บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 1.4
อากิโตะเหยียบเบรกและคลัทช์แล้วสับเกียร์ไปที่เกียร์ว่าง จากนั้นก็ดึงเบรกมือเพื่อหยุดรถตู้หนัก 1 ตันอย่างนิ่งสนิทห่างจากเหล่าคนที่แต่งตัวในชุดของยุคสมัยที่ต่างไปราว ๆ 20 เมตร
เครื่องยนต์ที่เคยส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วพื้นที่ปิดของอุโมงค์ลดลงไปเหลือเพียงเสียงเดินเครื่องรอบเบาที่สามารถทำให้เสวนาคุยกันอย่างไม่ถูกรบกวน
ไม่รอช้าหลังจากที่รถตู้หยุดนิ่ง เซย์จิจับก้านหมุนพลาสติกสีเทาที่ยื่นออกมาจากบานประตูฝั่งเขาแล้วค่อย ๆ หมุนมันเพื่อลดกระจกลงให้มีช่องเปิดมากพอที่เขาจะสามารถสอดโทรโข่งขนาดเล็กในมือออกไปข้างนอกได้โดยที่ตัวเขายังนั่งอยู่ในรถ
“นี่คือการประกาศจาก SEAR ในขณะนี้พวกท่านได้รุกล้ำเขตแดนของระนาบภพความเป็นจริงฝั่งของพวกเราเข้ามา กรุณาหยุดการกระทำของพวกท่านและให้ความร่วมมือกับทางเราโดยไม่ขัดขืนด้วย”
เสียงที่ถูกขยายให้ดังกังวาลด้วยระบบไฟฟ้าของโทรโข่งนั้นมีเสียงแทรกตามแบบฉบับของโทรโข่งคุณภาพตามท้องตลาดทั่วไป กระนั้นมันก็ยังชัดเจนเกินพอที่จะทำให้ได้ยินทุกพยางค์การออกเสียงภาษาญี่ปุ่นของเซย์จิอย่างไม่มีปัญหา
“อีกฝ่ายนิ่งเหมือนคนที่ ‘อ่าน’ ข้อความแล้วไม่ตอบเลยครับ”
เซย์จิชี้นิ้วชี้ของมือขวาที่ยังคงถือไมโครโฟนแยกของโทรโข่งอยู่ไปยังทิศทางของกลุ่มคนแต่งตัวย้อนยุคทั้ง 5 คนที่ยังคงนิ่งเฉยเมื่อได้ยินคำกล่าวประกาศที่ชัดเจนของเขา
“ย้ำอีกครั้ง ในขณะนี้พวกท่านกำลังรุกล้ำเขตแดนของฝั่งเราเข้ามา ขอให้หยุดการกระทำทั้งหมดและยอมจำนนให้ความร่วมมันกับพวกเราแต่โดยดี ถ้ามีการขัดขืนใด ๆ พวกเราได้รับมอบอำนาจให้ทำการโต้ตอบในทันที ย้ำอีกครั้ง พวกเราได้รับมอบอำนาจให้ทำการโต้ตอบในทันที”
เซย์จิประกาศย้ำเตือนครั้งที่ 2 พร้อมด้วยคำเตือนถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากอีกฝั่ง ราวกับว่าคำพูดของเซย์จินั้นไม่มีพลังอำนาจในการต่อรองใด ๆ ต่อพวกเขาเลย หรือไม่ก็เป็นเพราะว่า…
“คิดว่าพวกนั้นฟังภาษาญี่ปุ่นออกไหมครับ อากิโตะ?”
เซย์จิเสนอความเป็นไปได้ที่ถ้าหากว่าลองคิดดูดี ๆ ก็น่าจะเป็นอะไรที่ควรนึกถึงตั้งแต่แรก
“ให้ผมลองพูดเป็นภาษาอังกฤษไหมครับ?”
“เพื่อความปลอดภัย ลองบอกมาก่อนว่านายจะพูดอะไรประมาณไหน?”
