[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 7: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 2 All is fish that comes to the net.
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 7: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 2 All is fish that comes to the net.
วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ท.ศ. 29
ฉันกำลังนั่งเผชิญหน้ากับฟุโยว ลิเลียธาล ยูนะ
“เรื่องเกิดเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน… ก่อนที่ทะเลรอบชิโกกุจะถูกกำแพงปิดล้อม ผู้คนสามารถเดินทางทั่วญี่ปุ่นได้อย่างอิสระ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถไป [ประเทศอื่น] ที่อยู่นอกญี่ปุ่นอีกด้วย”
ฉันแกะตะเกียบออกอย่างเงียบๆ ขณะฟังฟุโยวพูด
“เธอคงได้ยินมาก่อนสินะยูซุกิคุง อเมริกา จีน อังกฤษ อินเดีย รัซเซีย… ทั้งหมดนี่คือชื่อประเทศอื่นนอกจากญี่ปุ่น”
ข้างหน้าของเราทั้งสองมีถ้วยวางอยู่สองใบ ถ้วยที่ถูกเติมเต็มด้วยอูด้ง จัดหน้าด้วยสาหร่าย คามาโบโกะ และเท็มปุระ
“แต่แล้ว ในปีคริสตศักราช 2015 สัตว์ประหลาดที่ถูกเรียกว่า [โฮชิคุสุ] หรือ [เวอร์เท็กซ์] เข้ารุกรานญี่ปุ่น ต้นไม้ลึกลับที่ถูกเรียกว่า [ชินจู] กับกำแพงปรากฏขึ้นที่ชิโกกุ โฮชิคุสุไม่สามารถข้ามกำแพงเข้ามาในชิโกกุได้ แต่ภายนอกทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทั่วญี่ปุ่นนอกจากชิโกกุถูกโฮชิคุสุทำลาย และนอกจากญี่ปุ่น… สำหรับประเทศอื่นแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝั่งนั้นบ้าง เพื่อต่อกรกับเวอร์เท็กซ์ องค์กรที่มีชื่อว่าไทชะ… ที่ชื่อในตอนนั้นถูกเขียนด้วย 大社(ศาลเจ้าใหญ่) ไม่ใช่ 大赦(นิรโทษกรรม) ได้เริ่มปฏิบัติการอย่างเปิดเผยและบริหารจัดการกับความวุ่นวายในชิโกกุ”
ฉันมาร้านอูด้งที่ฟุโยวชักชวน ร้านนี้อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนและมีนักเรียนจากโรงเรียนของเราน้อยคนที่มาที่นี่ ทำให้เธอเคลมว่าที่นี่เหมาะสมที่สุดในการประชุมวางแผนลับของชมรมผู้กล้า แต่ตัวฉันไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าชมรมอยู่แล้ว
“หลายปีต่อมาหลังจากกำแพงล้อมรอบชิโกกุในปี ค.ศ. 2015… ถึงภายนอกกำแพงจะถูกทำลายล้างไม่มีชิ้นดี แต่ชิโกกุก็ยังคงรักษาความสงบได้อยู่บ้าง แม้ว่าจะมีผู้อพยพจำนวนมากที่เข้ามาในชิโกกุในช่วงที่โฮชิคุสุเข้ารุกราน แน่นอนว่าการต้องจัดการเรื่องผู้อพยพทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคม แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเที่ยบกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นภายนอก และของจริงได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2018”
ฉัน—- กำลังซูดอูด้ง
อร่อยจัง
“หลังจากปี ค.ศ. 2018 โฮชิคุสุกับเวอร์เท็กซ์ก็สามารถข้ามกำแพงเข้ามาที่ชิโกกุได้ เหล่าผู้ที่ปกป้องชิโกกุและต่อสู้กับพวกมันคือเหล่าผู้กล้า ผู้กล้าแห่งชิโกกุประจำการอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะ ว่ากันว่าพวกเขามีกันสี่คน หนึ่งในผู้กล้านั่นคือทาคาชิม่า ยูนะ คนคนนี้คือรากฐานสำคัญของชื่อ [ยูนะ] ของฉันกับเธอ ยูซุกิคุง”
โมจิเท็มปุระเข้ากันได้ดีกับอูด้ง ไม่ มันมากกว่านั้น สิ่งที่คิดว่าเป็นแค่จิคุวะจริงๆแล้ว… มันคือกุ้งจิคุวะ ของขึ้นชื่อของถิ่นนี้เลย เอาของแบบนี้มาใส่ในอูด้งเหรอเนี่ย? พ่อครัวที่นี่ไม่เลวเลยแฮะ
“แต่ในการต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ เหล่าผู้กล้าก็ค่อยๆ ตายไปทีละคน ทาคาชิม่า ยูนะเองก็เช่นกัน ตายไปในปี 2019 ระหว่างการบุกครั้งใหญ่ที่สุดของเวอร์เท็กซ์ ผู้กล้าคนเดียวที่รอดมาได้คือท่านโนกิ วาคาบะผู้ยิ่งใหญ่ ท่านโนกิยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี แล้วยังปรากฏตัวในงานสาธารณะเป็นระยะๆ”
โหโห่… คามาโบโกะที่ใส่ในอูด้งนี่ทำเป็นรูปเซนิกาตะ ซูนาเอะ ประติมากรรมทรายรูปทรงเหรียญที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคันนอนจิอย่างงั้นเหรอ สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการบริการเลย
“ฟังอยู่หรือเปล่ายูซุกิคุง!”
“…หืม? ไม่อะ ฉันไม่อยากให้อูด้งอืดซะก่อน”
“สีซอให้วัวฟัง…”
ฟุโยวไหล่ตกอย่างหดหู่
“แล้วก็นะ เรื่องที่หล่อนพูดน่ะฉันรู้หมดแล้ว มันอยู่ในหนังสือเรียน แถมยังเคยเห็นในข่าวกับเน็ตด้วย รีบๆ กินเถอะเดี๋ยวอูด้งจะอืดเอา”
“กะ ก็จริงแหละนะ สิ่งที่ฉันพูดเป็นความรู้พื้นฐานในโลกสามัญ ปัญหาของฉันคือเหตุการณ์หลังจากปี ค.ศ. 2019… หลังจากปฏิทินเปลี่ยนเป็นยุคเทวศักราช! นี่ ดูบล๊อกที่ฉันเขียนไว้สิ!”
