกที สีหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้เพิ่มมากขึ้นตาม
หลังจากที่เห็นวิญญาณร้ายทั้งเจ็ดแล้ว อีกาเก้ามืดมิดรู้สึกแทบคลั่ง สั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาแทบถลน ไม่รู้เช่นกันว่ากำลังโกรธหรือว่ากำลังเจ็บใจ
วิญญาณร้ายอย่างจักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยนกับอสูรเฒ่าเมฆาฝันเหล่านี้ แต่ละคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของแดนต้องห้ามอันร้ายกาจแห่งเมืองมรณะ
ถึงแม้จะแข็งแกร่งเทียบกับจักรพรรดิกระดูกขาวกับท่านเทพดาราคล้อยไม่ได้ แต่ก็ด้อยกว่าไม่มาก
เทียบกับวิญญาณร้ายทั้งเก้าอย่างจ้าวบรรพตพันเท้ากับจ้าวบรรพตหยกที่ทำงานให้กับอีกาเก้ามืดมิด ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!
สาเหตุนั้นง่ายมาก
เหมือนดังที่ชิงเถิงผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองเสี่ยวหมิงกล่าว ผู้เปรียบประดุจผู้ยิ่งใหญ่ในแดนต้องห้ามแต่ละแห่งของเมืองมรณะแห่งนี้ ผู้ที่ยอมทำงานรับใช้ต่ออีกาเก้ามืดมิดจริง ๆ มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
สาเหตุที่ผู้ยิ่งใหญ่ส่วนน้อยกลุ่มนี้ยอม ก็เพราะเก่งไม่เท่าอีกาเก้ามืดมิด
ส่วนตัวตนที่ไม่ยอมสยบเหล่านั้น ล้วนเป็นพวกที่มีฝีมือเก่งฉกาจ และมีจำนวนไม่น้อยที่สามารถงัดข้อกับอีกาเก้ามืดมิด!
ดังเช่นจักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อย เจ้าภูผาโคมโลหิตเหล่านี้เป็นกลุ่มที่อีกาเก้ามืดมิดไม่กล้าจะผิดใจด้วย
แต่อีกาเก้ามืดมิดไม่คาดคิดมาก่อนเลยก็คือ ตัวตนที่แม้กระทั่งมันก็ยังไม่กล้าผิดใจด้วยเหล่านี้ กลับยอมทำงานให้กับซูอี้!!
ทำให้มันรับมือไม่ทัน ราวกับถูกใครใช้กระบองฟาดหัวอย่างแรง ในใจทั้งโกรธและตระหนก
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? พวกตัวประหลาดเหล่านั้นต่างโหดเหี้ยมอำมหิตไม่เชื่อฟังคำใคร เหตุใดจึงยอมสวามิภักดิ์ต่อชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณได้?”
อีกาเก้ามืดมิดตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นวิญญาณร้ายอย่างจักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยนกับอสูรเฒ่าเมฆาฝันปรากฏตัวขึ้น ความโกลาหลเกิดขึ้นทั่วเขตต่อสู้
พวกของภิกขุซื่อเอ้อร์ถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
คิดจนสมองแตกพวกเขาก็คิดไม่ออกว่า ไม่เพียงแต่จักรพรรดิกระดูกขาวกับท่านเทพดาราคล้อยเท่านั้น แม้กระทั่งวิญญาณร้ายอย่างจักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยนก็ยังยอมทำงานให้กับซูอี้!
พวกของเฟิงอวี่จือกับหลูฉางหมิงก็ตัวสั่นไม่หยุดเช่นกัน
“มิน่าเล่า หลังจากที่เขาปรากฏตัวจึงแสดงท่าทีไม่กลัวใคร มองข้ามหัวศัตรูทุกคน… เพราะมีลูกน้องที่ร้ายกาจไร้เทียมทานกลุ่มนี้ อยู่ในเมืองมรณะไม่ให้เดินกร่างได้อย่างไร?”
เฟิงอวี่จือแอบแสดงความคิดเห็น
“ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว!!”
ทันใด จ้าวบรรพตพันเท้าก็ร้องตะโกน หมุนตัวคิดจะหนี
วิญญาณร้ายตนอื่นที่กำลังโอบล้อมจักรพรรดิกระดูกขาวกับท่านเทพดาราคล้อยต่างพากันตะลึง แต่ละคนชักขาได้ก็เผ่นหนี
“อีกาดำ ใช่ว่าข้าไม่ช่วย แต่คู่ต่อสู้แกร่งเกิน ขอตัว!”
เสียงของวิญญาณร้ายตนหนึ่งยังคงดังกึกก้อง ทว่าหายตัวไปก่อนอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“ให้ตายสิอีกาดำ เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับหลอกพวกเราชัด ๆ!”
วิญญาณชั่วน่ากลัวบางตนร้องตะโกนด่า จากนั้นก็หนีไปก่อนใครเพื่อน
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นทำให้หยวนหลินหนิงกับชิงมู่ถึงกับอ้าปากค้าง
ก่อนหน้านี้วิญญาณน่ากลัวเหล่านั้นยังแสดงความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ออกมาอยู่เลย
ทว่าตอนนี้กลับหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่ายตื่นตูมเสียอย่างนั้น
ทว่ามีวิญญาณชั่วน่ากลัวตนหนึ่งที่หนีไม่ทัน
รอบตัวเขามีวิญญาณร้ายน่ากลัวอย่างจักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อย จักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยนโอบล้อม ทำให้เขารู้สึกอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
“ใต้เท้าทุกท่านอย่าเพิ่งลงมือ! ขอกล่าวตามจริง ข้าไม่ถูกโฉลกกับอีกาดำมาตั้งนานแล้ว นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป มันก็คือศัตรูของข้า ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าผืนเดียวกันได้!!”
อสูรเพ้าโลหิตตบอกเสียงดัง เขาพูดแสดงความจงรักภักดี
ท่านเทพดาราคล้อยกล่าวด้วยความชอบธรรมน่าเกรงขาม “ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนกลับกลอก แต่เห็นแก่เจ้าที่กลับตัวกลับใจ สำนึกความผิด จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
คนทั้งหมด “…”
ก่อนหน้านี้ อีกาเก้ามืดมิดยังเคยถามท่านเทพดาราคล้อยว่าเหตุใดจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านเทพดาราคล้อยยังตอบอย่างเต็มปากว่า ‘ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ได้เหรอ?’ อยู่เลย
สถานการณ์สองอย่างนี้ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกแปลกพิกล
“ขอบคุณใต้เท้าทุกท่าน!”
อสูรเพ้าโลหิตซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
และขณะเดียวกันนี้เอง ซูอี้กลับขมวดคิ้วน้อย ๆ และกล่าว “เก็บงานให้เร็ว”
คำพูดราบเรียบสี่คำ กลับทำให้พวกจักรพรรดิกระดูกขาวกับท่านเทพดาราคล้อยพากันสะดุ้ง แต่ละคนไม่ชักช้า ฆ่าไม่เว้น!!