บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 906: ถึงกาลขัดเกลา
ตอนที่ 906: ถึงกาลขัดเกลา
ตอนที่ 906: ถึงกาลขัดเกลา
ในฐานะหนึ่งในดินแดนต้องห้ามอันลือนามแห่งโลกหล้า เมื่อผู้ฝึกตนจากภูมิมืดมิดกล่าวถึงเมืองมรณะ พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความขนลุกหวาดหวั่น
และในเมืองมรณะนี้มีพื้นที่ต้องห้ามซึ่งอันตรายที่สุดเก้าแห่ง
หนึ่งในนั้นคือผาตรอมจิต
ลือกันว่าผาแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ ณ จุดตัดแห่งนภาและผืนพิภพ มันมีความสูงหลายพันจั้งและทอดยาวสุดตา
เบื้องใต้ผานี้คือมหานทีกระดูกขาว
เหนือผานี้ปกคลุมด้วยอสนีบาตนรกผนึกมารอันรุนแรงบ้าคลั่งตลอดทั้งปี
อำนาจอสนีบาตนี้รุนแรงร้ายกาจอย่างยิ่ง เมื่อถูกมันโจมตีเข้า แม้แต่จักรพรรดิก็ยังต่อต้านได้ยาก
สิ่งที่ชวนระทึกใจยิ่งกว่านั้นคือยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘วิหคกลืนวิญญาณ’ ซึ่งตั้งรกรากอยู่บนผาตรอมจิตตลอดปีอีกด้วย
จากคำร่ำลือ วิหคกลืนวิญญาณแต่ละตนนั้น แท้จริงแปรเปลี่ยนมาจากวิญญาณของจักรพรรดิผู้สิ้นใจในเมืองมรณะ
ดังนั้นตลอดมา จักรพรรดิที่เข้าสู่เมืองมรณะจึงเลี่ยงสถานที่นี้ น้อยคนนักจะคิดอยากเข้าใกล้ผาตรอมจิต
เพราะเหตุนี้จึงเกิดคำพูดว่า ‘จักรพรรดิไม่ข้ามผาตรอมจิต’
หยวนหลินหนิงย่อมเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผาตรอมจิตมาบ้าง
“สหายเต๋าซู ไฉนเราจึงไม่เลี่ยงมันไปเล่า?”
หยวนหลินหนิงอดเสนอไม่ได้
“อย่ายุ่งยากนักเลย”
ซูอี้ส่ายหน้า เขากล่าวพลางเดินไปเรื่อย ๆ “แม้ว่าที่แห่งนั้นจะอันตรายนิดหน่อย แต่มันคือทางไปเมืองเสี่ยวหมิงที่เร็วสุดแล้ว และเมื่อข้ามผ่านผาตรอมจิต ข้าก็ยังสามารถเก็บอสนีบาตนรกผนึกมารสักหน่อยด้วย”
คู่เนตรงามของหยวนหลินหนิงเบิกขึ้นเล็กน้อย
นางจำได้แม่นยำว่ายามมายังเมืองมรณะ หลูฉางหมิงเคยเตือนนางอย่างเคร่งครัด ว่าไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ห้ามเข้าใกล้ผาตรอมจิตเด็ดขาด หาไม่ มันจะไม่ต่างจากการพาตนไปตาย
เพราะตลอดมา มีสัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำตายที่นั่นมามากมาย!
ทว่ายามนี้ ซูอี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่เพียงเดินทางตรงสู่ผาตรอมจิต แต่ยังคิดเก็บอสนีบาตนรกผนึกมาร!
“สหายเต๋าซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าผาตรอมจิตร้ายกาจเพียงไร?”
หยวนหลินหนิงไล่ตามเขาไปและถามอย่างระมัดระวัง
“ร้ายกาจหรือ?”
ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบลอย ๆ ว่า “ที่นั่นน่ากลัวจริง และจักรพรรดิทั่วไปไม่ควรไปที่นั่น”
เมื่อเห็นสีหน้าเยือกเย็นของชายหนุ่ม หยวนหลินหนิงก็ดูจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง “หรือเจ้าจะมีวิธีจัดการกับมันหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า
แม้ว่าหยวนหลินหนิงจะไม่อาจเดาได้ว่าอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่นางก็โล่งใจยามได้รับคำตอบยืนยันจากเขา
“จากนี้ เจ้าก็แค่ดูและฟังคำสั่งข้าก็พอ”
ซูอี้กล่าวเตือน
หยวนหลินหนิงพลันตระหนักว่าซูอี้คิดว่านางมีปัญหาเยอะเกินไป
จึงอดยิ้มให้ตนเองไม่ได้
ปกติแล้วนางวางตัวเย่อหยิ่งเย็นชา ถนอมวาจาดุจทอง แล้วเขาจะไม่แปลกใจได้เช่นไร
อันที่จริง เมืองมรณะนี้น่ากลัวและอันตรายเกินไป แม้นางจะมีระดับฝึกฝนในขอบเขตจักรพรรดิก็ยังไม่อาจวางใจได้
ในขณะเดียวกัน ซูอี้กลับมีท่าทีสงบนิ่งไร้ความกลัว เขาเดินในเมืองมรณะนี้ราวเดินเล่นในสวนหลังบ้านตนเอง
ยิ่งกว่านั้น เขายังคิดจะข้ามผาตรอมจิตอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หยวนหลินหนิงจะไม่ตกใจกังวลได้เช่นไร?
นี่ย่อมก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น
ไม่นานนัก บรรยากาศทั่วฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน หุบผาสูงพันจั้งยืนตระหง่านตรง ณ ขอบฟ้าราวบันไดสู่สวรรค์
เสียงอสนีบาตคำรามทำให้โลกหล้าสั่นสะเทือน
เห็นได้ชัดเจนว่าหุบผานี้ปกคลุมโดยอัสนีคลั่งสีดำตั้งแต่บนจรดล่าง หากเปลี่ยนเป็นอสนีบาตฟาดจากฟ้าล่ะก็ คมอสนีลี้ลับสีดำดุจปราณดาบหนาตานี้คงฉีกกระชากสุญญะปั่นป่วนแน่แท้
แม้จะห่างกันแสนไกล แต่หยวนหลินหนิงก็สัมผัสอันตรายถึงตายจนหน้าถอดสี ผิวขาวกระจ่างราวหิมะของนางปรากฏผื่นจากเส้นขนอันลุกซู่
น่าหวาดกลัวนัก!
อำนาจอสนีนี้รุนแรงยิ่งกว่าหายนะที่นางประสบยามพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิเสียอีก!
หยวนหลินหนิงกระทั่งเห็นฝูงนกร้ายเป็นเงาตะคุ่มราง ๆ อยู่ท่ามกลางกระแสอัสนีบนยอดผา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือวิหคกลืนวิญญาณ!
ตัวตนร้ายกาจอันเทียบได้กับขอบเขตจักรพรรดิ!
“หนึ่ง สอง สาม…”
หยวนหลินหนิงพลันได้ยินเสียง และเห็นปากของซูอี้ซึ่งยืนไพล่มืออยู่ขยับเล็กน้อยราวกำลังนับจำนวนวิหคกลืนวิญญาณ
สีหน้าของเขาไม่เพียงไร้ความกลัว แต่ยังแฝงความคาดหวังไว้อีก
“อืม ไม่คาดเลยว่าหลังจากผ่านมาแสนนาน ในที่สุดวิหคกลืนวิญญาณรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นบนผาตรอมจิตนี้เสียที”
ซูอี้ทอดถอนใจ
ในคราแรกที่เขากับเย่น้อยออกเดินทางในเมืองมรณะด้วยกัน พวกเขาเคยผ่านผาตรอมจิตและจับตัววิหคกลืนวิญญาณสิบสามตัวซึ่งเกิดท่ามกลาง ‘อสนีบาตนรกผนึกมาร’ ในหนึ่งอึดใจ
พวกมันเก้าตัวถูกใช้สร้างเป็น ‘ไม้เท้าเก้าจิตอสนี’ ให้เย่น้อย
ส่วนอีกสี่ตัวถูกสร้างเป็น ‘โอสถอสนีขจัดเภทภัย’ สี่เม็ด ซูอี้เก็บไว้หนึ่งเม็ด ส่วนอีกสามถูกมอบให้กับศิษย์เอกผีหมัว ศิษย์หกเย่ลั่ว และศิษย์เล็กชิงถัง เนื่องจากมันจะมีประโยชน์อนันต์ยามที่พวกเขาต้องสร้างแท่นเต๋ารู้แจ้งลึกล้ำ
เรื่องเก่า ๆ เหล่านี้ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว
ทว่ายามนี้เมื่อเขาได้กลับมาเยือนผาตรอมจิตอีกครั้ง ภาพในอดีตจึงกลับสู่ใจอย่างชัดแจ้ง ซูอี้จะไม่สะเทือนใจได้เช่นไร?