ฟุโยวเปิดกระเป๋าเป้นักเรียน แล้วหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดเว็บเพจให้ฉันดู มันเป็นบล็อคที่มีชื่อว่า [ฐานดิจิตอลของชมรมผู้กล้า – เปิดเผยความจริงเบื่องหลังผู้กล้า กำแพง และเวอร์เท็กซ์] ส่วนหัวข้อที่เห็นก็จะมี [แผนการลับของไทชะ] [เวอร์เท็กซ์และเรื่องหลอกลวงของโครงการอพอลโล่] [มองชินจูผ่านเลนส์ลัทธินับถือภูตผีของญี่ปุ่นโบราณ] และ [การล่าแม่มด ผู้กล้า และคำพยากรณ์วันสิ้นโลก] และอีกมากมาย
แม้แต่หัวข้อยังแปลกเลย แปลกสุดๆ
ฟุโยวเปิดบทความหนึ่งให้ดู —- [เวอร์เท็กซ์มีตัวตนอยู่จริงเหรอ] แล้วส่งแท็บเล็ตมาให้ฉัน ระหว่างที่กำลังอ่านบทความ เธอก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแกะออกจากกันและใช้มันกินอูด้ง วิธีการแกะตะเกี่ยบของเธอ วิธีการกินอูด้งของเธอ… ทุกอริยาบทช่างงดงาม
แต่ว่า…
“อย่างที่เขียนไว้ในนั้นแหละ ทั้งหมดนั่นเป็นกลลวงโป้ปดมดเท็จของไทชะ! พวกเราทุกคนกำลังถูกหลอก! พวกนั้นบิดเบือนความจริงเพื่อควบคุมประชาชน ล้างสมองสังคม!”
ฟุโยวพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
ถ้าไม่ทำตัวอย่างนี้ล่ะก็คงเป็นคนสวยธรรมดาๆ คนนึง แต่ให้ตายสิ ความสวยกลับต้องมาเสียของเพราะพฤติกรรมแบบนี้เนี่ยนะ
ใจความหลักของบทความที่ฟุโยวเปิดให้ฉันอ่านคือ “ไม่มีหลักฐานไหนบอกว่าผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์มีตัวตนอยู่จริง”
เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนในอินเตอร์เน็ตกับข่าวลือ เรียกว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดล่ะมั้ง
“ฟังให้ดีนะ! ผ่านมาตั้งมากกว่าสามสิบปีแล้วตั้งแต่มีเวอร์เท็กซ์ แต่กลับแทบไม่มีข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมที่บอกถึงการมีอยู่ของมันเลย! ไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการ ภาพถ่ายหรือคลิปวีดิโอก็ไม่มี! ในเน็ตมีภาพเวอร์เท็กซ์ลอยอยู่กลางอากาศอยู่ไม่กี่รูป แต่มีความเป็นไปได้สูงว่ามันคือ CG หรือไม่ก็ภาพตัดต่อเฟคๆ! เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหารูปภาพหรือคลิปการต่อสู้ระหว่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์อีกด้วย! ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปากต่อปากเมื่อสามสิบปีก่อนเท่านั้น! ไม่แปลกหน่อยเหรอที่มีข้อมูลแค่นิดเดียวเอง!? ถ้าหากให้สรุปล่ะก็ — ย้ำนะว่า [ถ้าหาก] — เวอร์เท็กซ์มีอยู่จริง แล้วพวกมันหยุดโจมตีตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 นั่นก็สรุปได้ว่ามีบางอย่างกำจัดพวกมันไปจนหมดแล้ว”
ฉันเลื่อนลงไปอ่านส่วนคอมเม้นโดยไม่สนสิ่งที่ฟุโยวเขียน
[[มันคือส่วนหนึ่งของแผนการครองโลกของรอธส์ไชลด์]]
[[ไม่กี่วันก่อน มีคลื่นโทรจิตกระซิบบอกฉันแบบนี้เหมือนกัน]]
[[ปฏิบัติการจิตวิทยางั้นเหรอ!?]]
[[สำคัญที่สุดเลยคือต้องใส่สีเหลือง สีเหลืองช่วยต้านทานมลพิษจากเวอร์เท็กซ์และปกป้องจิตใจด้วย]]
นี่มัน… ศูนย์รวมพวกเพี้ยนชัดๆ
“ฉันเคยได้ยินว่าที่เวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสุหยุดโจมตีชิโกกุเพราะไทชะทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง”
ฟุโยวพยักหน้าตอบ
“ขัดแย้งในตัวเอง! ไม่มีการบันทึกไว้ว่าพิธีกรรมที่ทำนั้นมันคืออะไร และไม่มีใครรู้รายละเอียดด้วย และถ้าหากแค่ทำพิธีกรรมง่ายๆ พิธีเดียวเพื่อหยุดการต่อสู้ ทำไมพวกเขาถึงไม่ทำมันตั้งแต่แรกล่ะจริงไหม!? ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้เสียผู้กล้าไปเกือบทุกคนหรือเกิดความเสียหายขนาดนี้หรอก!”
ที่ฟุโยวพูดก็ไม่ผิด ทำไมไทชะถึงไม่ทำพิธีกรรมนั้นกระทั่งจนตรอกจริงๆ?
“ทฤษฎีของฉันคือเวอร์เท็กซ์ไม่ได้มีตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเรื่องราวของผู้กล้าเป็นแค่เรื่องแต่ง ต่อให้พวกเขามีตัวตนอยู่จริง พวกเขาก็ตายไปตั้งแต่ปี 2019 แล้ว เคยอ่านนิยายคลาสสิกเรื่อง War of the Worlds ของ H.G. เวลส์ไหม?”
“ไม่เคย…”
“เป็นนิยายเกี่ยวกับเอเลี่ยนบุกโลกน่ะ และหลังจากเอเลี่ยนสร้างความหายนะให้กับโลก พวกมันทั้งหมดก็ตายในทันทีด้วยเหตุผลที่ห่วยแตกสุดๆ บอกไว้ก่อนเลยว่าสิ่งที่เอาชนะมันไม่ใช่มนุษย์ อากาศบนโลกไม่เหมาะกับพวกมัน พวกมันเลยตายกันหมด เอาแบบจริงจังก็ สิ่งที่ฆ่าพวกมันคือแบคทีเรียที่อยู่ในอากาศ… ยังไงก็เถอะ ถ้าหากเวอร์เท็กซ์ทั้งหมดตายแบบนั้นเหมือนกันล่ะ?”
“แต่.. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมชิโกกุถึงยังถูกกำแพงล้อมอยู่และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกล่ะ? แบบนั้นไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
ทันทีที่ฉันพูดจบ ริมฝีปากของฟุโยวก็ชักขึ้นเป็นร้อยยิ้มราวกับบอกว่า [ปลาติดเบ็ดแล้ว]
“หุ หุ หุ ยูซุกิคุง ความสงสัยเกี่ยวกับกำแพงได้ปะทุขึ้นในตัวแล้วสินะ!”
เวรล่ะ! นี่มันกับดัก!