“Oi bloody wankers! Comply with our requests or be prepared to be-”
“โอเค วางถ้วยน้ำชาลงแล้วส่งโทรโข่งมานี่…”
ในจังหวะนั้นเอง ทางฝั่งของผู้มาเยือนที่ถูกไฟหน้าฉายส่องก็มีการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ราวกับกลุ่มของนักล่าที่รอคอยจังหวะทีเผลอของเหยื่อ
4 จาก 5 คนที่ยืนกันอย่างกระจัดกระจายโบกสะบัดเปิดผ้าคลุมรูปแบบต่าง ๆ ของพวกตนอย่างพร้อมเพียง เผยให้เห็นลิ่มโลหะแหล่มลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมด้วยรัศมีประกายแสงอ่อน ๆ รอบ ๆ พวกมันราวกับเป็นสนามพลังงานบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
พวกมันลอยตัวขยับขึ้นและลงเป็นจังหวะเบา ๆ เหมือนกับฟองอากาศที่ไหวตามกระแสคลื่นทะเลอย่างเป็นเอกเทศจากกันและกันที่ยากจะเลียนแบบแม้โดยนักมายากลมือฉมัง
แต่ไม่ทันไร แสงอ่อน ๆ รอบ ๆ พวกมันก็เปล่งประกายสว่างขึ้นอย่างไม่มีการเตือน และลิ่มโลหะทั้งหลายก็หันปลายคมแหลมไปยังรถตู้ที่จอดนิ่ง แล้วก็พุ่งทยานออกไปด้วยความเร็วอย่างไม่มีอัตราเร่ง
นี่คือการตอบสนองต่อจินตภาพ พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถปรากฏมีตัวตนขึ้นมาและหายไปอย่างไม่มีการโอนถ่ายหรือแปรเปลี่ยนจากสิ่งใด ๆ จากฝั่งของความเป็นจริง เป็นผลให้เกิดการตอบสนองที่กะทันหันและฝืนธรรมชาติเช่นนี้
เหล่าลิ่มโลหะแหวกว่ายผ่านกระแสอากาศด้วยความเร็วที่เกินกว่าสายตาของมนุษย์ปกติจะสามารถตามจดจ้องได้ทัน
กระนั้นการเคลื่อนที่ของพวกมันทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นสอดคล้องซึ่งกันและกันโดยสมบูรณ์ ทำให้มีบางส่วนพุ่งปะทะกันเองจนกระจายออกนอกวิถีไปบ้าง แต่โดยส่วนมากทั้งหมดก็ยังคงพุ่งไปในวิถีสังหารมุ่งตรงสู่รถตู้ที่จอดนิ่งอยู่
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการกะพริบตา และก็คงจะสิ้นสุดลงในระยะเวลาที่เท่า ๆ กันโดยที่ทั้งอากิโตะและเซย์จิไม่มีโอกาสจะได้ตอบสนองและหลีกเลี่ยงอะไรได้
ถ้าเหล่าก้อนมวลสารที่เคลื่อนที่มาด้วยพลังงานจลน์ปริมาณขนาดนี้เข้าปะทะกับสิ่งใด ๆ ในรถตู้ที่จอดอยู่ ไม่สำคัญว่าจะเป็นชิ้นโครงสร้างของรถหรือร่างกายมนุษย์ มันย่อมจะต้องจบลงด้วยการทำลายล้างแน่
ด้วยความเผอเรอเพียงชั่วขณะของอากิโตะกับเซย์จิ ก็ทำให้เหล่าผู้มาเยือนสามารถจู่โจมเพื่อปลิดชีพพวกเขาทั้ง 2 คนได้อย่างง่ายดาย
มันไม่สำคัญว่าจะเป็นใครมาจากไหน การคาดเดารูปแบบวิธีการและขีดความสามารถต่าง ๆ ของเหล่าผู้มาเยือนที่มาจากต่างความเป็นจริงก็ไม่ใช่อะไรที่สามารถทำได้ด้วยเพียงสามัญสำนึกหรือความรู้จากฝั่งของตน และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าการรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องยากเข็ญยิ่งนัก
ต่อหน้าสิ่งที่สามารถสร้างความเป็นไปได้ต่าง ๆ ออกมาอย่างจินตภาพ คนธรรมดาอย่างอากิโตะหรือเซย์จิก็คงอยู่ภายใต้ความปราณีของอีกฝ่ายที่มีความคิดว่าการมอบความตายโดยฉับพลันให้นั้นคือความปราณีเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาสามารถมอบให้ได้
และนั่นก็เป็นบทสรุปของเหตุการณ์อันน่าสลดเมื่อคนธรรมดาต้องมาเผชิญหน้ากับเหล่าผู้มาเยือน
มันก็คงจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่ติดว่า ‘คนธรรมดา’ ทั้ง 2 คนนี้เป็นคนหลังฉากน่ะนะ
