บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 292 หลักการ
คิดถึงตรงนี้ แววตาที่มองฟางเจิ้งเปลี่ยนเป็นเคารพขึ้นมา แต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งเร่งรัดก็แบกถังน้ำลงเขาไปเอง
ลิงเกาหัว ยืนอยู่หน้าประตู มองโจวอู่ที่วิ่งลงเขาไป ก่อนถามฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อาจารย์ เจ้านี่กระตือรือร้นไปรึเปล่า? คงไม่มีลับลมคมในหรอกนะ แบกถังน้ำบ้านคนอื่นวิ่งไปแล้ว? นั่นถังใหญ่ที่มีแค่พวกเรามีนะ”
ฟางเจิ้งอึ้งไป นึกถึงว่าถังน้ำนี่ล้ำค่าจริงๆ แต่พอนึกถึงโจวอู่แล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “เขาไม่ทำหรอก เขาจะยิ่งทำยิ่งมีแรงกว่าเดิม”
“จริงเหรอ…” ลิงไม่เชื่อเล็กน้อย จึงคุกเข่าหน้าประตูรอดู มันอยากรู้ว่าคนนี้จะยืนหยัดแบกได้กี่ถัง
ครั้งนี้โจวอู่ตักน้ำมาสองถังเต็ม กัดฟันแบกขึ้นเขา เทใส่โอ่งพุทธก่อนส่องหน้าในโอ่งพุทธทันที ไฝดำบนหน้าหายไปส่วนหนึ่งจริงๆ เป็นขนาดเท่ากับเล็บนิ้วก้อยพอดี! หรืออาจพูดได้ว่าน้ำสองถังเต็มกำจัดไฝขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อยได้! ครึ่งถังกำจัดไฝขนาดครึ่งนิ้ว
เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว โจวที่เดิมทีรู้สึกเหนื่อยจนขยับขาไม่สะดวกพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา แบกถังน้ำพุ่งออกไปโดยไม่เอ่ยสักคำ ความเร็วนั้นพุ่งไปพร้อมกับสายลมได้
ลิงเกาหัว พูดงึมงำ “หรือว่าจะเสพติดการแบกน้ำ? ไม่ใช่มั้ง?”
เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมีชาวบ้านขึ้นเขามา บ้างมาขุดหน่อไม้ บ้างมาไหว้พระ แต่ตอนที่เห็นโจวอู่ แววตาทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ทุกคนไม่แปลกตาโจวอู่ เรื่องที่มาขุดหน่อไม้มั่วซั่วแล้วมีไฝดำผุดบนหน้าแพร่กระจายไปนานแล้ว
พลันเห็นโจวอู่แบกน้ำขึ้นเขา ทุกคนจึงมองตากันแวบหนึ่งก่อนสนทนากันเงียบๆ
“เห็นรึเปล่า เจ้านี่ไงที่เมื่อวานยังกร่างอยู่เลย วันนี้มาแบกน้ำอย่างว่าง่ายเฉย จิ๊ๆ…ดูขนดำบนหน้านั่น กรรมตามสนองล่ะนะ”
“คนกระทำ สวรรค์มอง สร้างกรรมชั่วน้อยๆ ต่างหากคือหลักการที่ถูกต้อง”
“เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้ามองอยู่ เป็นคนเวลาทำอะไรต้องมีเหตุผล…”
โจวอู่ได้ยินถึงในหู ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ ดีที่มีขนยาวไฝดำบนหน้า คนอื่นเลยมองไม่ออก โจวอู่คิดจะกร่างกลับ แต่พอนึกถึงจุดจบที่ตนแสร้งกร่างไปก่อนหน้าจึงเก็บความคิดไปทั้งหมด ก่อนตักน้ำอย่างว่าง่าย คนอื่นว่าอะไรก็ทำเป็นไม่ได้ยิน
เก๋อเยี่ยนตรงตีนเขากับลูกชายรออยู่นานมากก็ไม่เห็นโจวอู่ลงมา สุดท้ายทนไม่ไหวพาลูกชายขึ้นเข้ามาตามหา ระหว่างทางเห็นโจวอู่กำลังแบกน้ำ เก๋อเยี่ยนร้อนใจโดยพลัน พูดขึ้น “เหล่าโจว คุณทำอะไรน่ะ? ทำไมต้องแบกน้ำ?”
โจวอู่ยิ้มแห้งๆ “คุณคิดว่าผมอยากเหรอ? คุณดูหน้าผมนี่ มีอะไรเปลี่ยนไปไหม?”
เก๋อเยี่ยนเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วพูดด้วยความตกใจ “ไฝดำน้อยลง!”
โจวอู่ว่า “ใช่ ผมแบกน้ำขึ้นเขา ไฝดำจะน้อยลง คุณว่าผมต้องแบกน้ำนี่ไหม?”
“แต่ว่า…มันเหนื่อยไปรึเปล่า?” เก๋อเยี่ยนมองถังใหญ่นั่นพลางพูดด้วยความรัก
“เหนื่อย? เหนื่อยก็เหนื่อยเถอะ ผมขึ้นลงเขามาหลายรอบแล้ว ผมคิดอยู่นานมากถึงสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงหรือไม่ก็คิดไม่ออก ตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว เมื่อวานคุณบอกว่าทำไมผมต้องพูดจาไม่เหมาะสมใช่ไหม? ก็แค่ขุดหน่อไม้ ทำไมต้องใช้ลูกไม้แบบนั้น เมื่อวานแค่เจอหลวงจีนรูปหนึ่งแล้วก็มีไฝดำโผล่มาเท่านั้น ถ้าเจอกับคนที่ล่วงเกินไม่ได้ ตอนนี้ควรทำยังไง? ถ้าคนที่มีพลังแบบนี้ไม่ใช่หลวงจีน แต่เป็นปีศาจคลั่งฆ่าคนล่ะ ตอนนี้เราอาจจะตายก็ยังไม่รู้เลยว่าตายยังไง เมื่อก่อนพี่ใหญ่เคยบอกว่าผมเปลี่ยนนิสัยได้ ขืนทำตัวสารเลวแบบนี้ต่อไป ต่อให้มีทรัพย์สินครอบครัวก็กินไม่ได้นาน เก๋อเยี่ยน คุณว่าผมคิดแบบนี้ดูขี้กลัวไปหน่อยรึเปล่า ดูเป็นคนขี้ขลาดรึเปล่า? ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่ไหม?” พูดจบโจวอู่ก็ลงเขาไปอย่างเร็ว
เก๋อเยี่ยนมองเงาแผ่นหลังโจวอู่พลางพบว่าผู้ชายคนนี้ดูแปลกตาไปเล็กน้อย แต่ว่า…เธอชอบเขามากกว่าเดิม!
ฉะนั้นเก๋อเยี่ยนจึงอุ้มโจวเหวินอู่ตามไป “เหล่าโจว ฉันว่าวันนี้คุณดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก! เรื่องนี้ฉันเองก็ผิด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไร้เหตุผลคงไม่สร้างปัญหาให้คุณหรอก เมื่อก่อนแม่ฉันก็เคยพูดว่าภรรยาที่ดีจะหยุดสงครามไว้ที่ปากตนได้ ไม่ใช่ส่งสามีไปสนามรบ เมื่อก่อนไม่เข้าใจหรอกนะ ตอนนี้เข้าใจแล้ว…จากนี้ไปเราจะเป็นคนดี เหวินอู่ จากนี้ลูกห้ามกร่างไปทั่วอย่างพ่อเมื่อก่อนนะรู้ไหม?”
เด็กอ้วนน้อยได้ยินจึงพยักหน้ารัวๆ พ่อถูกจัดการแล้ว เขาจะกล้าขัดหรือ?