ฉันเป็นคนถามขึ้นมาเอง นั่นทำให้เหมือนกับว่าฉันสนใจในเรื่องนี้ด้วย
ฟุโยวยื่นมือให้ฉัน บนใบหน้าเขียนไว้ชัดเจนว่า [ได้การล่ะ]
“ชีวิตเรานั้นเป็นอนิจจัง(無常迅速 Mujoujinsoku ความไม่เที่ยง)! ถ้าหากสงสัยล่ะก็เข้าร่วมชมรมผู้กล้าเดี๋ยวนี้เลยสิ! เป้าหมายของชมรมผู้กล้าคือข้ามผ่านกำแพงที่ล้อมรอบชิโกกุและผจญภัยที่อีกฝั่งนึง! เมื่อข้ามผ่านกำแพงได้แล้วความจริงของโลกก็จะถูกเปิดเผย! เอาล่ะ ได้เวลาเข้าร่วมชมรมผู้กล้าแล้ว! ตอนนี้เลย!”
“ไม่เอา”
ฉันปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ซดอูด้งอึกใหญ่ วางตะเกียบแล้วลุกออกไปทันที
“อ้าาาาา เดี๋ยวก่อนยูซุกิคุง! ฉันยังทานไม่เสร็จเลย!”
ฟุโยวเริ่มรีบกินอูด้งของตัวเอง
หลายวันผ่านไปหลังจากฉันเจอกับฟุโยวที่ศาลเจ้าริวโอ
ทุกๆ วันเธอจะเข้ามาหาฉันเมื่อมีโอกาสเพื่อชวนเข้า [ชมรมผู้กล้า] ดูเหมือนว่าชมรมผู้กล้ามีเป้าหมายในการเปิดเผยความจริงเบื่องหลังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงผลัดเปลี่ยนจากยุคคริสตศักราชเป็นเทวศักราช รวมทั้งเวอร์เท็กซ์ ผู้กล้า และกำแพง แต่ยังไงซะ ถึงจะตอบรับคำเชิญไป ชมรมผู้กล้าก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากโรงเรียนอยู่ดี
เป้าหมายของชมรมคือข้ามไปอีกฝั่งของกำแพง ข้างนอกชิโกกุ เคยได้ยินมาว่าพวกผู้กล้าเคยออกไปสำรวจนอกกำแพงเมื่อสามสิบปีก่อน ชื่อชมรมจึงมีที่มาจากความตั้งใจที่จะทำแบบนั้นเหมือนกันกับพวกเขา
แต่ทั้งฉันกับฟุโยวเป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามกำแพงที่ไม่เคยมีใครข้ามไปมากว่าสามสิบปี ชมรมผู้กล้าของฟุโยวมันจบเห่มาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้ว แทนที่จะเอาเวลาไปเสียกับเรื่องแบบนั้นขอเอาไปหา [พลัง] ดีกว่า ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าจะหามันยังไงก็เถอะนะ
วันเสาร์สุดท้ายก่อนปิดเทอมฤดูร้อน
หลังกินข้าวเช้าเสร็จฉันก็เปิดมือถือดูข่าว ที่อยู่บนหน้าจอคือผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกลางๆ กำลังสาธิตศิลปะการต่อสู้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าท่านโนกิ วาคาบะ ผู้เชี่ยวชาญวิชาอิไอโดและวิชาดาบ ท่านคือผู้กล้าเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ของท่านคือท่านอูเอซาโตะ ฮินาตะ ทั้งสองมีอายุเท่ากัน ท่านโนกิเป็นหน้าเป็นตาของไทชะ อำนาจสมบูรณ์แบบที่ปกครองชิโกกุ ส่วนท่านฮินาตะเป็นผู้บริหารสูงสุด
การสาธิตศิลปะการต่อสู้ของท่านโนกิจบลงแล้ว ท่านดูไม่ต่างจากคนอื่นๆ อีกด้านหนึ่ง ว่ากันว่าเวอร์เท็กซ์มีความยาวหลายสิบกว่าเมตร ไม่ว่าจะเก่งวิชาดาบยังไงก็นึกภาพไม่ออกว่าท่านโนกิจะสามารถสู้กับเวอร์เท็กซ์แล้วเอาชนะมาได้ ได้ยินมาอีกว่าผู้กล้าได้รับพลังพิเศษจากเทพเจ้าทำให้แข็งแกร่งขึ้น… แต่ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานถึงการใช้พลังที่ว่านั่นเลย
เพราะแบบนั้นคนอย่างฟุโยวที่มีแนวคิดที่ไม่ดีต่อผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น จู่ๆ ฟุโยว ยูนะก็โทรมา
“ฮัลโหลว?”
“ยูซุกิ… คุง”
เสียงของเธอเลือนลาง ราวกับกำลังจะหายไป
“เป็นอะไร?”
“…มะ ไม่มีอะไร ขอโทษที่รบกวนในวันหยุดนะ…”
เสียงของฟุโยวเบามาก ชัดเลยว่าเธอกำลังลังเลที่จะบอกอะไรสักอย่าง แต่บางอย่างในเสียงของเธอทำให้รู้สึกเหมือนกับขอความช่วยเหลือ
“…ถึงจะไม่นาน แต่… ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ แล้วก็… ลาก่อน…”
ฟุโยวกำลังจะวางสาย หรือว่าหลังจากนี้เธอจะทำอะไรอันตรายงั้นเหรอ?
“เดี๋ยวหยุดก่อน! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า!? ตอนนี้หล่อนอยู่ที่ไหน?”
“…”
หลังจากที่เงียบไป ฉันก็ได้ยินเสียงคลื่นผ่านโทรศัพท์ อยู่ที่ชายหาดเหรอ?
“จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ! รอก่อนนะ!”
“…”
ฟุโยววางสายโดยไม่พูดอะไร
ฉันพุ่งตัวออกจากบ้านแล้ววิ่งตรงไปที่ชายหาดอาริอาเกะในสวนโคโตฮิกิ
บนชายหาดมีฟุโยวยืนอยู่คนเดียว
“กำลังรอเธอเป็นกระต่ายหมายจันทร์เลยล่ะยูซุกิคุง! เอาล่ะ เริ่มกิจกรรมชมรมผู้กล้ากันเลยดีกว่า!”
ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันในโทรศัพท์นี่นา ดูสดใสและมีชีวิตชีว่าสุดๆ
“…หา?”
“เริ่มกิจกรรมชมรมผู้กล้ากันเถอะ!”
“แล้วไอ้ที่คุยในสายเมื่อกี้นี้มันอาร้าาาาายยย!?”
นึกว่าจะฆ่าตัวตายซะอีก
“ฉันคิดว่าเธอต้องมาแน่ถ้าฉันพูดอย่างนั้น นานแล้วนะเนี่ยที่ไม่ได้แสดงจริงจังแบบนี้ คิดว่าไง สมจริงสุดๆ เลยใช่ม้า?”
