บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 2.5
มันเป็นเวลาสักพักหนึ่งหลังจากที่เซย์จิและอายะเริ่มเดินคุยกันบนเส้นทางที่โดดเดี่ยวไร้ซึ่งผู้คน ในตอนนี้ทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งขององค์กร และก็สามารถเห็นอาคารของหน่วยซ่อมบำรุงที่ตั้งอยู่ไกล ๆ แล้ว
“วันนี้นี่ เงียบสงบดีนะครับ ปกติถ้ามาแถวนี้ทีไร ก็ต้องมีเสียงดังมาจากสนามยิงปืนตลอดเลย”
เซย์จิกล่าวขึ้นเมื่อไม่ได้ยินเสียงดังแหลมของการยิงปืนมาจากอาคารที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
“ก็จริง วันนี้ไม่มีเสียงยิงปืนสักนัดมาจากทางนั้นเลยจริง ๆ นั่นแหละ”
อายะทำหน้าประหลาดให้กับความเงียบสงบที่เป็นเหมือนความผิดแปลกสำหรับสถานที่แห่งนี้
“บางครั้งพวกช่างปืนก็จะไม่มีอะไรทำเหมือนกันสินะ?”
“ผมว่าน่าจะเป็นเพราะพวกเขามีอะไรทำกันอยู่มากกว่านะครับ เลยทำให้ไม่มีใครกำลังยิงทดสอบอาวุธอยู่ในสนามเลย”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าพวกนั้นถูกจ้างมาเพื่อยิงปืนเล่นไปวัน ๆ หรอกรึ?”
“ฮะ ๆ ผมก็เถียงไม่ได้แหละนะ ว่าหลายคนในหน่วยนั้นก็ยิงปืนเยอะเกินจำเป็นจริง ๆ แต่ก็ยังมีคนที่ตั้งใจทำงานอยู่ในห้องทั้งวัน แล้วก็จะออกมาใช้สนามยิงปืนเท่าที่จำเป็นอย่างอากิโตะอยู่นะครับ”
“หมอนั่นมัวแต่หลับอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของตัวเองล่ะสิไม่ว่า”
“มันอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ตราบที่พวกเรายังไม่เปิดประตูดู มันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เรียกว่าเป็นห้องทำงานของชโร-”
“ฉันจะเปิดเอาแมวออกมาจากกล่องเพื่อข่วนหน้านายแน่ ถ้าหากว่านายจะเล่นมุกนั้นน่ะ”
“โอเค ครับ ไม่เล่นก็ได้”
เซย์จิยอมถอยออกมา ตัวเขานั้นก็ไม่รู้หรอก ว่าในกล่องสมมุติที่อายะพูดถึงนั้นมีแมวอยู่ข้างในจริง ๆ หรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากโดนแมวที่อาจจะมีหรือไม่มีอยู่ภายในนั้นข่วนหน้าเอาเหมือนกัน
“นายนี่ก็นะ… ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอศัตรูที่มีพลังเหนือธรรมชาติแบบนั้นจนบาดเจ็บมา ยังจะมีอารมณ์มาพูดจาทำเป็นเล่นแบบนี้อีก”
“พวกเขาก็เป็นแค่มนุษย์ที่มาจากความเป็นจริงของจักรวาลอื่นที่ใช้พลังจากจินตภาพได้เองครับ ไม่เห็นจะเป็นอะไรที่ฟังดูเหมือนเหนือธรรมชาติอย่างที่คุณว่าเลยนะ”
“ให้ฉันอัดเสียงที่นายเพิ่งพูดเมื่อกี้ แล้วเปิดให้ตัวนายเองฟังอีกทีไหม?”
