บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 1.6
อากิโตะที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรหลังจากที่เสียงภายนอกเงียบสงบลงก็จ้องมองออกไปนอกผ่านกระจกหน้าของรถที่ตอนนี้เย็นลงจนไม่ร้อนแดงเท่ากระจกและตัวถังด้านข้าง
เขากวาดสายตาซ้ายขวาไปมา 2-3 ครั้งในพื้นที่ที่ถูกส่องสว่างด้วยแสงไฟสีขาวที่ยังคงส่องสว่างมาอย่างไม่มีการหยุดพัก แต่ก็พบเห็นแต่ความว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน เหลือไว้แต่เพียงกล่องที่ถูดศัตรูของเขาทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
“หายไปไหนกันหมดล่ะนั่น?”
“พวกเขาพาคนเจ็บหนีไปแล้วค่ะ ภูติของฉันมองหาพวกเขาไม่เจอแล้วในอุโมงค์แห่งนี้”
ฮินะที่ฟังดูเหมือนเหนื่อยหอบเล็กน้อยกล่าวตอบคำถามของเพื่อนของเธอ
“หนีกลับโลกตัวเองกันไปแล้ว…? ไม่สิ… น่าจะแค่หนีไปตั้งหลักมากกว่า”
อากิโตะสบถคิดกับตัวเอง ใจหนึ่งเขาก็อยากคิดว่าอีกฝ่ายนั้นหนีกลับโลกของพวกตนไปแล้ว แต่นั่นก็คงไม่ใช่แนวคิดที่ดีเท่าไหร่สำหรับคนหลังฉาก ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องสรุปอย่างที่เขาคิด ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ ให้ใจเย็นลง
“เซย์จิ นายเป็นอะไรมากไหม? ให้ช่วยทำแผลไหม?”
เขาหันไปดูอาการเพื่อนของเขาที่ได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายท่อนล่างที่สามารถเห็นรอยแผลที่เลือดกำลังไหลรินออกมาภายใต้รอยขาดแหว่งของเสื้อแลปโค้ทสีขาวกับเสื้อแขนยาวสีแสด
“มะ ไม่เป็นไรมากครับ อากิโตะ โดนแค่สะเก็ดนิดหน่อยเอง…”
เซย์จิพยายามฝืนยิ้มอย่างที่เคยเป็น แต่เหงื่อที่ไหลรินออกมาเพราะความเจ็บปวดบนในหน้ากับเลือดกำลังหยดลงพื้นเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถซ่อนเร้นได้
“ฉันลองใช้ภูติส่องดูภายในแล้วค่ะ มีเศษสะเก็ดฝั่งคาอยู่ใต้ผิวหนังของเซย์จิหลายชิ้นเลยค่ะ แค่ปิดแผลคงไม่พอ น่าจะต้องไปให้แพทย์ช่วยนำเศษเหล่านี้ออกด้วยค่ะ”
ฮินะกล่าวรายงานค้านท่าทีที่พยายามทำเป็นไม่เหมือนไม่มีอะไรมากของเซย์จิ
“ฮะ ๆ … ใช้ภูติส่องดูแบบนี้ ขี้โกงนี่ครับ ฮินะ… แบบนั้นผมจะปิดบังยังไงล่ะ…?”