คำว่า ‘ไม่รู้ตัว’ หรือ ‘เล่นทีเผลอ’ นั้น มันไม่ใช่อะไรที่จำเป็นต้องใช้ผู้โจมตีเสมอไป ในบางครั้งมันก็เป็นอะไรที่ใช้ได้กับคนที่ ‘หลอกล่อ’ ให้อีกฝ่ายโจมตีเช่นกัน
เซย์จิที่สังเกตความเคลื่อนไหวของเหล่าผู้มาเยือนทั้งหมดตลอดเวลาด้วยการชำเลืองมองจากหางตาอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวก็รีบหมุนกระจกขึ้นอย่างทันทีทันควันราวกับว่าเขาคาดหวังการตอบสนองเช่นนี้จากอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกพบ
ส่วนอากิโตะที่แสยะยิ้มออกมาที่มุมปากเมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดฉาก ‘การโจมตี’ ในจังหวะที่เขาและเซย์จิ ‘เสแสร้ง’ ทำเป็นเสียสมาธิก็จับก้านควบคุมไฟหน้ารถที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยแล้วบิดมันไปยังตำแหน่งเปิดไฟสูงในทันทีที่เหล่าลิ่มเหล็กที่อีกฝ่ายใช้เริ่มมีการเคลื่อนไหวด้วยจินตภาพ
แสงไฟสีเหลืองอำพันของไฟหน้ารถตามแบบฉบับของยุค 90 ถูกแทนที่ด้วยแสงสีขาวสว่างยิ่งกว่าไฟค้นหาของประภาคารในเขตทะเลพายุคลั่ง
ความสว่างอย่างกะทันหันของหลอดไฟสูงที่ไม่มีทางถูกกฎหมายของรถตู้ของคนหลังฉากฉายอาบพื้นที่จำนวนมากในอุโมงค์ในพริบตาจนเผยให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเช่น รอยแตกร้าวของคอนกรีตตามเสาและกำแพง หรือป้ายสีและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ถูกเขียนกำกับไว้ตามส่วนต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้สายตาของเหล่าผู้โจมตีที่ไม่ทันได้คาดหวังการโต้ตอบจากเหยื่อที่ไม่รู้ตัวต้องพร่ามัวแล้วกลายเป็นสีขาวสว่างที่กลบเกลือนการมองเห็นอย่างในทันทีทันใด
กระนั้นแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วอากิโตะจะสามารถเป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบในจังหวะนั้นมาได้ ลำพังด้วยตัวแสงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำอะไรเหล่าลิ่มเหล็กเรืองแสงที่กำลังพุ่งมาทางพวกเขาพร้อมด้วยประสงค์สังหารได้อยู่ดี
ซึ่งนั่นก็ทำให้ท่าทีของทั้ง 2 ชีวิตบนรถนั้น…
“…”
“~♪”
ก็ยังคงไม่สนใจพวกมันอยู่ดี
ราวกับห่าสายฝนดาวตกในวันสิ้นโลก เหล่าลิ่มโลหะที่เคลื่อนที่ราวกับกระสุนที่ถูกผลักดันโดยจินตภาพพุ่งเข้าปะทะกับส่วนด้านหน้าของรถตู้อย่างต่อเนื่องและรุนแรงก่อให้เกิดเป็นเสียงแหลมสูงที่ดังสะนั่นไปทั่วอุโมงค์พร้อมกับเศษสะเก็ดไฟที่ปลิวสไวในทุกทิศทางราวกับช่วงเทศการดอกไม้ไฟฤดูร้อน
ชิ้นโลหะต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายไปในทุกทางแล้วกลิ้งกระดอนไปมาก่อนที่จะหยุดลงตามพื้นผิวต่าง ๆ แล้วปล่อยคลายไอร้อนและควันลอยคลุ้งอเข้าสู่ชั้นบรรยากาศหลังจากที่อุณหภูมิพื้นผิวของพวกมันสูงขึ้นหลังจากการถ่ายเทพลังงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปะทะ
การยิงถล่มของอีกฝ่ายนั้นดำเนินอย่างเกรี้ยวกราดและรุนแรงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดทอน
กระจกหน้าและตัวถังรถที่ถูกเข้าปะทะครั้งแล้วครั้งเล่าโดยพลังงานจลน์ที่มีต้นกำเนิดมาจากระนาบภพที่แตกต่างออกไปเริ่มส่งแสงร้อนแดงขึ้นเรื่อย ๆ เฉกเช่นเหล็กที่กำลังถูกตีหลอมขึ้นรูป