“สหายเต๋าซู เจ้ายังคิดจะ… เอ่อ ช่างมันเถอะ ข้าไม่ถามแล้ว”
หยวนหลินหนิงกล่าวไปได้ครึ่งทางก็พลันจำคำเตือนของซูอี้ก่อนหน้านี้ได้ จึงเงียบไปทันที
ซูอี้เข้าใจแล้วว่านางต้องการถามอันใด จึงกล่าวว่า “ไร้เหตุผลหากจะกลับไปมือเปล่าเมื่อเข้าสู่หุบเขาสมบัติ ต่อจากนี้ ติดตามข้าในระยะหนึ่งจั้ง อย่าออกห่างเกินไปนะ”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
หยวนหลินหนิงไม่กล้าชะล่าใจ นางติดตามเบื้องหลังอีกฝ่ายไปทันที
เมื่อยอดผาอันเคยแสนไกลเข้ามาอยู่ใกล้ในระยะร้อยจั้ง หยวนหลินหนิงพลันสังเกตเห็นว่าซูอี้พลิกมือ นำหนังสือสำริดเล่มหนึ่งซึ่งมีขนาดเพียงฝ่ามือออกมา
สมบัติชิ้นนี้เรียบง่ายไร้สิ่งตกแต่ง ลวดลายเต๋าประหลาดดูเหมือนดวงตาอันเย็นชาดุดัน
เมื่อสิ่งนี้ปรากฏในมือของซูอี้
ฮึ่ม!
แสงวิถีลี้ลับไม่อาจมองเห็นพลันปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นดุจม่านคลุมร่างทั้งนางและซูอี้เอาไว้
แสงวิถีนั้นเรืองประกายสลัวชวนสับสน เต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับเย็นชา
เมื่อนางถูกคลุมร่างไว้ข้างใน หยวนหลินหนิงก็รู้สึกว่าอำนาจอสนีซึ่งแผ่อยู่ทั่วผาตรอมจิตนั้นถูกสลายไปอย่างเงียบ ๆ และไม่อาจส่งผลกระทบใด ๆ ต่อนางได้อีก
นี่มันสมบัติใดกัน? หยวนหลินหนิงนึกแปลกใจ
ทว่านางก็ไม่ได้ถามอย่างชาญฉลาด
ตู้ม!
เมื่อร่างของคนทั้งสองค่อย ๆ เข้าใกล้ผาตรอมจิต พายุอสนีบาตสีดำก็สาดเทลงมาจากนภาดุจน้ำตก ก่อนจะระเบิดฟาดบนอากาศจนสะท้านทั่วสิบทิศ
อำนาจรุนแรงนี้เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิตัวสั่นได้
ทว่าเมื่ออสนีบาตสายนี้ฟาดลงมา มันกลับถูกม่านลึกลับนี้สลายไปอย่างง่ายดาย ไม่ส่งผลต่อคนทั้งสองแม้เพียงนิด
ภาพอันน่าตื่นตานี้ไม่เพียงทำให้หยวนหลินหนิงตะลึง แต่ยังทำให้นางตระหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสมบัติในมือซูอี้อาจจะไม่ใช่สิ่งของธรรมดา!
“รอเดี๋ยวนะ”
ซูอี้หยุดทันทีเมื่อมาถึงตีนผา
เขาหยิบน้ำเต้าเขียวขนาดสามชุ่นออกมาจากเอว แล้วโยนมันขึ้นไป
น้ำเต้าเขียวหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ขณะเปล่งแสงวิถีตระการพร่างพรายดุจภาพฝัน ก่อนจะยืดขนาดออกกลางอากาศเป็นหนึ่งจั้ง
“นี่คือ?”
หยวนหลินหนิงเบิกตากว้าง
ไม่รอให้นางได้ไหวตัว
ตู้ม!
อสนีบาตนรกผนึกมารอันเกรี้ยวกราดครอบคลุมทั่วผาตรอมจิตยามนี้ดูราวถูกกระตุ้นโทสะ
ท้องนภายามนี้ราวใกล้ถล่มลง ธารแห่งสรวงระเบิดราวทะลักเขื่อน อสนีบาตแรงกล้าทะลวงลงมาราวจะทำลายทุกสิ่งให้ราบ
เมื่อมองขึ้นจากบนพื้น ผู้คนก็จะรู้สึกสิ้นหวังราวไร้ทางหนี
กระทั่งหยวนหลินหนิงยังตื่นกลัว
ทว่าไม่นานนัก นางก็ตะลึงอึ้ง
นางเห็นว่าเมื่ออสนีบาตนรกผนึกมารอันทรงพลังฟาดเข้าใส่น้ำเต้าหยก มันกลับไม่อาจทำให้น้ำเต้านี้เสียหายหรือขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย ในทางกลับกัน อสนีคลั่งกลับถูกน้ำเต้าหยกดูดกลืนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ราวกับว่าน้ำเต้าหยกนี้เป็นดุจหลุมดำไร้ก้นบึ้ง และเขมือบอสนีบาตจากนภาสายแล้วสายเล่า!