เซย์จิหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อถูกเผยความจริงเช่นนั้น
“ฉันแนะนำว่าพวกคุณทั้ง 2 คนยกเลิกการตามล่า แล้วขนสิ่งที่พวกนั้นต้องการจะช่วงชิงไปกลับมาที่ฐานก่อนน่าจะดีกว่านะคะ”
“อา ทางนั้นก็ติดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน เซย์จิบาดเจ็บแบบนี้แล้ว ยังไงก็ไม่ฝืนไปต่อหรอกนะ”
อากิโตะเห็นด้วยกับข้อเสนอของฮินะอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ก่อนที่จะหันไปมองเซย์จิที่พยายามฝืนยิ้มให้กำลังใจเพื่อนของเขาที่ดูจิตใจขุ่นเคืองลงเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เห็นเลือดของเขาหยดลงสู่พื้นรถเบื้องล่าง
แต่คนที่ไม่สามารถทนรับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ก่อนนั้น…
“ขอโทษค่ะ”
ฮินะกล่าวขอโทษราวกับกำลังก้มหัวขอขมา ซึ่งนั่นก็ทำให้คนหลังฉากทั้ง 2 คนแสดงสีหน้าของความประหลาดใจเป็นอย่างมากออกมาพร้อม ๆ กัน
“ขอโทษด้วยนะคะ เซย์จิ ที่ฉันที่รับปากแล้วว่าจะคอยดูลาดเลาให้ แต่ก็ไม่รอบคอบพอจนไม่สามารถกล่าวเตือนอะไรพวกคุณได้จนทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ”
เธอกล่าวขอโทษเพื่อนที่บาดเจ็บ
“แล้วก็ขอโทษนะคะ อากิโตะ ที่ฉันไม่สามารถรักษาสัญญาได้ หลังจากนี้คงให้คุณลำบากขึ้นแน่ ๆ”
จากนั้นเธอก็กล่าวขอโทษคนที่เธอไม่สามารถรักษาสัญญาที่ทำเพื่อเธอเอาไว้ได้
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
เซย์จินั้นไม่รู้จะตอบสนองเช่นไรกับคำพูดเช่นนั้นของฮินะ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวด แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาก็ไม่ได้คิดจะเอาผิดอะไรใครอยู่แล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น เลยได้แต่ยืนนิ่งกดปากแผลต่อไปพร้อมกับฝืนยิ้มแห้ง ๆ
ส่วนอากิโตะที่ประหลาดใจกับความหมายของสิ่งที่ฮินะพูดก็ต้องใช้เวลากับตัวเองเล็กน้อยเพื่อปะติดปะต่อความหมายของสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงใจตามแบบฉบับของเขา
“ในตอนสุดท้ายที่ลิ่มเหล็กพวกนั้นช้าลงกว่าเดิมมากนี่ เป็นฝีมือของเธอสินะ?”
“ค- ค่ะ… แต่ก็เหมือนว่านั่นก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงตัวฉันด้วยค่ะ เมื่อทำแบบนั้น…”
ฮินะรายงานความจริงอย่างเศร้าสร้อยราวกับการสารภาพบาป
ความเจ็บปวดที่กำลังบีบคั้นหัวใจของเธออย่างแสนทุกข์ทรมานส่งผ่านมาทางน้ำเสียงที่สั่นเทิ้มราวกับกำลังจะทนไม่ไหวแล้วล้มลงร้องไห้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ทุกเมื่อ
แม้ว่าเธอจะมีพลังที่เหนือว่าคนธรรมดาอย่างเช่นการรังสรรค์เหล่าภูติขึ้นมาจากจินตภาพเพื่อเป็นประสาทรับรู้จำนวนมากให้เธอในระยะไกล แต่ภายในเธอก็ยังคงเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดจากความล้มเหลวจึงเป็นอะไรที่เธอสามารถรับรู้และแสดงออกมาได้
ซึ่งนั่นก็ทำให้อากิโตะรู้สึกผิดเหมือนกันที่พยายามบีบให้เธอสัญญาเช่นนั้น
เขาเข้าใจเหตุผลที่เธอลำบากใจที่จะตอบตกลงในตอนที่เขาถามครั้งแรก แต่นั่นก็เพื่อตัวของเธอเอง เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะกลับมาหลอกหลอนเขาด้วยการทำให้เธอเจ็บปวดเช่นนี้ได้เร็วขนาดนี้
“เอาไว้คุยเรื่องของเธอในตอนที่พวกทางนี้กลับไปถึงฐานแล้วกัน”
อากิโตะกล่าวอย่างใจเย็นพยายามไม่ให้น้ำเสียงฟังเหมือนกันเหน็บแหนบหรือต่อว่า
“แต่ตอนนี้ ขอบคุณที่ช่วยทางนี้กับเซย์จิไว้นะ ฮินะ”
“!?”
“อ่ะ ผมก็ขอบคุณด้วยเหมือนกันครับ ถ้าไม่มีคุณผมอาจจะเจ็บกว่านี้ก็ได้น่ะนะ”
“!?”