กระนั้นนอกจากความร้อนแดงราวกับจะหลอมละลายแล้ว พวกมันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหักร้าวหรือแตกสลายเลย และยังคงตั้งตระหง่านรับขุมพลังงานจลน์พุ่งเข้ามาเพื่อหวังปลิดชีวิตทั้ง 2 ภายในห้องโดยสารเฉกเช่นการตั้งรับของกองทหารเดนตายที่จะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
และสุดท้าย ความทนทานของชิ้นส่วนของยานยนต์คันนี้ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ก่อนจะคว้าชัยในศึกของความดื้อรั้นมาได้ในสภาพร้อนแดงหลังจากที่ลิ่มเหล็กชิ้นสุดท้ายถูกปัดปลิวออกไปโดยที่ไม่สามารถพุ่งเข้าไปทำร้ายอะไรใครที่อยู่ภายในได้
“อภินันทนาการจากหน่วยวิจัยครับ กระจกกับไฟเบอร์กลาสที่สามารถทนรับพลังงานจลน์ได้มหาศาลตราบที่ติดตั้งอย่างถูกวิธี แนะนำว่าอย่าเอามือหรือเข้าไปใกล้พวกมันในตอนนี้ดีกว่า มันเปลี่ยนพลังงานที่รับมาเป็นความร้อนที่กระจายไปทั้งวัสดุน่ะครับ”
เซย์จิกล่าวพูดแนะนำสรรพคุณของตัวกระจกกับผิวด้านนอกรถตรงหน้าที่กำลังร้อนแดงจนทำให้ภาพต่าง ๆ ดูบิดเบือนโดยไอร้อนที่ถูกปล่อยออกมาเหล่านั้น
“น่าจะหมายถึง วัสดุที่แพงแบบบ้าบอจนและไม่สามารถทำให้มันมีขนาดใหญ่กว่านี้เพื่อใช้งานบนรถคันนี้ไม่ได้ ที่ก็มีผลข้างเคียงเป็นการที่มันชอบย่างสดอะไรก็ตามที่อยู่รอบ ๆ มันมากกว่านะ”
อากิโตะตอบกลับในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเลื่อนเบาะนั่งถอยหลังเพื่อออกห่างจากแผ่นกระจกหน้าที่ร้อนแดงราวกับหม้อต้มไอน้ำของเครื่องจักรในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
“ก็ว่าไปเถอะครับ มันก็เพิ่งช่วยชีวิตพวกเราไปนะ”
เซย์จิที่เหงื่อตกจากไอร้อนที่แผ่ออกมาก็ปรับเบาะถอยหลังตามอากิโตะไปพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งของฝั่งเขาออกเช่นกัน
“ก็ไม่เถียง ถึงมันจะกำลังย่างสดพวกเราในตอนนี้ก็เถอะ แต่กระจกแผ่นตัวถังกับกระสุนและไฟสูงที่แทบตาบอดนี่น่าจะเป็นไม่กี่อย่างที่แผนกนายเอามาติดกับรถคันนี้แล้วมีประโยชน์จริง ๆ แหละนะ ถ้าไม่ติดว่าเพราะต้องรักษาความลับเกี่ยวกับพวกมันมาก ๆ จนเอาไปซ่อมบำรุงตามปกติไม่ได้จนสภาพเป็นแบบนี้น่ะนะ”
อากิโตะตอบอย่างเรียบเฉยก่อนจะลงเอยด้วยการเหน็บผลงานของแผนกของเพื่อนของเขา
“กลับไปที่เรื่องตรงหน้า ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเขาตัดริบบิ้นเปิดงานให้อย่างดีเลยนะเนี่ย ดีจนต้องลืมเรื่องเจรจาอย่างแผน 1 แล้วเข้าไปแผน 2 อย่างไม่ให้เสียมารยาทเลย”
เขากล่าวถึงสถานการณ์ที่เพิ่งโกงความตายตรงหน้ามาได้อย่างติดตลก
เซย์จิที่หยิบ P90 ขึ้นมาถืออย่างมั่งคงในมือขวาของเขาโดยที่นิ้วชิ้ยังคงอยู่นอกโกร่งไกของตัวปืนก็ตอบกลับท่าทีที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นของเพื่อนของเขา
“อย่าพูดเหมือนกับว่าคุณคาดหวังอะไรกับการเจรจาแต่แรกเลยครับ เบาะนั่ง 5 ที่ที่ควรจะไว้สำหรับพาพวกเขากลับไปกรณีเจรจาสำเร็จมีแต่กระสุนกับอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างวางไว้เต็มแบบนี้ ชัดเจนน่ะครับว่าคุณไม่เคยคิดจะพาพวกเขากลับไปแต่แรกอยู่แล้ว”
ราวกับว่าโดนเพื่อนสนิทอ่านออกอย่างทะลุประโปร่ง อากิโตะที่ไม่คิดจะปิดบังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็หยิบอุปกรณ์ป้องกันหูหน้าตาคล้ายหูฟังสอดหู (in-ear) แบบไร้สายออกมาจากกระเป๋าใต้เสื้อนอกของชุดสูทสีดำของเขาออกมาสวมใส่อย่างชำนาญก่อนที่จะเก็บกล่องใส่พวกมันกลับเข้าที่เดิม