จริงสิ ฟุโยวเป็นอดีตดาราเด็กนี่นา เธอสามารถปรุงแต่งอารมณ์เข้าไปในคำพูดและท่าทางได้อย่างดี ฉันโดนหลอกเข้าเต็มเปา
“… กลับละ”
“ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ฉันผิดเอง ฟังกันก่อนสิ! ฉันค้นหาข้อมูลของเธอแล้วก็เจอเรื่องน่าสนใจด้วยนะ!”
“เรื่องอะไร?”
“เธอช่วยชมรมบาส เทนนิส และวอลเล่บอลหญิงใช่ไหม? เป็นงานพาร์ทไทม์พันเยนต่อการแข่งขัน”
ไปเอาข้อมูลมาจากไหนกัน?
มีแค่พวกประธานชมรมกีฬากับสมาชิกบางคนเท่านั้นที่รู้เรื่องที่ฉันหาเงินจากการช่วยชมรม แถมยังปากหนักทุกคนอีกด้วย ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้
ไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกอาจารย์จะโมโหและสั่งห้ามไม่ให้ฉันช่วยชมรมกีฬาอีก
“นี่ไม่ได้พยายามที่จะแบล็คเมลความลับของเธอหรอกนะ แค่อยากรู้ว่าเธอจะช่วยชมรมผู้กล้าแบบที่ช่วยชมรมกีฬาได้หรือเปล่า”
“แล้วจะให้เชื่อคนที่ขุดคุ้ยข้อมูลของคนอื่–”
“พันเยนต่อชั่วโมง”
“…!”
“นั่นคือเงินที่ฉันพร้อมจ่ายให้เธอ น่าสนใจกว่าพันเยนต่อหนึ่งการแข่งขันหรือเปล่าล่ะ?”
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พยักหน้ารับแล้วตอบว่า
“…เข้าใจแล้ว”
แน่นอน ยังไงพันเยนต่อชั่วโมงก็เย้ายวนกว่าอยู่แล้ว แต่ว่า… ทั้งตอนนี้และตอนที่ศาลเจ้าริวโอด้วย… นี่ฉันถูกคำพูดของฟุโยวชักจุงได้ง่ายเกินไปหรือเปล่านะ?
“งั้นก็เป็นอันตกลง! มาฉลองด้วยการทำงานแรกของชมรมผู้กล้ากันเถอะ!”
“งานแรก? หมายความว่าก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นเหรอ?”
ฟุโยวเริ่มทำสายตาล่อกแล่ก
“กะ-ก็นะ… ฉันว่ามันไม่ใช่งานที่เหมาะสำหรับทำด้วยตัวคนเดียวนี่นา เลยรอมีสมาชิกชมรมก่อนน่ะ”
จะมีใครที่ไหนมาเข้าชมรมแปลกประหลาดแบบนี้กันบ้างล่ะ แล้วจะเป็นยังไงถ้าฉันไม่ยอมตกลงเข้ามาช่วย
“ที่สำคัญกว่าคือฉันมีแผนสำหรับวันนี้ด้วยนะ! อย่างที่เคยพูดไป เป้าหมายของชมรมผู้กล้าคือข้ามไปอีกฝั่งของกำแพงที่ล้อมรอบชิโกกุ และเพื่อที่จะบรรลุก้าวแรกที่จะไปถึงจุดหมาย วันนี้เราจะหาเส้นทางที่จะข้ามกำแพงกัน”
“เส้นทาง…?”
“ก่อนที่จะมีกำแพงในปี 2015 ชิโกกุเคยเชื่อมต่อกับฮอนชูโดยสะพานสามเส้น สะพานใหญ่เซโตะที่คากาว่า สะพานโอโอนารุโตะที่โทคุชิมะ และสะพานคุรุชิมะที่เอฮิเมะ ลองไปดูกันเถอะ”
“เข้าใจล่ะ แล้วได้ดูวิธีไปแต่ละที่หรือยัง?”
ดวงตาฟุโยวเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“โอ้ เธอดูพร้อมและเต็มใจสุดๆ เลยนะ ตอนแรกคิดว่าจะเหวี่ยงใส่ฉันซะอีก แบบนี้ ‘ทำไมพวกเราต้องไปทั้งหมดนั่นด้วย?’”
“ตอนนี้ฉันกำลังช่วยงานชมรมอยู่นะ ในเมื่อหล่อนเป็นคนจ้าง ฉันก็ต้องทำตามทุกอย่างที่หล่อนต้องการ”
“จะดีกว่านี้ถ้าได้เธอมาเป็นสมาชิกชมรมนะ”
“ขอบาย”
“เสียใจ… อ๊ะ จริงด้วย”
“อะไร?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงตอนที่โทรคุยกันนะ ฉันมีความสุขมากเลยล่ะ”
ฟุโยวส่งยิ้มให้ฉัน จู่ๆ แก้มฉันก็แดงโดยไม่รู้สาเหตุ
แผนของฟุโยวคือไปสำรวจสะพานสามที่ในสุดสัปดาห์นี้
โดยวันนี้วันเสาร์ ฟุโยวเลือกที่จะไปสะพานใหญ่เซโตะในตอนเช้าและตอนบ่ายไปต่อที่สะพานโอโอนารุโตะ ส่วนสะพานคุรุชิมะไคเคียวจะไปวันอาทิตย์พรุ่งนี้
สำหรับวันนี้ต้องเดินทางผ่านทั้งจังหวัดคากาว่ากับโทคุชิมะ ดังนั้นเราเลยต้องเร่งรีบอย่างมาก
พวกเราขึ้นนั่งรถไฟด่วนที่คันนอนจิที่เราอาศัยอยู่ ไปที่สถานีอูตาซุ
“ทำไมถึงต้องเป็นอูตาซุล่ะ? ถ้าจะไปสะพานใหญ่เซโตะน่าจะไปทางซาคาอิเดะไม่ดีกว่าเหรอ?”
ระหว่างที่อยู่บนรถไฟ ฉันก็ตรวจสอบเส้นทางไปสะพานใหญ่เซโตะด้วย รถบัสที่ตรงไปอนุสรณ์สถานสะพานใหญ่เซโตะนั้นออกจากสถานีซาคาอิเดะ สถานีก่อนถึงอูตาซุ
“ถ้ามองตามระยะทาง แน่นอนว่าซาคาอิเดะใกล้สะพานมากกว่าอูตาซุ”
“แต่ที่อูตาซุก็ไม่มีรถบัสผ่านด้วยนะ”
“รถบัสน่ะจะเสียเวลาแบบอย่างมากเลยถ้าเกิดเราตกรถขากลับ อีกอย่างพวกเราไม่ได้จะไปอนุสรณ์ ที่ต้องการคือสำรวจสะพานให้ทั่วต่างหาก อีกอย่าง การไปที่นั่นด้วยรถบัสแล้วเดินเท้าสำรวจจะเสียเวลามากโขเลยล่ะ และที่คากาว่ามี [ขา] ที่สะดวกกว่านั้นเยอะ”
“แล้วมันคืออะไร?”