ฮินะที่จนถึงตอนนี้ยังคงทุกข์ทรมานอยู่กับความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจของเธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดขอบคุณจากทั้ง 2 คนที่เธอคิดว่าตัวเองเพิ่งทำให้พวกเขาผิดหวัง
“ทะ- ทำไม…”
คำพูดของเธอที่เคยลื่นไหลเกิดกระตุกขัดเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นในอกกำลังเอ่อล้นออกมา
“ทำไมกันล่ะคะ ทั้ง ๆ ที่ฉันทำผิดพลาดจนเกือบทำให้พวกคุณทั้งคู่ตายนะคะ…”
“ก็แค่เกือบ แต่ก็ยังไม่ตายนะครับ ฮินะ ดูสิผมยังอยู่ดีอยู่เล- อะ โอ๊ย! เจ็บ ๆ”
เซย์จิพยายามยกแขนซ้ายขึ้นเพื่อยกนิ้วโป้งให้ แต่ก็ต้องชักดิ้นไปเสียก่อนเพราะความเจ็บปวด
“ว่ายังไงดี เซย์จิก็ยืนล้ำหน้าเกินไปเลยทำให้หนีเข้ามาไม่ทัน ส่วนทางนี้ก็ประมาทท่าทีและความสามารถของอีกฝ่ายเกินไปด้วย เรียกว่าผิดกันหมดทุกคนนั่นแหละนะ”
อากิโตะพยายามพูดชี้ให้เห็นว่าฮินะนั้นไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองว่าทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของเธอแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้ว แม้แต่พวกเขาเองก็ทำอะไรผิดพลาดเหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้สถานการณ์ลงเอยเช่นนี้
“เซย์จิ… อากิโตะ… พวกคุณทั้ง 2 คน…”
ฮินะที่ใกล้จะสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์ก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นเมื่อได้รับความอบอุ่นหัวใจเช่นนั้นจากเพื่อนทั้ง 2 คนของเธอ
“ผมว่าแบบนี้เราคงได้แต่อย่างเดียวแล้วแหละนะครับ”
เซย์จิลองเสนอความคิดเพื่อยกระดับอารมณ์ในห้องโดยสาร
“ต้องโยนความผิดครั้งนี้ให้ไคล์!”
“นั่นสินะ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ แหละ”
อากิโตะพยักหน้ายอมรับข้อเสนอนั้นของเซย์จิอย่างไม่มีคำค้าน
“ต้องเป็นความผิดของไคล์แน่นอน”
ฮินะที่ยืนปริ่มของริมขอบเหวลึกที่ใกล้จะพังทลายลงและร่วงล่นลงไปอย่างไร้ก้นบึ้งของอารมณ์ด้านลบก็ได้สติกลับขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดบทสนทนาเป็นกันเองของเพื่อนทั้ง 2 คนที่ให้บรรยากาศและความรู้สึกแสนคุ้นเคยจนทำให้เธอเริ่มหัวเราะออกมา
“คิก ๆ”
มันไม่ใช่การหัวเราะอย่างขี้เล่น หรือมีลับลมคมในอะไร แต่เป็นเสียงหัวเราะอย่างสุขใจจริงออกมาจากข้างในหัวใจของเธอ
“นั่นสินะคะ ต้องเป็นความผิดของคุณไคล์แน่นอน”
และความรู้สึกด้านลบภายในห้องโดยสารแห่งนั้นก็ละลายหายไปราวกับผลึกน้ำแข็งภายใต้แสงอาทิตย์จากการเสียสละของไคล์
ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และแม้ว่าเขาอาจจะไม่รู้ตัวเลย
ไคล์ ขอให้รู้ไว้ว่าคุณเพิ่งจะเป็นวีรบุรุษที่เพิ่งช่วยเหลือกอบกู้จิตใจของเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่งเอาไว้
ฉะนั้นจงภูมิใจเสียเถอะ!
แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็นความผิดของนายอยู่นะ ไคล์…
ว่าแต่ไคล์เนี่ย เขาเป็นใครกันหว่า?
ที่ใดที่หนึ่งในโลกที่ห่างไกลออกไป
“Achoo!!”
เมื่อความมืดมิดของฝนฟ้าคะนองทางอารมณ์ได้พัดตัวออกไปจากห้องโดยสารของรถตู้คันนี้แล้ว คนหลังฉากทั้ง 2 กับเสียงผู้สมรู้อีก 1 ก็เปลี่ยนไปคุยกันต่อว่าจะทำเช่นไรต่อ
“ว่าแต่จะทำอะไรต่อดีล่ะครับ?”
เซย์จิที่เดินไปหยิบผ้าพันแผลมาใช้จากกล่องในกระเป๋าบนเบาะนั่งแถวหลังสุดกล่าวเปิดประเด็น
“เหมือนประตูมันจะร้อนเกินกว่าที่พวกเราจะจับได้ไปอีกซักพัก ถ้าสาดน้ำใส่ให้มันเย็นลงตอนนี้คงได้เปลี่ยนห้องโดยสารนี้เป็นซาวน่าแน่ครับ”
เขาหมายถึงบางประตูหน้าหลังทั้ง 2 ฝั่งที่ร้อนแดงหลังจากดูดซับพลังงานจำนวนมากไว้หลังถูกโจมตี
“ก็ยังมีทางออกอื่นอยู่นิ”
อากิโตะชี้ขึ้นเพดานที่เขาและเซย์จิต้องย่อตัวหลบอยู่เป็นประจำ
สิ่งที่เด่นชัดอยู่บนผืนไวนิลที่แผ่คลุมทั้งห้องโดยสารของรถคันนี้ ก็คือแผ่นเลื่อนที่กินพื้นที่เกือบทั้งเพดานของหลังคาตั้งเบาะนั่งแถวกลางเป็นต้นไป ที่พอจับมันเลื่อนไปข้างหลังก็จะเผยให้เห็นกระจกแก้วโค้งของซันรูฟขนาดใหญ่ที่แทบจะไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน
“ทริคปาร์ตี้เยอะดีนะครับ รถคันนี้”
เซย์จิกล่าวพลางหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับความคิดที่อากิโตะเสนอมาอย่างคร่าว ๆ ที่พอจะปะติดปะต่อเองได้ว่าเขานั้นกำลังจะทำอะไร
ไม่รอช้า อากิโตะกดเปิดซันรูฟทำให้มอเตอร์ขนาดเล็กเริ่มหมุนส่งเสียงแล้วขยับเปิดแผ่นแก้วโค้งใสไปด้านหลังเพื่อเปิดหลังคาของห้องโดยสารออก
มีเศษฝุ่นที่สะสมตัวบนหลังคาตลอดการเดินทางร่วงหล่นลงมาให้ห้องโดยสารบ้างในระหว่างที่แผ่นกระจกค่อย ๆ เคลื่อนตัว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าที่การปัดเช็ดเล็กน้อยจะไม่สามารถแก้ได้
“แขนผมเดี้ยงแบบนี้แล้ว คงทิ้ง P90 ไว้บนรถนะครับ เพราะยังไงก็ยิงมือเดียวไม่ไหวอยู่แล้ว”
“อ่า ทางนี้ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
อากิโตะหันไปตอบเซย์จิที่เพิ่งใช้ผ้าพันปิดแผลตัวอย่างง่าย ๆ ในขณะที่เตรียมตัวกระโดดขึ้นเบาะนั่งแล้วปีนออกจากรถทางข่องเปิดทางหลังคาโดยที่สพาย M2 ของเขาคาดไหล่ไว้
หลังจากที่ทั้ง 2 คนปีนขึ้นไปบนหลังคารถแล้วสไลด์ตัวลงพื้นผ่านทางกระจกหน้าที่เย็นตัวลงพอที่จะไม่เผาไหม้พวกเขาแล้ว พวกเขาก็เดินตรงไปยังกล่องที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าผู้มาเยือน
“อย่างน้อยพวกนั้นก็ไม่ได้หนีไปพร้อมกล่องใบนี้ แล้วก็เตรียมพร้อมกลับไปยังฝั่งของพวกตนก่อนที่จะหาตัวเจออีกรอบ ถือว่าโชคยังเข้าข้างพวกเราอยู่บ้างน่ะนะ”
อากิโตะพยายามมองโลกในแง่ดี
“นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถใช้จินตภาพของกล่องนี้ได้ค่ะ”
ฮินะกล่าวตอบอย่างฉับไวด้วยน้ำเสียงที่กลับไปสดใสร่าเริงเหมือนเดิม
“ใช้ไม่ได้อย่างงั้นรึ? ดูแล้วยังไงกล่องนี้ก็เป็นอะไรที่พวกนั้นเอามาจากฝั่งตัวเองนิ”
เขาหมายถึงกล่องโลหะทรงย้อนยุคช่วงสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมแบบมีฝาปิดที่สูงประมาณเอวของเขาแล้วยาวประมาณ 2 เมตร และกว้างราว 1 เมตรที่มีผิวเรียบที่ตามขอบนั้นมีตะเข็บทองแดงแบบใช้หมุดยึดเพื่อคงรูปทรงไว้ที่เขากับเซย์จิกำลังเดินไปหา
“สิ่งที่ฉัน ‘เห็น’ เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามใส่จินตภาพลงไปในบริเวณรอบ ๆ กล่องเท่าไหร่ก็ตาม กล่องนั้นก็ไม่มีการตอบสนองอะไรต่อจินตภาพวกนั้นเลยค่ะ”
ฮินะพยายามอธิบายให้คนหลังฉากทั้ง 2 คนอย่างเท่าที่เธอจะสามารถทำได้ แต่น้ำเสียงของเธอนั้นก็ชัดเจนว่าตัวเธอเองนั้นก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าในตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
“และที่สำคัญที่สุด คือนอกจากไม่มีการตอบสนองใด ๆ แล้ว จินตภาพเหล่านั้นก็หายไปเลยค่ะ เมื่อเข้าไปใกล้กล่องใบนั้น”
ประโยคสุดท้ายของฮินะนั้นดึงความสนใจของเซย์จิได้เป็นอย่างมาก จนทำให้เขาต้องเอ่ยถามกลับเพื่อความมั่นใจ
“หายไปงั้นรึครับ? ประมาณว่าถูกส่งกลับไปยังระนาบภพของมันอย่างในทันทีอย่างงั้นรึครับ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เซย์จิ…”
ฮินะตอบคำถามเซย์จิด้วยเสียงที่เกร็งแข็งกว่าเดิม
“มันเป็นตามที่ฉันบอกไปเลยค่ะ จินตภาพพวกนั้นมัน ‘หายไป’ เลย”
“?”
คำตอบของฮินะนั้นไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยใด ๆ ในความเป็นจริงมันเพิ่มจำนวนเครื่องหมายคำถามที่ลอยบนหัวของคนหลังฉากทั้ง 2 ด้วยซ้ำ ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจกับท่าทีเช่นนั้นของพวกเขาแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถสรรหาคำอธิบายสิ่งที่เธอ ‘เห็น’ ในตอนนั้นได้เหมือนกัน
“เอาเป็นว่าแค่เอาของที่อยู่ในกล่องนี้กลับไปที่ฐานก่อนก็พอสินะ”
อากิโตะที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ กล่องโลหะทรงย้อนยุคโดยที่ยังมีปืนคาร์บินสพายคาดอยู่ที่ไหล่
“ว่าแต่เธอพอรู้ไหมว่าข้างในนี้มีอะไรน่ะ ฮินะ?”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น…”
ฮินะทิ้งช่วงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อประโยคของเธอให้จบ
“ตอนที่ฉันมาถึง พวกเขาก็นำของบรรจุใส่กล่องนี้แล้วพยายามขนออกไปด้วยแรงคนแล้วค่ะ หลังจากที่ความพยายามในการเคลื่อนย้ายมันด้วยจินตภาพล้มเหลวน่ะนะคะ”
“อย่างงั้นรึ?”
อากิโตะที่ยังคงไม่ได้คำตอบว่าสิ่งที่อยู่ภายในกล่องนั้นคืออะไรก็หันไปทางเซย์จิ
“มือนายน่าจะพอช่วยดันเปิดฝากล่องนี่ไหวไหม?”
“ถึงผมตอบว่าไม่ไหว คุณคงยังจะให้ผมช่วยดันฝาเปิดอยู่ดีแหละนะครับ”
เซย์จิที่ยืนอยู่ติดกับกล่องในฝั่งตรงข้ามกับอากิโตะกล่าวตอบอย่างเหนื่อยใจพร้อมสะบัดมือทั้ง 2 ข้างของเขาอย่างห่อเหี่ยวห้อยลงพื้นอย่างหมดแรง
ทั้ง 2 คนย่อตัวลงแล้วหามุมจับของฝาเปิดของของกล่องโลหะขนาดใหญ่ตรงหน้า แล้วรอสัญญาณเพื่อเริ่มออกแรงเพื่อดึงเปิด
“เอ่อ จะเปิดดูจริง ๆ รึคะ อากิโตะ? ในคำสั่งไม่มีตรงไหนบอกอนุญาตให้ทำแบบนี้เลยนะคะ”
ฮินะถามอย่างเป็นกังวลต่อการกระทำของเพื่อนของเธอ
“ในคำสั่งอาจจะไม่มีคำสั่งให้ทำแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีคำสั่งห้ามเหมือนกัน”
อากิโตะอธิบายการตีความคำสั่งอย่างแยบยลในรูปแบบของเขา
“แล้วที่สำคัญ ทางนี้ก็ไม่คิดว่าจะสามารถขนกล่องใบขนาดนี้กลับไปพร้อม ๆ กับของที่เอามาเต็มรถขนาดนั้นได้ด้วยแหละนะ”
“หมายเหตุด้วยครับ ว่าเป็นของที่ส่วนใหญ่เอามาแล้วไม่ได้ใช้เลย”
“เงียบน่า… เพราะอีกฝ่ายหนีไปก่อนหรอก”
อากิโตะปัดตกคำพูดแทงใจดำของเพื่อนของเขาที่ยืนย่อขาประจำที่อยู่อีกฝั่งพร้อมออกแรงยกเปิดฝา
เมื่อตัวเขาวางปืนพร้อมสายสพายลงข้าง ๆ เท้าแล้วเพื่อความสะดวกในการขยับออกแรง อากิโตะก็ย่อตัวลงจับฝาในฝั่งตรงข้ามพร้อมกับให้สัญญาณ
“พร้อมนะ 1 2 3! ฮึบ!”
“ฮึบ!”
ทั้ง 2 คนออกแรงยกฝาโลหหนักขึ้น แล้วดันมันออกไปทางด้านข้างให้ทางเพื่อให้สามารถมองเห็นและเข้าถึงของภายในได้
ตึง
เสียงดังสะนั่นไหวกึกก้องไปในอุโมงค์เมื่อฝาโลหะที่หนักอึ้งร่วงหล่นกระแทกพื้นหลังจากมันถูกผลักออกไปพ้นจากการรองรับจากขอบหนาทั้ง 4 ด้านของตัวกล่อง ซึ่งก็ทำให้ฝุ่นบนพื้นที่สะสมมาจากการถูกทิ้งร้างหลายปีลอยคลุ้งขึ้นเล็กน้อย
“…”
“โอ๊ะ”
“อะไรกันคะเนี่ย?”
ทั้ง 2 คนและ 1 เสียงแน่นิ่งไปเมื่อได้เห็นของที่อยู่ภายใน…. ไม่สิ
“นั่นไงครับ อากิโตะ ผมบอกแล้วไงว่ามันต้องมีจริงด้วย ภารกิจลับน่ะ”
เซย์จิป่าวประกาศอย่างสะใจราวกับว่าเขาเพิ่งชนะอะไรที่สำคัญมาก ๆ ในชีวิตของเขา
“ผมวิ่งกลับไปแขวนป้ายนั่นก่อนล่ะ ฮะ ๆ ๆ ๆ ”
เขาวิ่งแจ้นตรงกลับไปที่รถราวกับว่าลืมความเจ็บปวดไปอย่างหมดสิ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาจากท้องอย่างสุดเสียง แล้วทิ้งอากิโตะไว้ให้ยืนคิ้วขวากระตุกอย่างสับสนงุนงงอยู่คนเดียวเบื้องหลัง
“ฮะ ๆ …”
ฮินะหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับท่าทีพูดไม่ออกของเพื่อนของเธอ
“ใครจะไปคิดล่ะนะคะ ว่าในกล่องที่นักเดินพยายามจะ ‘ช่วงชิง’ จากบังเกอร์ที่ถูกทิ้งร้างมาหลายสิบปีแห่งนี้นี่ ไม่สิ ที่พยายามไป ‘ลักพา’ ไปจากบังเกอร์แห่งนี้…”
เธอพยายามกล่าวอธิบายสถานการณ์ตรงหน้าแทนที่เพื่อนคนหลังฉากที่ไม่น่าจะพูดอะไรไปอีกซักพัก
“ใครจะไปคิดล่ะนะคะ ว่าแทนที่จะมี ‘อะไร’ บรรจุอยู่ภายใน มันกลับมี ‘ใคร’ บรรจุอยู่แทน”
และนั่นก็หมายถึงหญิงสาว 2 คนที่สวมชุดวันพีชสีขาวและดำและรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝดที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ข้าง ๆ กันภายในกล่องโลหะที่ถูกเปิดฝาออก
ซึ่งก็ทำให้อากิโตะได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออกถึงภาพตรงหน้าที่ดูไม่สมเหตุหรือผลแม้แต่น้อย และนั่นก็พิจารณาด้วยมาตรฐานของ SEAR หรือของคนหลังฉากแล้วด้วย
แล้วก็ทิ้งเซย์จิให้หัวเราะให้กับความไม่สมเหตุสมผลตรงหน้าที่เขาคาดเดาเอาไว้ แล้ววิ่งเต้นไปคนเดียวเพื่อไปหยิบป้าย ‘Free Candy’ ที่ทำไว้อย่างลวก ๆ ที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ในรถที่เขาลืมไปว่าบานประตูต่าง ๆ นั้นยังคงร้อนเกินกว่าที่จะใช้มือจับเปิดได้