“ก็คงยากที่จะเชื่อเหมือนกันแหละนะ ว่าคนที่หยิบ P90 มาเตรียมไว้ในสภาพพร้อมยิง และเกือบจะลืมหยิบโทรโข่งสำหรับเจรจาออกมาอย่างนายมีความคิดที่จะทำตามแผน 1 แต่แรกน่ะ”
อากิโตะย้อนข้อกล่าวหากลับไปยังเพื่อนผู้ส่งสารของเขา
“ก็พอ ๆ กันทั้งคู่นั่นแหละค่ะ ไม่มีความคิดแม้แต่จะเจรจาหรือใช้วิธีสันติกันแม้แต่น้อยเลย”
ฮินะที่ไม่ได้พูดอะไรมาสักพักทักท้วงติงถึงนิสัยเสียของคนสนิทหลังฉากทั้ง 2 ของเธอพร้อม ๆ กับการถอนหายใจอย่างหนักใจที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสริมการแสดงออกทางอารมณ์
“ฉันก็กะไว้แต่แรกแล้วจริง ๆ ค่ะ ว่ายังไงพวกคุณทั้ง 2 คนก็ต้องลงเอยแบบนี้แน่ ๆ …”
เธอกล่าวพูดต่ออย่างเหนื่อยใจ
“เดี๋ยวฉันจะคอยดูลาดเลาและท่าทีน่าสงสัยเกี่ยวกับจินตภาพของอีกฝั่งหนึ่งให้นะคะ แต่หลังจากนี้ก็ระวังตัวกันด้วยค่ะ ทั้ง 2 คน”
เมื่อได้ยินเสียงเตือนที่สลัดความเหนื่อยใจออกไปแล้วของเพื่อนผู้ไร้ซึ่งกายเนื้อของพวกเขาในตอนนี้ ทั้ง 2 คนก็ขานรับทราบอย่างพร้อมเพียง
และราวกับนัดหมายกันไว้ ทั้ง 2 จับที่บางพับที่เปิดประตูหน้าของรถตู้แล้วดันเปิดออก จากนั้นก็กระโดดลงจากรถและผลักปิดประตูบานพับพร้อม ๆ กัน โดยที่เซย์จิยกปืนขึ้นประทับบ่าหันเล็งไปข้างหน้า ส่วนอากิโตะวิ่งไปเปิดประตูเลื่อนด้านหลังหลังฝั่งที่เขาอยู่เพื่อหยิบของที่วางเอาไว้
เซย์จิบิดปลดเซฟตี้ให้ตัวอักษร S ขยับออกแล้วให้ตัวอักษร A ที่อยู่บนนั้นชี้ตรงกับรอยบากบนตัวปืนจากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ขวาที่เคยอยู่นอกโกร่งไกทาบลงบนไกอย่างระมัดระวัง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายลง
แต่ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกหมด
กริ๊ก
ไกปืนของ P90 ก็ถูกกด แล้วกลไกต่าง ๆ ภายในก็เริ่มปลุกหนึ่งในระบบอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของมนุษย์ในความเป็นจริงฝั่งนี้ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับไหล
ปัง
ปลายปากลำกล้องของ P90 สว่างวาบขึ้นจากเปลวเพลิงของแก๊สร้อนที่ขยายตัวจากการเผาไหม้ของดินปืนไร้ควันที่พวยพุ่งออกมาหลังจากที่หัวกระสุนน้ำหนัก 2 กรัมถูกเร่งขับดันจนถึงความเร็ว 2 เท่าของความเร็วเสียงพุ่งออกไปในทิศทางที่มันถูกเล็ง
ปลอกทองเหลืองที่สิ่งต่าง ๆ ที่เคยถูกบรรจุอยู่ภายในถูกขับส่งออกไปทางปากลำกล้องไม่ก็ถูกเผาไหม้ไปหมดแล้วถูกคัดออกจากรังเพลิงที่ถูกเปิดออกด้วยกลไกภายใน แล้วก็ถูกทิ้งลงด้านล่างผ่านช่องเปิดของตัวปืนโพลิเมอร์ ก่อนที่กระสุนนัดใหม่จากแมกกาซีนจะถูกเข้าลำกล้องแล้วก็พร้อมสำหรับการยิงครั้งถัดไป
ปัง ปัง
ด้วยไกที่ถูกตั้งอยู่ตัว A หรือการยิงแบบอัตโนมัติ P90 ก็ทำซ้ำวงจรอีกยิงก่อนหน้าอีก 2 ครั้งก่อนที่เซย์จิจะลดแรงกดบนไกปืนลง ทำให้มันหยุดทำงานหลังจากที่กระสุนนัดสุดท้ายของชุดยิงออกจากปากลำกล้อง
กลุ่มกระสุนทั้ง 3 นัดแหวกว่ายผ่านอากาศไปตามวิถีโค้งที่เป็นผลจากความโน้มถ่วงของโลกไปด้วยความเร็วที่เกินกว่าที่เสียงแหลมสูงของการระเบิดที่ผลักดันของพวกมันจะตามทัน