“จักรยานเช่าไงล่ะ”
อย่างนี้นี่เอง
บริการเช่าจักรยานมีอยู่หลายที่ในคากาว่า ทั้งศูนย์ให้บริการข่าวสารการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านจักรยาน จุดเช่าผ่านแอพฯ ในสมาร์ทโฟน ฯลฯ จังหวัดอื่นๆ เองก็มีเหมือนกัน แต่ที่เอฮิเมะกับคากาว่าจะมีมากเป็นพิเศษ
เคยได้ยินจากแม่ว่าจักรยานเช่าที่คากาว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานพอสมควร และเคยให้บริการนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ยุคคริสตศักราช แม้ชิโกกุถูกกำแพงล้อมรอบในยุคเทวศักราช แต่ด้วยความสะดวกสบายของมันทำให้จำนวนจักรยานเช่ามีมากกว่าแต่ก่อน
ฟุโยวเปิดแอพฯ เช่าจักรยานในมือถือแล้วเลือกจักรยานไฟฟ้าสองคัน ระยะทางจากสถานีอูตาซุไปสะพานใหญ่เซโตะคือ 5.5 กิโลเมตร แค่จักรยานไฟฟ้าก็พอแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย”
“หึ หึ ฉันเก่งเรื่องการหาข้อมูลอยู่แล้ว ปล่อยให้ฉันจัดการเองเถอะ”
ฟุโยวพูดออกมาอย่างภูมิใจ
พอมาคิดดูแล้ว จากที่เธอสืบจนรู้ความจริงว่าฉันช่วยงานชมรมกีฬาเป็นงานพาร์ทไทม์ได้เนี่ย ถือว่าเก่งเรื่องสืบหาข้อมูลใช้ได้เลย ถึงจะเพี้ยนแต่ไม่ได้มีสมองไว้แค่คั่นหูแหะ
“เอาล่ะ ไปกันเลย!”
ฟุโยวชูแขนขึ้นแล้วพูดอย่างขึงขัง
“เฮ้อ… เฮ้อ… ร้อนอะ… ขาฉันไม่ไหวแล้ว… ไม่ไหว… เฮ้อ… จะตายแล้ว…”
ขนาดใช้จักรยานไฟฟ้า ฟุโยวก็ยังไม่สามารถไปได้ถึง 5.5 กิโลเมตร
“ปวกเปียกอะไรขนาดนั้น…”
“ยูซุกิคุง… แฮ่ก แฮ่ก… ขอซ้อนหลังได้ไหมอะ?”
“ขอปฏิเสธ นี่หล่อนคิดจะทิ้งจักรยานเช่าไว้ที่นี่หรือไง?”
“งือ… บางทีเรา… น่าจะนั่งรถบัสดีกว่านะ… แฮ่ก แฮ่ก…”
“เอาน่า แค่นิดเดียวเอง อีกแค่ไม่ถึงโลฯ เราก็จะถึงอนุสรณ์สะพานใหญ่เซโตะแล้ว”
ฉันคอยให้กำลังใจฟุโยวที่หายใจหอบแฮ่กตลอดทาง จนในที่สุดเราก็มาถึงอนุสรณ์สถาน
“ขยับตัว… ไม่ไหวแล้ว…”
ฟุโยวทิ้งตัวลงบนม้านั่งอย่างกับศพ
“ด้วยลมหายใจสุดท้ายนี้… ยูซุกิคุง… ฝากเรื่องสำรวจสะพานใหญ่เซโตะ… ด้วยนะ…”
“ไม่ไหวเอาซะเลย ก็ได้ๆ แล้วจะให้ฉันสำรวจแบบไหนล่ะ?”
ฟุโยวหยิบกล้องสองตาออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วส่งให้ฉัน กล้องสองตานี่ดูมีราคาแพงใช้ได้เลย
“ฉันอยากให้เธอขึ้นไปบนชั้นชมวิวของอนุสรณ์… แล้วมองดูว่าสะพานยื่นไปถึงกำแพง… หรือถูกตัดขาดระหว่างทาง ถ้ายื่นไปถึงกำแพง… ดูด้วยว่ามีทางไปที่สะพานใหญ่เซโตะไหม… ฉันจะฟื้นตัวรออยู่ตรงนี้นะ…”
“จ้าๆ เข้าใจแล้วจ้า”
ฉันเดินจากฟุโยวไปที่ชั้นชมวิวของอนุสรณ์สถานสะพานใหญ่เซโตะ ถึงจะไม่ได้อยู่สูงมาก แต่ก็สูงพอที่จะเห็นวิวดีๆ ของสะพานกับกำแพง
เมื่อมองผ่านกล้องสองตา ก็เห็นเหมือนว่าสะพานเชื่อมต่อกับกำแพงในจุดที่มันซ้อนทับกัน
ฉันลงมาจากชั้นชมวิว ขึ้นขี่จักรยานแล้วปั่นไปสำรวจทางเข้าสะพานผ่านแผนที่บนมือถือ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงวนรอบพื้นที่ แต่ทุกทางเข้าถูกปิดหมด ฉันเลยตัดสินใจกลับไปที่ม้านั่งที่ฟุโยวรออยู่
“เป็นยังไงบ้าง?”
ฟุโยวดูดีขึ้น คงพักฟื้นจนมีแรงมากพอแล้ว
“ดูเหมือนว่าสะพานใหญ่เซโตะจะเชื่อมต่อกับกำแพงนะ แต่หาทางเข้าไปไม่ได้เลย”
“งั้นเหรอๆ… แต่นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง! ไปต่อกันที่สะพานที่สองกันเถอะ!”
ฟุโยวยืนขึ้นจากม้านั่งอย่างมุ่งมั่น แล้วก็หน้าซีดไป
“อาจริงสิ ต้องปั่นจักรยานกลับด้วยนี่นา…”
แล้วเราก็กลับมาถึงสถานีอูตาซุ แม้ฟุโยวจะอยู่ในสภาพเกือบตายก็เถอะนะ
เป้าหมายต่อไปของเราคือสะพานโอโอนารุโตะที่โทคุชิมะ
นั่งรถไฟด่วนจากอูตาซุไปทาคามาซุ แล้วเปลี่ยนสายขบวนมากมายจนกระทั่งมาถึงสถานีอิเคโนทานิ ที่จุดนี้เราก็ข้ามเขตจากคากาว่าเข้าโทคุชิมะแล้ว
สถานีอิเคโนทานิเป็นสถานีเล็กๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟสายนารุโตะ ซึ่งสถานีนารุโตะเป็นสถานีที่ใกล้กับสะพานโอโอนารุโตะมากที่สุด พวกเราจึงใช้เส้นทางนี้
หลังลงจากสถานีนารุโตะ เราก็นั่งรถบัสกันต่อ
“ถึงเราจะไม่สามารถเข้าสะพานใหญ่เซโตะได้ แต่ที่สะพานนารุโตะมีทางสำหรับเดินเท้าอยู่! รอบนี้พวกเราจะต้องเข้าไปที่กำแพงได้แน่!”