“น้ำเต้านี่…”
หยวนหลินหนิงชะงักค้าง นางรู้สึกราวกับสิ่งที่เห็นเกินความคิดอ่านและความรู้ความเข้าใจของนางไปโดยสิ้นเชิง
หากเปลี่ยนเป็นตัวตนใด ๆ ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เกรงว่าคงไม่อาจรับมือการกระหน่ำฟาดของสายฟ้าอันน่าหวาดหวั่นเพียงนี้ได้
ทว่าน้ำเต้าหยกนี้กลับเหมือนวาฬใหญ่กลืนน้ำ ที่ดูดกลืนอสนีบาตนรกผนึกมารไม่รู้จบ!!
“น่าจะขัดเกลาได้แล้วจริง ๆ”
ซูอี้กระซิบ
ในน้ำเต้าหยกมีดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อยู่
และอสนีบาตนรกผนึกมารก็ก่อเกิดจากกฎดั้งเดิมของเมืองมรณะ เป็นพลังชั้นยอดที่จะฟูมฟักวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ได้
ในอดีตชาติของเขา ซูอี้เคยสลักสารพัดบัญญัติลี้ลับเกินประมาณไว้ในน้ำเต้าหยกนี้ เพื่อดึงพลังแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์
ในบัญญัติเหล่านั้นมี ‘บัญญัติกลืนอสนี’ ของสัตว์ร้ายบรรพกาลอสรพิษหน้าคนซึ่งสามารถกลืนอำนาจอสนีบาตอยู่!
“หรือในน้ำเต้านี้จะมีวิญญาณสมบัติอันแข็งแกร่งอยู่หรือ?”
หยวนหลินหนิงถามอย่างใจลอย
“ไม่มี”
ซูอี้ส่ายหน้า
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์มีเพียงความฉลาดเล็กน้อย แต่ไร้วิญญาณดาบ
ไร้วิญญาณ…
หยวนหลินหนิงงุนงงอย่างสมบูรณ์
นางจึงได้ค้นพบว่ายิ่งนางอยู่กับซูอี้นานเข้า ชายหนุ่มลึกลับในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นี้ยิ่งทำให้นางเผยความไม่รู้ออกมามากขึ้น…
“มิน่าเล่า เขาจึงบอกว่าข้าโง่ พลังที่เขาเข้าใจบรรลุถึงนั้นห่างเกินขอบเขตกว่าสิ่งที่ข้าเข้าใจ…”
คราแรก นางยังคงขุ่นเคืองเล็กน้อยยามถูกซูอี้หาว่าโง่
ทว่ายามนี้ หลังได้เห็นซูอี้เผยสารพัดวิธีออกมา นางก็ไม่อาจดื้อดึงได้อีกต่อไป
“รนหาที่ตาย!”
ทันใดนั้น เสียงกรีดแหลมเสียงหนึ่งก็กังวานทั่วโลกหล้า
หยวนหลินหนิงเงยหน้าฉับพลัน และพบวิหคอัปมงคลขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโผบินออกมาจากในห้วงลึกแห่งอสนีคลั่งดุจมหาสมุทร ณ ยอดผา
ปีกของวิหคอัปมงคลนี้ยาวสามจั้ง ดำสนิทดุจเหล็กเทวะ มันมีใบหน้ามนุษย์อันดุร้าย คู่เนตรแดงฉาน และอสนีบาตแล่นปลาบทั่วกาย
วิหคกลืนวิญญาณ!
ทันทีที่ตัวตนดุร้ายซึ่งเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิปรากฏขึ้น บรรยากาศโหดเหี้ยมชวนอึดอัดก็ปกคลุมไปทั่วโลกา
และเบื้องหลังมัน วิหคกลืนวิญญาณตัวอื่น ๆ ก็ทยอยบินออกมา
พวกมันดูราววิญญาณร้ายอันผุดขึ้นจากมหาสมุทรแห่งอสนี พุ่งเข้าโจมตีซูอี้และหยวนหลินหนิง
ภาพอันน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้หยวนหลินหนิงตื่นกลัว
ยามนี้ ในที่สุดนางก็ตระหนักว่าเหตุใดจึงมีประโยค ‘จักรพรรดิไม่ข้ามผาตรอมจิต’ สะพัดไปทั่วโลกหล้าตลอดกาลนาน!