เก๋อเยี่ยนแบกน้ำเป็นเพื่อนโจวอู่ตลอดทาง เขาแบกทั้งวัน เมื่อสิ้นสุดวันไฝดำบนหน้าโจวอู่หายไปเกือบครึ่ง สามคนค้างแรมใต้ภูเขา วันที่สองฟ้าสาง โจวอู่ขึ้นเขาไปอีกครั้ง ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งบอกก็เริ่มแบกน้ำเอง
ต่อเนื่องไปสามวัน ไฝดำบนหน้าโจวอู่หายไปจนหมด
สามวันต่อมา ใต้ต้นโพธิ์
โจวอู่วางถังน้ำอย่างดี เดินมาอยู่หน้าฟางเจิ้งแล้วโค้งตัวแสดงความเคารพ “ขอบคุณไต้ซือที่สั่งสอนมากครับ”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกอย่างที่ได้รับล้วนมาจากการที่ประสกตระหนักด้วยตัวเอง อาตมาเพียงแค่เป็นผู้ชมเท่านั้น”
โจวอู่ส่ายหน้า “ถ้าไม่ใช่เพราะไต้ซือชี้แนะทิศทางให้ ตอนนี้โจวอู่คงยังสับสนคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ดูถูกคนอื่นเขาไปทั่วอยู่ ถ้าจากนี้สร้างหายนะโดยไม่ทราบสาเหตุให้ครอบครัวเพราะนิสัยแบบนี้ ถึงตอนนั้นสำนึกก็คงไม่ทันแล้ว ไต้ซือให้โจวอู่เข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้าเฝ้ามองอยู่ บนโลกมักจะมีคนกับเรื่องราวที่ล่วงเกินไม่ได้ ต้องยอมด้วยไมตรีจิตกับทุกเรื่อง ใช้คำพูดหรือจินตนาการอย่างอิสระ”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นจึงลุกขึ้นช้าๆ ประนมสองมือ แสดงความเคารพโจวอู่ “อมิตาพุทธ!”
โจวอู่พาเก๋อเยี่ยนกับโจวเหวินอู่เข้าไปจุดธูปสามดอกในอุโบสถ ขอพรให้ปลอดภัย ขอบคุณพระโพธิสัตว์เป็นต้น แล้วออกจากวัดมา โจวอู่ยังหันไปมองวัดเอกดรรชนีแวบหนึ่ง มองนักบวชสีขาวอยู่ใต้ต้นโพธิ์พลางอดใจถามไม่ได้ว่า “ไต้ซือ ผมสงสัยอย่างหนึ่งมาตลอด”
“หลบๆ!” แต่ฟางเจิ้งไม่ได้พูด มีเสียงป่าเถื่อนดังแว่วมาจากข้างหลัง โจวอู่หันไปมองเห็นเด็กแดงแบกถังน้ำใหญ่สองถังเดินขึ้นมา เขาจึงหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก เด็กแดงกระทืบเท้ากระโดดลอยขึ้นฟ้าข้ามประตูวัดไป เดินไปหลังลานด้วยฝีเท้าเบาอย่างยิ่ง ในระหว่างทางทั้งหมดไม่ได้มองโจวอู่แม้แต่หางตา
เห็นดังนั้น โจวอู่ยิ้มแห้งๆ “ไต้ซือ ผมไม่สงสัยแล้วครับ”
ไม่ผิด สิ่งที่โจวอู่สงสัยมาตลอดคือเด็กแดงแบกน้ำสองถังนั่นได้จริงๆ หรือ จะใช่ฟางเจิ้งรู้ว่าเขาจะมาเลยจงใจใช้ถังใหญ่สองถังนี่แกล้งเขาหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้วเขาคิดมากไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าในวัดนี้มีผู้วิเศษ! เจ้าอาวาสทำให้หน้าเขามีไฝดำ เด็กน้อยอายุหกเจ็ดขวบที่แบกของขึ้นบ่าหลายร้อยจินราวกับไม่ได้แบก แม้แต่ลิงก็ยังเป็นนักบวชลิงที่มีกลิ่นอายพุทธศาสนา…ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง
โจวอู่ลงเขามายืนอยู่ตีนเขา ตอนที่หันไปมองยังมีความรู้สึกว่าอยู่ในเมฆหมอก ในความฝัน แยกแยะไม่ออก
“เมียจ๋า คุณว่าสามวันนี้ผมฝันไปรึเปล่า?” โจวอู่ถามขึ้นระหว่างทาง
“ไม่รู้ ฉันก็งงเหมือนกัน…” เก๋อเยี่ยนตอบ
“พ่อครับ แม่ครับ กินหน่อไม้!” โจวเหวินอู่ส่งหน่อไม้ให้ ส่วนตนกินอย่างเอร็ดอร่อย
สองคนมองหน่อไม้ก่อนมองตากัน หัวเราะพร้อมกัน ดูท่าคงจะไม่ใช่ความฝัน…
……………………