พวกเราลงรถบัสที่ป้ายสวนนารุโตะและเดินไปสะพานโอโอนารุโตะทันที
ที่ตรงนี้มีทางเดินเท้าอุซุโนะมิจิ ทางเดินเหนือน้ำวนใต้สะพาน พวกเราสามารถเข้าไปในสะพานผ่านทางนี้
ส่วนหนึ่งของพื้นทางเดินทำจากกระจก จึงสามารถมองเห็นทะเลที่อยู่ใต้เท้า น้ำวนนารุโตะอันเลื่องชื่อก็สามารถมองได้จากตรงนี้
“โอ้…”
ภาพที่เห็นทำฉันประทับจนเผลอส่งเสียงออกมา
“ดูนี่สิฟุโยว น้ำวนสุดยอดเลยนะ”
“ยุ-ยูซุกิคุง เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูน้ำวนนะ ระ-รีบไปกันได้แล้ว”
บางอย่างทำให้ฟุโยวรีบเดินโดยไม่ก้มมองลงไป
“…ไม่ได้กลัวที่จะมองลงไปใช่ไหม?”
“มะมะมะมะมะมะมะไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว!”
ใช่แน่นอน
สะพานนี่ค่อนข้างสูงก็จริง แต่ฟุโยวก็กลัวง่ายเกินไป
ฉันพลักเธอเบาๆ ให้ไปยืนบนกระจก ทันใดนั้นฟุโยวก็กรีดร้องออกมาน้ำตาคลอเบ้า “ง่าาาาาาา จะตกแล้ว จะตกแล้ว! ช่วยด้วย!”
สุดท้ายทางเท้าของสะพานโอโอนารุโตะก็ถูกปิดกลางทาง ทำให้ไม่สามารถไปที่กำแพงได้
พวกเรานั่งรถบัสจากสะพานโอโอนารุโตะกลับไปที่สถานีนารุโตะ
ที่ป้ายรถบัสมีอ่างล้างเท้าอยู่ด้วย พวกเราเลยพักกันที่นั่น
“อ้าาา รู้สึกผ่อนคลายจังเลย… วันนี้ทำเอาเท้าฉันเกือบพังแหนะ…”
ฟุโยวที่แช่เท้าอยู่ในน้ำแสดงสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“ฟุโยว ฉันมีเรื่องจะถา-”
“ลิลลี่”
“เอ๋?”
“อย่าเรียกฉันว่าฟุโยว เรียกฉันว่าลิลลี่ จาก [ลิเลียธาล] น่ะ เพื่อนร่วมห้องเรียกฉันอย่างนั้น”
“ลิลลี่สินะ ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก แต่ลิเลียธาลเป็นชื่อกลางของหล่อนเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ ถึงชื่อจริงจะแค่ [ฟุโยว ยูนะ] แต่ฉันถูกเรียกว่าฟุโยว ลิเลียธาล ยูนะมาตั้งแต่ตอนเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ อ่อ จะว่าไปฉันเคยเล่าเรื่องตอนอยู่ในวงการให้ฟังหรือเปล่า?”
“ไม่เคย แต่รู้อยู่”
“เหรอ ลิเลียธาลเป็นชื่อกลางคุณแม่ของฉัน และฉันชอบชื่อนี้มากเลยล่ะ ว่าไปแล้ว ยูซุกิคุง ถ้าอยากให้ฉันเรียกชื่อแบบอื่นล่ะก็บอกได้เสมอนะ”
“ฉันไม่มีชื่อกลาง เรียกว่ายูซุกิก็พอแล้ว ฉันไม่ชอบชื่อยูนะ”
“โอเค ตามนั้นนะยูซุกิคุง”
ใบหน้าของลิลลี่ดูผ่อนคลาย คงเป็นเพราะอ่างแช่เท้า
“นี่ลิลลี่ ค่าเดินทางรวมกับค่าจ้างของฉันมันเยอะมากเลยนะ แน่ใจเหรอว่าไม่เป็นไร?”
ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางในวันนี้ลิลลี่เป็นคนออกเงินเองทั้งหมด เมื่อรวมค่าเช่าจักรยาน ค่ารถไฟ ค่ารถบัส แถมค่าจ้างตัวฉันอีก ถือว่าไม่ใช่น้อยๆ เลย
“อืม ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ฉันมี… เงินมากเกินจนไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร เก็บมาจากตอนเป็นดาราน่ะ”
“แต่…”
“ไม่ต้องห่วง ยังไงเงินก็มีไว้ใช้อยู่แล้ว”
ลิลลี่พูดแล้วก้มมองเท้าของตัวเองที่อยู่ในน้ำ ใบหน้าของเธอดูแอบแฝงความเศร้าเอาไว้
วันต่อมา…
“สะพานใหญ่เซโตะเหรอ? สะพานโอโอนารุโตะเหรอ? ของพวกนั้นมันแค่น้ำจิ้ม! สะพานคุรุชิม่าไคเคียวที่เอฮิเมะต่างหากล่ะของจริง!”
ลิลลี่พูดขณะที่เรานั่งบนรถไฟสายโยซันไปจังหวัดเอฮิเมะ
“ของจริง? ที่นั่นมีอะไรพิเศษกว่าที่อื่นเหรอ?”
“ในยุคคริสตศักราช เอฮิเมะมีถนนผ่านเกาะต่างๆ ในทะเลเซโตะ สะพานคุรุชิม่าไคเคียวคือจุดเริ่มต้นของถนนเส้นนั้น และถ้าเราเดินผ่านเส้นทางทั้งหมดนั้นก็จะไปถึงเกาะฮอนชู นั่นหมายความว่าเป็นไปได้ที่จะมีเส้นทางผ่านไปอีกฝั่งของกำแพงยังไงล่ะ!”
แววตาของลิลลี่ส่องประกาย แต่ฉันยังคาใจอยู่ ถ้าออกนอกกำแพงมันง่ายขนาดนั้นคนในชิโกกุคงทำกันไปแล้ว
ลิลลี่กับฉันเปลี่ยนรถไฟหลายสายจนกระทั่งมาถึงสถานีฮิชิฮามะ จากนั้นก็เช่าจักรยานแล้วปั่นไปที่สะพาน เส้นถนนที่ไปสะพานคุรุชิม่าไคเคียวยังคงถูกเรียกว่าทางด่วนชิมานามิ แต่เดิมเป็นชื่อที่ใช้เรียกถนนตลอดสายจากเอฮิเมะไปฮอนชู
ในที่สุดเราก็มาถึงสะพาน พอมองดูรอบข้างก็จะเห็นทะเลกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
ลมบนสะพานพัดแรงมาก
“ละ-ลมพัดแรงสุดๆ เลย… น่ากลัวอะ…”
“พยายามอย่าโดนพัดปลิวไปล่ะ เพราะหล่อนตัวเล็กนี่นะ”
“ฉันไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้นสักหน่อย! เธอแค่ตัวใหญ่เกินไปต่างหาก!”