“จะเปิดให้ผมฟังกี่ทีก็ได้ครับ อันโด แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า มันกลายเป็นแนวคิดที่หลาย ๆ ส่วนในโลกยอมรับว่าเป็นความจริงไปแล้วนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อายะห่อไหล่และถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างท้อแท้หมดกำลังใจออกมา
“ใครจะไปคิดล่ะ ว่าแนวคิดที่ฟังเหมือนเรื่องแต่งอย่าง ระนาบภพ มันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา”
“ฮะ ๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนะครับ เพราะแนวคิดนั้นก็ถูกศึกษาและผลักดันโดย SEAR มาตลอด ตั้งแต่ตอนก่อนที่พวกเราจะเกิดอีก เลยไม่แปลกหรอกที่คนส่วนใหญ่จะมองว่าแนวคิดนั้นมันไร้สาระน่ะนะ”
เซย์จิที่เข้าใจถึงความรู้สึกย้อนแย้งที่ข้างคาอยู่ในใจของอายะเป็นอย่างดีก็หัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
“ภายในสรรพสิ่งนั้น ก็มีจักรวาลที่มีโครงสร้างและพื้นฐานต่างกันไปอยู่เป็นจำนวนมาก”
เซย์จิเริ่มพูดกล่าวถึงตัวแนวคิดระนาบภพโดยสรุปย่อ ซึ่งอายะก็เหมือนจะไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันเช่นนี้ แล้วก็ยอมเงี่ยหูฟังโดยไม่มีการถามอะไรกลับ
“ซึ่งในจักรวาลแต่ละแห่งนั้น ก็จะมีพื้นที่ 2 ฝั่งที่มีตัวตนอยู่อย่างแบ่งแยกชัดเจน โดยที่ในฝั่งหนึ่งก็คือพื้นที่แบบที่พวกเรากำลังมีตัวตนอยู่ หรือที่ถูกเรียกย่อ ๆ ว่า ความเป็นจริง”
ชื่อเต็ม ๆ อย่างเป็นทางการคือ ระนาบภพความเป็นจริง
“ซึ่งพื้นที่ที่ว่านั้น”
อายะเป็นฝ่ายกล่าวบ้าง
“มันคือพื้นที่ที่สสาร พลังงาน และอะไรอื่น ๆ มีตัวตนอยู่ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็จะอยู่ภายใต้สิ่งที่เป็นความรู้และความเข้าใจของพวกเราในทุกวันนี้ ที่ถูกเรียกว่า เคมีกับฟิสิกส์”
“ถูกต้องตามนั้นเลยครับ อันโด”
เซย์ปรบมือให้อายะเบา ๆ ซึ่งก็ได้การมองค้อนเป็นการตอบกลับ
“แล้วมันมีพื้นที่อีกส่วนหนึ่งที่ถูกเรียก ส่วนจินตภาพ ซึ่งก็เป็นพื้นที่สำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่โดยปกติไม่สามารถมีตัวตนอยู่ในฝั่งความเป็นจริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะถูกเรียกโดยรวม ๆ ว่า จินตภาพ”
คำเรียกอย่างเป็นทางการของพื้นที่นี้คือ ระนาบภพจินตภาพ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันยาวเกิน จึงไม่มีใครใช้คำเต็มตลอดเวลา
“ต้องขอหมายเหตุไว้หน่อยนะครับ ว่านี่เป็นแนวคิดแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่ได้อ้างอิงหรือหยิบยืมมาจากแนวคิดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดจากคณิตศาสตร์”
ถ้าหากว่ามีตำราเล่มหนา ๆ เกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อนกำลังพุ่งมาหาเซย์จิด้วยวิถีโปรเจกไทล์ในตอนนี้ ก็คงพูดได้ว่า ‘เขาสมควรโดนแล้ว’ แต่ก็น่าเสียดายที่สถานการณ์ที่ว่านั้นไม่มีวี่แววจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ ๆ ‘ที่โดยปกติไม่มีสามารถมีตัวตนอยู่ในฝั่งความเป็นจริง’ ตลกดีนะ ว่าไหม?”
อายะหัวเราะแห้ง ๆ อย่างประชดประชัน
“ก็นะครับ ถ้าเป็นปกติมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละนะ น่าเศร้าที่คำว่า ‘ปกติ’ นั้นเป็นเพียงนิยามของมนุษย์อย่างเรา ๆ ซึ่งตัวจักรวาลนั้นไม่ได้เห็นหัวคำนิยามของพวกเราแม้แต่น้อย”
อย่างที่ได้เห็นไปก่อนหน้านี้ จินตภาพนั้นจะสามารถถูกนำมาใช้งานที่ฝั่งความเป็นจริงได้ ซึ่งก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น พลังในการควบคุมสสารของเหล่าผู้มาเยือน หรือการรังสรรค์ตัวตนขึ้นมาเป็นภูติในแบบที่ฮินะทำ
“ส่วนที่น่าปวดหัวนี่ ก็คือตรงที่มันไม่มีความแน่นอนเลยเนี่ยสิ อย่างในโลกของเรา จำนวนของคนที่ใช้ของแบบนั้นได้ก็มีน้อยจนเหมือนไม่มีเลย ในขณะที่ในโลกอื่น ทุกคนกลับสามารถใช้มันได้หมดซะงั้น”