วิถีของพวกมันนั้นกำลังพุ่งตรงไปเข้าปะทะกับตรงส่วนท้องของผู้ขายผอมสูงในชุดสูทพร้อมผ้าคลุมที่กำลังเอามือป้องตาอยู่จากการพร่ามัวของแสวงที่สว่างจ้าขึ้นมาอย่างกะทันหันของไฟสูงที่อากิโตะเปิดใส่เพื่อทำลายการมองเห็นของเขา
ด้วยระยะเพียง 20 เมตร และไม่มีอะไรมาขวางกั้น มันก็แทบจะเป็นการันตีว่ากระสุนทั้ง 3 นัดก็เกินพอสำหรับสิ่งผู้ที่ยิงพวกมันคาดหวังเอาไว้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ในจังหวะที่กระสุนมันควรจะเข้าปะทะ ชายขอบของผ้าคลุมสีดำเขาสวมใส่อยู่ที่ควรจะห้อยแขวนอยู่ตามความโน้มถ่วงของโลกก็เริ่มเรืองแสงและขยับไหวราวกับมีชีวิต แล้วเริ่มพับทับตัวเองเป็นชั้น ๆ ในบริเวณส่วนหน้าท้องของเขาที่เหล่ากระสุนกำลังพุ่งมา
เซย์จิลดศูนย์เล็งของปืนของเขาลงเพื่อมองดูภาพเหลือเชื่อที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของเขา
ผ้าคลุมที่ราวกับมีชีวิตนั้นขดทบตัวขึ้นมาป้องกันเป็นชั้นหนาจนมากพอที่จะหยุดกระสุนที่เขาใช้ได้อย่างทันท่วงที ทำให้กระสุนปืนทั้ง 3 นัดไม่สามารถเจาะทะลุไปเพื่อสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของคนที่เขาเล็งได้
“เหมือนผ้าคลุมของพวกนั้นใส่จินตภาพไว้ เลยสามารถขยับตัวเพื่อป้องกันผู้สวมใส่ได้นะครับ”
เซย์จิใช้ไมโครโฟนและลำโพงที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องป้องกันหูของเขาเพื่อติดต่อแจ้งข้อมูลใหม่ให้กับเพื่อนของเขาที่กำลังหยิบของอยู่ในห้องโดยสารของรถตู้
“ผมจะลองยิงชุดที่ใหญ่กว่าดูนะครับ”
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง
และกระสุนอีกชุดใหญ่ ๆ จาก P90 ก็ถูกลั่นส่งไปอีกชุดหลังจากที่ข้อความเสียงจากเซย์จิหยุดลง
ชุดของเสียงแหลมที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้งก็ทำให้หญิงสาวร่างเล็กสุดของกลุ่มผู้มาเยือนที่ยังคงปิดตาอยู่จากอาการพร่าส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจออกมา ก่อนที่จะย่อตัวลงต่ำติดพื้นแบบเข่าชนอกและนำมือขึ้นมาปิดปกป้องโสตประสาทของเธออย่างสั่นกลัว
แต่ในขณะเดียวกันกระสุนนัดแล้วนัดเล่าที่เซย์จิเล็งและยิงใส่เป้าหมายเดิมถูกหยุดเอาไว้โดยผืนผ้าคลุมที่ยังคงขยับไหวอย่างมีชีวิตเพื่อปกป้องผู้สวมใส่มันโดยไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรได้
“ให้ตายสิ จะเอาแบบนี้จริง ๆ สินะ…”
เซย์จิสบถกับตัวเองหลังจากที่การยิงชุดที่ 2 ไม่เป็นผล ก่อนที่เตรียมตัวยิงชุดที่ 3
ทางด้านของอากิโตะที่ได้รับข้อความเสียงผ่านหูฟังที่เสียบไว้
เขากำลังหยิบเปิดถุงผ้าที่วางอยู่บนเบาะนั่งแถวกลางออกที่เผยให้เห็นเป็นปืนอีกกระบอกที่พื้นผิวส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยลวดลายของไม้วอลนัทที่ถูกขัดจนเรียบเนียนในทุกสัมผัสจับ
ถ้าหากว่า P90 ที่อยู่ในมือของเซย์จินั้นเต็มไปด้วยคำว่า ‘ล้ำสมัย’ และ ‘อนาคต’ เขียนทับอยู่ในทุกมุมองศาของมัน ปืนที่อยู่ในมือของอากิโตะในตอนนี้ก็คงเต็มไปด้วยคำว่า ‘ย้อนยุค’ และ ‘คลาสสิค’
มันคือ M2 Carbine ปืนที่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต่างจากพี่สาวที่มีชื่อเสียงกว่าอย่าง M1 ตรงที่ปืนกระบอกนี้มีคันโยกปรับให้เลือกการยิงแบบอัตโนมัติได้
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้วในหลาย ๆ วงการที่ใช้อาวุธปืน แต่ด้วยหน้าตาและประวัติของมันจากยุคสมัยสงครามครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์ ทำให้แม้ผ่านมาเกือบ 8 ทศวรรษ รูปทรงของ M2 กระบอกนี้นั้นก็ไม่ได้ขยับตัวออกห่างจากคำว่าสวยงามเลยแม้แต่น้อย