พวกเราปั่นจักรายานไปทะเลาะไป
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งมีกำแพง นักวิทยาศาสตร์มากมายบอกว่าสภาพของน้ำและสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไปอย่างมากและทะเลรอบชิโกกุจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
“จริงเหรอ?”
“ใช่ พวกเขาบอกว่าน้ำวนนารุโตะที่เราเห็นเหมือนเมื่อวานจะหายไป ทะเลจะสกปรกและเป็นมลพิษจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ทะเลยังคงเป็นแบบเดิมหลังจากมีกำแพง ไทชะบอกว่ามันคือพรปกปักษ์ของท่านชินจู แต่ฉัน… ฉันไม่เชื่อว่ามันคือพลังของท่านชินจู มันต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องนี้”
พวกเรายังคงเดินทางบนทางด่วนชิมานามิ
และสุดท้ายก็ต้องหยุด
ข้างหน้าของเรามีรั้วเหล็กขวางทางไว้อยู่ จากตรงนี้สามารถมองเห็นกำแพงที่ล้อมชิโกกุอยู่อีกฝั่งของรั้ว
“…เหนื่อยเปล่าจริงๆ”
ฉันพูดขึ้น
“ไม่ ไม่เสียเปล่าหรอก”
ลิลลี่ดูไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
“แต่เราไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ
“แค่พวกเราได้รู้ว่าไม่สามารถข้ามมันไปได้ก็พอแล้วล่ะ อีกอย่างตอนนี้เรามาใกล้กำแพงที่สุดแล้ว”
ลิลลี่หยิบกล้องสองตาขึ้นมาแล้วมองไปที่กำแพง
“พอใช้กล้องสองตาก็มองเห็นกำแพงได้ชัดเลย และฉันเจออะไรบางอย่างด้วยล่ะ มาดูสิยูซุกิคุง”
ฉันรับกล้องสองตาจากลิลลี่แล้วส่องไปที่กำแพง ตามปกติเราไม่สามารถเห็นพื้นผิวของกำแพงได้ แต่ส่องผ่านกล้องสองตาจากตรงนี้สามารถเห็นได้ชัดเจน
กำแพงถูกทำมาจากเถาวัลย์หรือไม่ก็กิ่งไม้เอามามัดพันรวมเข้าด้วยกันอย่างหนาแน่นโดยไม่มีช่องว่างให้เห็นเลย ตอนแรกฉันคิดว่ามันทำจากคอนกรีตเหมือนเขื่อน แต่มันคนละอย่างกันเลย ไม่ได้ทำจากอนินทรีย์แต่เป็นกลุ่มก้อนของอินทรีย์วัตถุ
ระหว่างที่มองกำแพงอยู่นั้น ลิลลี่ก็หยิบกล้องสองตาอีกคู่(หรืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกัน) ออกมาจากกระเป๋า
“นั่นก็กล้องสองตาเหรอ?”
“กล้องวัดระยะด้วยเลเซอร์น่ะ มันจะบอกความสูงกับระยะห่างระหว่างเรากับวัตถุที่ยิงเลเซอร์ไปโดน”
ลิลลี่เริ่มตรวจสอบระยะห่างกับส่วนสูงของกำแพงโดยใช้กล้องวัดระยะเลเซอร์ แล้วหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าและจดตัวเลขลงไป
“อย่างว่า เราไม่สามารถข้ามกำแพงโดยใช้สะพานทั้งสามนี่ได้ แต่เมื่อได้เข้ามาใกล้ขนาดนี้ เราก็สามารถตรวจสอบองค์ประกอบและวัดขนาดของมันได้ นี่น่ะเป็นข้อมูลที่สำคัญและช่วยในการหาทางข้ามกำแพง ไม่มีอะไรที่เราทำไปแล้วเสียเปล่าหรอก”
“…งั้นเหรอ”
“และถึงแม้ว่าเราจะไม่เจออะไร… ฉันก็ยังได้มาเที่ยวสนุกๆ กับยูซุกิคุง และได้ใช้เวลาไปอย่างไม่เสียเปล่า”
“…”
“ยูซุกิคุงเขินเหรอ?”
“เงียบน่า รีบๆ กลับกันได้แล้ว”
ฉันเหยียบขาถีบจักรยานแล้วหันกลับ
“ง่าา อย่างทิ้งฉันไว้ตรงนี้สิ! กลับบ้านคนเดียวมันน่ากลัวนะ! ตรงนี้เห็นทะเลใต้สะพานด้วยอ้าาา!”
ลิลลี่ตะโกนไล่หลังมา
เมื่อเดินทางกลับจากเอฮิเมะมาคากาว่า พระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินแล้ว
“ฉันจะต้องจ่ายให้เธอในส่วนของสองวัน แต่ว่าฉันใช้เงินที่เตรียมไว้จ่ายค่าเดินทางของพวกเราไปหมดแล้ว เพราะงั้นมาแวะที่บ้านฉันก่อนนะ”
ลิลลี่พูดหลังเราลงจากรถไฟ
“รวมสองวันแล้ว เธอใช้เวลาอยู่กับฉันสิบสามชั่วโมง ก็จะเป็นหนึ่งหมื่นสามพันเยน”
“คือว่า…”
“บ้านของยูซุกิคุงอยู่แถวแม่น้ำซาอิดะใช่ไหม? บ้านฉันก็อยู่แถวนั้นเหมือนกัน”
“…แม้แต่บ้านฉันเธอก็รู้เหรอเนี่ย น่าประทับใจจริงๆ”
“บอกแล้วไงว่าฉันเก่งเรื่องหาข้อมูล”
ลิลลี่แสดงใบหน้าภูมิใจ
“…ฉันรับเงินนั่นไม่ได้จริงๆ”
“หมายความว่าจะเข้าชมรมผู้กล้าอย่างเป็นทางการงั้นเหรอ!?”
ลิลลี่ยื่นหน้าเข้ามาอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“เหรอ…”
ลิลลี่ไหล่ตก
“ที่ฉันทำทั้งสองวันก็แค่เดินตามเธอเท่านั้นแหละ ไม่ได้ทำอะไรที่สมควรจะได้รับเงินนั่นเลย”
“ไม่ใช่นะ! แล้วก็… เงินพวกนี้น่ะ ต่อให้ฉันเก็บมันไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร”
ลิลลี่อาศัยอยู่ที่อพาร์ตเม้นที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำตรงข้ามกับที่ที่ฉันอยู่ ตัวอาคารสามารถมองเห็นได้จากระเบียงห้องของฉันเลย ลิลลี่เปิดห้องด้วยบัตรที่เขียนชื่อว่า [ฟุโยว] แต่ไม่มีใครอยู่บ้าน
“กลับมาแล้วค่ะ”
ฉันตามเธอเข้าไปในห้อง
ลิลลี่เดินเข้าไปพนมมือกราบแท่นบูชาที่วางอยู่ข้างใน รูปของหญิงสาวใบหน้าสวยงามวางอยู่ในแท่นบูชานั้น ใบหน้าของเธอเหมือนกับลิลลี่
“นั่นคือ…”
“แท่นบูชาของคุณแม่ของฉัน ท่านเพิ่งเสียไปไม่นานเพราะโรคร้าย”
ลิลลี่เคยบอกว่าลิเลียธาลเป็นชื่อกลางของแม่ของเธอ อย่างนี้นี่เอง แม่ของเธอจากไปแล้ว…
“คุณแม่เกิดที่อเมริกา ในปี 2015 ตอนที่กำแพงปรากฏขึ้นมา เป็นช่วงเดียวกับที่คุณแม่มาเที่ยวที่ญี่ปุ่นพอดี ท่านเลยอาศัยอยู่ชิโกกุตั้งแต่นั้น”
“…”
“ครอบครัวและพี่น้องของคุณแม่อยู่ที่อเมริกา ท่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตั้งแต่เวอร์เท็กซ์ปรากฏตัว แม้แต่เกิดอะไรขึ้นกับญี่ปุ่นพวกเราก็ยังไม่รู้ นับประสาอะไรกับต่างประเทศล่ะนะ คุณแม่ค่อยเป็นห่วงครอบครัวที่บ้านเกิดมาตลอดจนถึงวันที่ท่านตาย คุณแม่เคยพูดว่าเมื่อสังคมกลับมาเป็นปกติและผู้คนสามารถออกไปนอกแพงได้อีกครั้ง ท่านอยากจะไปเยี่ยมบ้านสักครั้งนึง…”
ลิลลี่ลุกขึ้น
“งั้นก็รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเอาเงินมาให้”
เธอเข้าไปอีกห้องนึง แล้วกลับมาที่ห้องรับแขกอย่างรวดเร็วและยื่นเงินให้กับฉัน แบงค์หมื่นเยนหนึ่งใบกับพันเยนสามใบ
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฉันก็เข้าไปในห้องของตัวเอง ในมือกำเงินที่ลิลลี่ให้มาไว้แน่น
แม่ที่จากไปแล้วของเธอต้องการที่จะกลับบ้าน และลิลลี่…
สาเหตุที่ลิลลี่ยึดติดกับกำแพงและต้องการที่จะข้ามไปอีกฝั่งให้ได้นั้นมาจากแม่ของเธอ
“คง… เป็นอย่างนั้นสินะ”
ฉันเก็บเงินใส่ลิ้นชักและล็อคมันไว้
ทนกับนิสัยแปลกประหลาดของลิลลี่อีกสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร
ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า -ตอนที่ 2- จบ
=====================================================
วันที่ x กรกฎาคม
แย่ที่สุด! ฉันไม่ใช่เด็กนะ!
คิดแล้วยังหงุดหงิดไม่หายเลย
วันก่อน ตอนที่เข้าไปหาประธานชมรมวอลเล่บอลหญิงเพื่อหาข้อมูล เธอบอกว่าเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความลับของยูซุกิคุง(ที่ช่วยชมรมเพื่อเงิน) ขอกอดฉันสักทีนึง… และตอนที่เธอกำลังกอดฉันอยู่ เธอก็เอาแต่ลูบหัวฉันแล้วพูดว่า ‘น่าร้าาาากกก น่ารักสุดๆ เลย ทั้งที่อยู่ ม.ต้นแท้ๆ แต่เหมือนเด็กประถมเลย เป็นเด็กน้อยน่ารักจริงจริ๊ง’ มันคือข้อต่อรองเพื่อยูซุกิคุง แค่นี้เรื่องเล็ก และไม่ว่าอะไรที่บอกว่าฉันน่ารักเพราะแม่ให้ฉันมาเยอะ แต่พอมาคิดเรื่องที่โดนเรียกว่า ‘เหมือนเด็กประถมเลย’ กับ ‘เด็กน้อย’ นี่มันหยาบคายสุดๆ เลย!! ยิ่งมีข่าวลือว่า [ประธานชมรมวอลเล่บอลหญิงเป็นเป็นโลลิคอน] ยิ่งทำให้รู้สึกใจเสียเข้าไปอีก
ถึงฉันจะตัวเล็ก แต่ไม่ถึงขั้นจะมาเรียกว่าเป็นเด็กนะ! ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว!
นึกแล้วก็หงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะเขียนลงในนี้
ส่วนวันนี้เป็นวันที่สองของการสำรวจกำแพงของเรา การสำรวจสะพานใหญ่เซโตะ สะพานโอโอนารุโตะ และสะพานคุรุชิม่าไคเคียวเสร็จลุล่วง อย่างที่คิดไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากชิโกกุโดยใช้เส้นทางพวกนี้ ไม่เคยคิดว่าการออกไปนอกกำแพงเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว
แต่ได้ข้อมูลดีๆ มาด้วย
ด้วยเส้นทางบนสะพานคุรุชิม่าไคเคียว ทำให้ฉันสามารถเข้าไปใกล้กับกำแพงได้ ด้วยกล้องวัดระยะเลเซอร์ จึงได้ขนาดของกำแพงมา
กำแพงมีความสูงประมาณสองร้อยเมตร เป็นไปได้ว่าอาจมีคลาดเคลื่อน
ข้อมูลนี้อาจได้ใช้ในสักวันหนึ่ง ตอนที่ฉันขึ้นไปบนกำแพงได้
นี่เพิ่งเป็นงานแรกของชมรมผู้กล้าเท่านั้น ยูซุกิคุงดูเหมือนจะเชื่อว่าฉันทำงานชมรมนี่ตัวคนเดียวมาตลอด แต่เธอคิด… ผิด ฉันเพิ่งตั้งชมรมผู้กล้าขึ้นมาหลังคุณแม่จากไป เพิ่งตั้งขึ้นไม่นาน และฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ฉันรู้ว่าฉันขี้ขลาด ไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ แม้ตอนนี้เธอจะแค่เข้ามาช่วย แต่ฉันดีใจที่ได้เจอคนดีๆ อย่างยูซุกิคุง