อย่างที่อายะกล่าวไป ในโลกใบนี้นั้น แนวคิดของพลังพิเศษต่าง ๆ นั้นมักจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าหรือเรื่องแต่ง จำนวนของคนที่สามารถเข้าถึงจินตภาพ และสามารถใช้งานมันได้นั้นก็มีอยู่จริง ๆ ไม่ถึงหยิบมือ ซึ่งมาคิดดูอีกที จะเอาคนทั้งคนใส่หยิบมือยังไงหว่า? แล้วมือที่ว่านี่ มันมีขนาดใหญ่ประมาณไหน? มันเป็นคำเปรียบเทียบที่ฟังดูไม่สมเหตุผลเลยแฮะ
“มองโลกในแง่ดีสิครับ ด้วยโครงสร้างของจักรวาลของพวกเราที่มีจินตภาพที่บริสุทธ์กว่าที่อื่นมาก ๆ จนทำให้ตัวตนเกือบทั้งหมดในฝั่งความเป็นจริงนั้นไม่สามารถเข้าถึงพวกมันได้นี่ มันก็มีข้อดีอยู่นะครับ”
เซย์จิพยายามอธิบาย
“เพราะสิ่งต่าง ๆ ในความเป็นจริงของพวกเรานั้นคุ้นชินแต่เพียงกับจินตภาพที่มีความบริสุทธ์ในระดับสูง เลยจินตภาพที่บริสุทธ์น้อยกว่าจากที่อื่นใช้งานกับสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลของพวกเราไม่ได้น่ะนะครับ”
จินตภาพนั้นเป็นตัวตนที่แตกต่างออกไปจากพื้นฐานของความเป็นจริง มันไม่ใช่ตัวตนที่เป็นผู้กระทำต่อสิ่งต่าง ๆ แต่เป็นตัวตนที่สิ่งต่าง ๆ นั้นตอบสนองต่อตัวมัน
ถ้าหากว่าสสารหรือพลังงานนั้น ๆ ไม่เข้าใจต่อรูปแบบหรือโครงสร้างของจินตภาพที่เชื่อมต่อเข้ากับพวกมัน มันก็จะไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ เกิดขึ้น และก็จะทำให้จินตภาพเหล่านั้นถูกกลับไปยังที่ที่พวกมันจากมา
“นั่นก็เป็นอีกส่วนที่น่าปวดหัวเกี่ยวกับมันด้วยแหละนะ”
อายะพูดอย่างกัดฟัน
“ในสถานการณ์ที่ถูกต้อง มันก็สามารถฉีกกฎของอากาศและกาลเวลา ชนิดที่ว่าสามารใช้ในการเดินทางไปยังจักรวาลอื่น ๆ ได้เลย”
หรือก็คือสิ่งที่พวกผู้มาเยือนทำกันอยู่บ่อย ๆ
“แต่ในขณะเดียวกัน พลังที่ว่านั้นก็ไม่สามารถทำให้เม็ดฝุ่นที่เบาที่สุดในบางโลกขยับได้… บ้าบอสิ้นดี”
“ฟังดูเหมือนองค์กรของพวกเราดีไหมล่ะครับ? บทจะมีประโยชน์ก็หาอะไรแทนไม่ได้ แต่บทจะไร้ประโยชน์ ก็หาดีอะไรไม่ได้เลย”
“เหอะ ๆ ฉันล่ะไม่อยากยอมรับความคล้ายคลึงตรงนี้เลยจริง ๆ”
อย่างน้อยจินตภาพก็ยังทำอะไรที่ดูเจ๋ง ๆ ได้นะ ไม่เหมือนองค์กรที่แยกความแตกต่างระหว่างคอนกรีตกับไอศกรีมไม่ออก
“แต่ก็นั่นแหละครับ เพราะด้วยลักษณะของจินตภาพที่เป็นแบบนั้น เลยทำให้พวกผมที่ไม่สามารถใช้หรือรับรู้ถึงจินตภาพได้แม้แต่น้อย สามารถรับมืออีกฝ่ายที่สามารถใช้งานมันได้น่ะนะครับ”
อายะลดสายตาลงไปมองมือซ้ายที่บาดเจ็บของเซย์จิด้วยความกังวล
“ขนาดรับมือได้ นายยังเจ็บตัวแบบนี้เลย”
“ก็ช่วยไม่ได้แหละนะครับ อีกฝ่ายเขาโจมตีด้วยการใส่จินตภาพของฝั่งเขาลงไปนสสารที่นำมาด้วย แล้วก็แปรเปลี่ยนมันไปเป็นพลังงานจลน์นี่นะครับ ก็เลยไม่ต่างจากปืนที่พวกเราใช้น่ะนะครับ”
ถึงแม้ว่าจะสสารในจักรวาลนี้จะไม่สามารถตอบสนองต่อจินตภาพของโลกอื่นได้ แต่กับสสารที่มาจากความเป็นจริงที่แตกต่างออกไปนั้น มันก็ยังคงสามารถกระทำต่อกันและกันภายใต้กฎของฟิสิกส์และเคมีอยู่ดี ง่าย ๆ คือ ต่อให้เป็นไม้เบสบอลที่มาจากต่างโลก มันก็ยังเป็นไม้เบสบอล ถ้าโดนหวดก็เจ็บ
“แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถใช้จินตภาพจากฝั่งพวกเขาใส่พวกผมได้โดยตรงแหละนะ”
“ฉันล่ะไม่อยากจะนึกเลย ว่าถ้าอยู่มาวันหนึ่งนายจะต้องเจอพวกที่สามารถโจมตีพวกนายด้วยจินตภาพโดยตรงได้นี่ ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง”
“ก็คงโดนจับยัดจินตภาพเข้าร่าง แล้วก็ทำให้เซลล์ทั้งหมดในร่างกายแหลก พร้อม ๆ กันน่ะครับ”
“ขอบคุณทำให้ฉันเห็นภาพนะ ฝันดีแน่คืนนี้”
อายะจ้องเขม็งใส่หน้าเซย์จิอย่างไม่สบอารมณ์เหมือนกันจะแยกเขี้ยวใส่ ก่อนที่จะสะบัดหน้าหนีแล้วไม่พูดไม่จาอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