ส่วนของด้ามจับและพานท้ายที่เรียวสวยและโค้งลงเข้ากับมือและหัวไหล่อย่างสวยงามที่ทำมาจากไม้วอลนัทที่ถูกขัดจนเห็นเป็นสีน้ำตาลสว่างที่เห็นลวดลายวงปีชัดเจนตัดกับชิ้นส่วนกลไกต่าง ๆ ที่เป็นเหล็กกล้าที่ถูกบลูมาอย่างสวยงามที่ถูกติดตั้งไว้อย่างเปิดเผยให้เห็นได้จากภายนอกต่างจากอาวุธสมัยใหม่
ด้านหน้าก็มีลำกล้องที่ทำมาจากเหล็กกล้าทรงกระบอกสีเดียวกับชิ้นส่วนกลไกอื่น ๆ ยาวล้นออกมาจากตัวปืนที่วัสดุเป็นไม้เรียวยาวที่มีความโค้งมนเล็ก ๆ น้อยในแบบของตัวเองที่ทำให้สามารถแยกแยะมันออกจากปืนกระบอกอื่น ๆ จากช่วงเวลาเดียวกันได้
อากิโตะเปิดกล่องกระสุนโลหะแล้วหยิบแมกกาซีนโลหะสีดำแบบกล่องทรงโค้งที่บรรจุกระสุน .30 Carbine 30 นัดจำนวน 4 อันออกมาใส่ในช่องกระเป๋าภายใต้เสื้อนอกของเขา แล้วก็หยิบแมกกาซีนอีกอันที่วางเหลืออยู่ในกล่องออกมาบรรจุเข้าทางช่องภายใต้ตัวปืนแล้วดึงคันรั้ง 1 ครั้งเพื่อบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง
“P90 ที่กดยิงเบิสต์ยังฝ่าการป้องกันไม่ได้งั้นรึ? มาดูกันว่าของหลงยุคแบบนี้จะทำอะไรได้บ้าง”
อากิโตะพูดกับตัวเองก่อนที่จะดันคันโยกทางด้านซ้ายของกลุ่มกลไกโลหะที่ตัดตั้งอยู่อย่างเปิดเผยตรงบริเวณเหนือชุดไกปืนไปข้างหน้าเพื่อเลือกระบบยิงแบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะก้มหัวหลบขอบประตูแล้วก้าวออกไปภายนอกพร้อมยกปืนคาร์บินในมือขึ้นประทับบ่า
เขาชำเลืองไปมองทางเซย์จิที่ยืนล้ำหน้าไปหน่อยที่อีกฝั่งของตัวรถ
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง
หลังจากยิงทดสอบไป 2-3 ชุดอย่างไม่เป็นผล เซย์จิก็เปลี่ยนวิธีการเล็งและยิงจากการยิงเป็นชุดเล็งอย่างบรรจงและยิงออกไปเป็นชุดเล็ก ๆ ไปเป็นแบบกดทีเดียวหมดแมกกาซีน
ปลายปากกระบอกของ P90 สว่างและดับมืดไปครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อม ๆ กับปลอกกระสุนที่ถูกคายออกทางด้านล่างของตัวปืนอย่างขาดสาย พร้อมกับการสะบัดของตัวปืนที่มากขึ้นจากการยิงต่อเนื่อง กระนั้นอากิโตะก็ยังพอเห็นการรูปแบบการเล็งที่มีจุดประสงค์อย่างชัดเจน และตัดสินใจจะเข้าร่วมด้วยในทันที
นิ้วชี้ขวาที่อยู่นอกโกร่งไกอยู่ตลอดเวลาของเขาดันสลักคันโยกเล็ก ๆ ของเซฟตี้ตรงส่วนหน้าของโกร่งไกโลหะเข้าสู่ตำแหน่งพร้อมยิง จากนั้นก็วางนิ้วลงบนไกปืน ก่อนที่จะมองผ่านศูนย์เล็งลังแบบวงกลมที่ทาบลงบนร่างกายของผู้ชายร่างกำยำอีกคน แล้วกดไกอย่างประณีตในจังหวะหายใจออก
ปัง ปัง ปัง
ปืนคาร์บินกระบอกนี้ แม้จะไม่ได้ใช้กระสุนที่ทรงพลังหรือร้ายแรงเท่าปืนยุคสมัยเดียวกันที่สามารถยิงในระบบอัตโนมัติได้อย่าง M14 แต่ด้วยทรงด้ามจับที่โค้งก็ทำให้ปืนกระบอกนี้นั้นถีบสะบัดยกปลายปากลำกล้องในทุก ๆ ครั้งที่หัวกระสุนถูกยิงออกไป
แต่ด้วยมือทั้ง 2 ข้างที่จับอย่างช่ำชองของอากิโตะ เขาก็ควบคุมกับพยศเหล่านั้นได้อย่างดี ทำให้ตัวปืนที่ออกแบบมาเกือบศตวรรษกระบอกนี้รักษาระนาบการยิงได้อย่างราบเรียบราวกับระบบอาวุธสมัยใหม่
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง
ด้วยความเข้าใจถึงแนวคิดของเพื่อนของเขาจากการสังเกตการณ์มอง เขากดไกปืนค้างไว้แล้วส่งกระสุน .30 Carbine ทั้ง 30 นัดออกไปในกลุ่มรูปแบบการยิงเช่นเดียวกับเพื่อนของเขาอย่างไม่มีการปล่อยไก
ปลอกกระสุนทองเหลืองถูกดีดออกเป็นสายราวกับกระแสน้ำตกแล้วค่อย ๆ ร่วงหล่นตามกันไปอย่างเป็นลำดับแถว ในขณะที่หัวกระสุนความเร็วเหนือเสียงพุ่งทะยานไปยังเป้าหมายที่ถูกทาบอยู่กลางศูนย์เล็งของปืนที่ยิงพวกมันออกมา
ปลายปากกระบอกของปืนทั้ง 2 ผลัดกันส่องสว่างจากในมุมมืดที่อยู่ด้านหลังไฟหน้าของรถราวกับแสงไฟระยิบระยับของตัวเมืองยามราตรี
กระสุนทั้ง 2 ขนาดจำนวนมากพุ่งทะยานของในวิถีของพวกตนไปในทิศทางที่พวกมันถูกชี้นำไปอย่างเป็นลำดับไม่มีการแทรกหรือแซง
และด้วยระยะที่อยู่ไม่ไกล ไม่ช้านานนักกระสุนพวกนี้ก็จะไปถึงจุดหมายของพวกตน
เมื่อกระสุนนัดแรกจากการยิงแบบอัตโนมัติจากปืนทั้ง 2 กระบอกไปกำลังจะเข้าปะทะ มันก็เกิดภาพที่ราวกับเป็นฉายซ้ำขึ้น
ผ้าคลุมของชายทั้ง 2 คนที่ยังคงตาพร่ามัวอยู่ก็เริ่มขดขยับตัวราวกับมีชีวิตแล้วเริ่มทบทับตัวเองเพื่อเป็นชั้นเกราะป้องกันอันตราย และก็สามารถหยุดยั้งกระสุนชุดแรก ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่สิ่งที่ต่างออกไปนั้น คือกลุ่มกระสุนในชุดแรกที่เข้าปะทะในการยิงชุดนี้นั้นถูกเล็งให้กระจายออกไปเป็นวงกว้างทางด้านข้างแทนที่จะเล็งเป็นกลุ่มกระสุนเล็ก ๆ ตรงกลาง ทำให้ชั้นผ้าต้องพับตัวต้องแบ่งออกไปป้องกันทั้ง 2 ฝั่ง
ด้วยความจริงที่ว่าตัวผ้าคลุมนั้นมีเนื้อผ้าอย่างจำกัด ส่งผลให้หลังจากที่มันป้องกันกระสุนที่กระจายออกไปด้านข้างได้จำนวนหนึ่ง ตรงส่วนบริเวณตรงกลางลำตัวของผู้ชายทั้ง 2 คนที่กำลังถูกระดมยิงใส่มีเนื้อผ้าปกคลุมน้อยลงเรื่อย ๆ
ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับตอนที่กระสุนที่เหลืออยู่ไม่กี่นัดในแมกกาซีนของปืนทั้ง 2 กระบอกกำลังจะถูกบรรจุเข้ารังเพลิงพอดี
ในจังหวะนั้นเอง มือปืนทั้ง 2 ก็เปลี่ยนวิธีการเล็ง จากการเล็งที่เน้นกระจาย 2 ไปใน 2 ฝั่งไปเป็นการยิงเกาะกลุ่มเข้าตรงกลางเป้าที่เหลือการป้องกันไม่หนาแน่นมาก ส่งผลกระสุนชุดสุดท้ายก็ถูกส่งออกไปเป็นกลุ่มแน่น ๆ พร้อมกับกลไกการทำงานของปืนที่หยุดลงหลังจากที่ไม่มีกระสุนเหลือให้ป้อนเข้ารังเพลิงแล้ว
ทางด้านของเป้าหมาย ผืนผ้าที่มีจำนวนเนื้อผ้าให้ใช้ไม่มากพยายามขดทับตัวเองบริเวณกลางลำตัวของผู้สวมใส่ แต่ด้วยความจริงที่ว่ามันมีเนื้อผ้าไม่มากพอ ชั้นผ้าบาง ๆ ไม่กี่ชั้นก็ไม่มีความสามารถมากพอในการหยุดกระสุนได้อีกต่อไปแล้ว และก็ถูกเจาะทะลุและฉีกขาดไปในที่สุด
เมื่อฝ่าการป้องกันของอีกฝ่ายไปได้ เหล่ากระสุนทั้งหลายที่ยังคงเหลือพลังงานจลน์อยู่ภายในก็เริ่มทำในสิ่งที่พวกมันถูกแบบมาให้ทำอย่างรวดเร็วและไม่มีการประณีประนอมใด ๆ
ละอองของเหลวสีชาดสาดกระเซ็นไปในทิศทางต่าง ๆ พร้อมกับกลิ่นคาวของเหล็กที่เริ่มลอยคละคลุ้งขึ้นในอากาศที่หยุดนิ่งและเต็มไปด้วยเศษละอองฝุ่นภายในอุโมงค์ลึกแห่งนี้
และร่างของทั้ง 2 คนอยู่กลางศูนย์เล็งของปืนทั้ง 2 กระบอกก็ค่อย ๆ ล้มตัวลง
ไม่รอช้าหรือเป็นการเสียเวลาใด ๆ คนหลังฉากทั้ง 2 ก็ทำการปลดแมกกาซีนออก แล้วหยิบอันใหม่ที่บรรจุเต็มออกมาจากช่องเก็บภายใต้เสื้อนอกของพวกเขา แล้วบรรจุเข้าอาวุธทั้ง 2 ที่เพิ่งผลาญกระสุนทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว