[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 93 ตอนที่ 13 ดวงจันทร์ในเงาเมฆ, ดอกไม้ในสายลม
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 93 ตอนที่ 13 ดวงจันทร์ในเงาเมฆ, ดอกไม้ในสายลม
ตอนที่ 13 ดวงจันทร์ในเงาเมฆ, ดอกไม้ในสายลม
(สุภาษิต เรื่องดีไม่คงอยู่ตลอดไป)
“….ดูเหมือนดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว”
หลังพวกเราาผ่านป่าเล็ก ๆ มาไม่นาน คุณพ่อก็พูดแบบนั้นก่อนชะลอฝีเท้าม้าลง หลังจากที่ออกจากกองทหารรักษาการณ์ของอัศวินชิรายูกิแล้ว พวกเราก็วิ่งไปตามถนนสู่เมืองหลวงมานานกว่าครึ่งวัน แม้จะมีพักช่วงสั้น ๆ หลายครั้งระหว่างทาง
“บางทีเราควรเริ่มตั้งค่ายแถว ๆ นี้จะเป็นการดีกว่าน้อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณตา ฉันก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นว่าเริ่มมืดแล้ว เป็นเพราะอยู่ในป่า ฉันจึงไม่สามารถกะเวลาได้ เพราะต้นไม้บังแสงเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปในที่สุด
….เมื่อพิจารณาถึงเวลาเตรียมการแล้ว คงจะจริงที่ว่าควรหยุดพักที่นี่ชั่วคราวตามที่ตาบอก ค่ำคืนกำลังจะมาถึง และเมื่อคิดถึงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
“ใช่ แถมที่นี่ยังเป็นเขตรอยต่อระหว่างป่ากับเมืองพอดี ซึ่งเหมาะแก่การซ่อนตัวอยู่ทั้งคืนด้วย”
เข้าใจล่ะ อย่างคุณพ่อพูด ถ้าฉันเพ่งสายตาไปในทิศทางเดียวกัน ฉันก็สามารถเห็นแสงริบหรี่สองดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าสีแดง ต้องเป็นแสงตะเกียงที่แขวนอยู่ที่ประตูเมืองแน่นอน
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ห่างจากเมืองหลวงมากแค่ไหน เพราะด้วยการใช้เส้นทางที่สั้นที่สุด แทนที่จะเป็นถนนเปิดที่มีการจราจรคับคั่งจากผู้คนมากมายที่ฉันเคยใช้ไปและกลับจากโรงเรียน
ยังไงก็ตามโดยทั่วไปแล้ว เมืองของราชอาณาจักรจะพัฒนาเป็นวงกลมโดยมีเมืองหลวงเป็นจุดศูนย์กลาง ยกเว้นพื้นที่พิเศษ เช่น มาเรียน่า ยิ่งไปที่ขอบนอกมากเท่าไรประชากรก็จะยิ่งกระจัดกระจายมากขึ้นเท่านั้น และขนาดของเมืองก็จะยิ่งเล็กลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าดูจากที่ประตูมีตะเกียงแขวนอยู่คงจะเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว หรือก็คือ ที่นี่เป็นสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก
ตามที่ฉันได้ยินตอนที่อยู่ที่กรมทหารรักษาการณ์ พวกเราอาจจะไปถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ ถึงแม้ใกล้จะมืดแล้วแต่ก็ยังสว่างอยู่พอสมควร การที่คุณพ่อกับคุณตาแนะนำให้ตั้งค่ายตอนนี้ ฉันเดาว่าเป็นเพราะการประมาณการดังกล่าว
“แฮ่ก แฮ่ก……….”
“อายาเมะ เหนื่อยไหม?”
“หงิง……….”
เมื่อฉันก้มลงไปมองที่ข้าง ๆ หลังได้ยินเสียงหอบหายใจรุนแรง ก็เห็นอายาเมะคอตกยื่นลิ้นออกมา ดูเหมือนเธอจะถึงขีดจำกัดแล้ว
แม้ว่าพวกหมาป่าจะมีขาและพละกำลังที่มากพอจะทิ้งม้าป่าไว้เบื้องหลัง แต่ก็อย่างที่คาดไว้ ดูเหมือจะไม่สามารถทนต่อการวิ่งทางระยะขนาดนี้ด้วยความเร็วเท่ากับม้าศึกได้ ฉันรู้สึกเสียใจกับอายาเมะที่ครางขอโทษออกมาแบบนั้น
แน่นอนฉันเองก็เหนื่อยมากจนอยากจะนอนพักในตอนนี้ทันทีเหมือนกัน แต่ว่าการขี่ม้ากับการวิ่งด้วยเท้าของตัวเองนั้นใช้พลังงานในปริมาณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่ตามมาถึงที่นี่ได้โดยไม่หยุดก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีแล้ว
“……อริซซามะเองก็ถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกันค่ะ”
“อ…….อืม”
ฉันพยายามจะอวดนิดหน่อย แต่สิ่งที่แสดงออกมากลับทำให้ได้รับการยืนยันที่น่าสงสารแทน ไม่ว่าจะมีอานม้ารองแค่ไหน ไม่ว่าจะแกะติดกับความนุ่มของเบลล์ซังเท่าไร ฉันก็ยังได้รับความเจ็บปวดจากแรงสั่นสะเทือนเวลากระทบพื้นทุกครั้ง ในขณะที่พยายามทรงตัวเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนอยากหยุดสักครั้ง แต่หากพูดตามตรง ถ้าถูงสั่งให้วิ่งต่อไปอีกครั้งต่อจากนี้ ฉันก็คงทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ และเรื่องก็คงจบลงที่ฉันตกจากม้าที่ไหนสักแห่ง ไม่สิ ไม่ตลกเลยแบบนั้น
“อริซซามะทำได้ดีมากแล้วล่ะค่ะ ดิฉันไม่คิดว่าจะมีเด็กในวัยเท่าอริซซามะคนไหนจะสามารถขี่ม้าได้นานแบบนี้”
“…..ไม่สิ จริง ๆ แล้ว ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกันน้อ”
“จะ จริงเหรอกะ? เอ๊ะเฮะๆๆ………”
เมื่อได้รับคำชมอย่างไม่คาดคิด รอยยิ้มก็ล้นออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ และแน่นอนฉันรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าของฉันถูกชะล้างออกไปด้วยมือของเบลล์ซังที่กำลังลูบและหวีผมที่ยุ่งเหยิงของฉัน แต่ยังก่อน ……ยังเร็วเกินไปที่จะรู้สึกถึงความสำเร็จ
“เมื่อไร ถึงเมืองหลวง?”
“เอ่อ ในอัตรานี้ หากพวกเราออกเดินทางแต่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ก็ควรจะไปถึงที่นั่นได้ในตอนเย็นค่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
“อืม หลังพักผ่อนแล้ว บางที”
“งั้นเหรอค่ะ ….ตอนนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากเกินกว่าจะกล่าวขอให้อย่าหักโหมเกินไปด้วยสิ”
“ม๊ายเป็นร๊าย”
ความเงียบอันอ่อนไหวถูกชะล้างออกไป ยังไงก็ตาม ถ้าออกเดินทางแต่เช้าตรู่ก็แปลว่าจะมีเวลาเหลือเฟือ แม้ว่าจะต้องให้วิ่งแบบนี้อีกครั้ง แต่ถ้าได้พักผ่อนอย่างเพียงสักครั้งก็ไม่เป็นไร จากมุมมองของคนที่เคยประสบกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้――――จนพังทลายและตายไปทั้ง ๆ อย่างงั้นแล้ว จิตใจฉันยังคงสบายดี …..แม้ว่าฉันจะไม่มีกำลังจะจ่ายไหวก็ตาม
“เอาล่ะ รีบตั้งเต็นท์กันได้แล้ว”
“ข้าจะเลือกกิ่งที่ดูดีที่สุดให้เองค่ะ!”
“อ้า ฝากด้วยนะ มิแรนด้า”
ดูเหมือนมิร่าซังจะมีความแข็งแกร่งทางร่างกายสูงมาก เพราะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เธอลงจากหลังม้าด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ไม่ต่างจากปกติมากนัก จากนั้นนำหญ้าแห้งและถังไม้ลงจากหลังม้า เทน้ำจากกระบอกน้ำลงไป หลังจากให้อาหารม้าแล้วก็เริ่มมองไปรอบ ๆ
เมื่อมองไปด้านข้าง คุณพ่อเองก็กำลังลงจากหลังม้า และเริ่มทำแบบเดียวกับมิร่าซัง เข้าไปขนอาหารและน้ำจากบนหลังม้าที่มิร่าซังขี่มาให้ม้าดำของตัวเอง แล้วกระจายสัมภาระที่ได้รับจากคุณตาจอนที่อยู่กรมทหารรักษาการณ์ ที่หยิบออกมาเป็นหนังขนาดใหญ่สองสามชิ้น
…..เต็นท์งั้นเหรอ บางทีอาจเป็นที่พักชั่วคราวแบบยึดติดไว้กับกิ่งก้านตันไม้บนพื้น มีภาพแบบนั้นในหนังสืดภาพการเริ่มต้นราชอาณาจักรที่ฉันเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ฉันแน่ใจว่าน่าจะมีสิ่งที่คล้ายการในโลกก่อนของฉัน เพียงแต่ฉันไม่รู้จัก
“อริซซามะ”
“อืม”
ในเวลาเดียวกันกับที่คุณตากำลังยกขาขึ้นข้างหนึ่ง เบลล์ซังก็ยกสะโพกขึ้นแล้วลงยืนบนพื้นก่อนพยุงตัวฉัน ฉันหยิบคู่หูที่ผูกไว้กับสายรัดขึ้นมาเพื่อไม่ให้ลืม จากนั้นก็ปล่อยตัวลงบนตัวเบลล์ซัง และฉันก็ลงจากหลังม้าได้อย่างราบรื่น แล้วเบลล์ซังก็ตรงไปที่ม้าของคุณตาซึ่งเต็มไปด้วยอาหารและสิ่งของอื่น ๆ เหมือนกับม้าของมิร่าซัง ส่วนที่เบื้องหลังในที่สุดพวกเราก็ได้รับการปลดปล่อยจากแรงกดดันที่กดทับ ม้าขาวส่ายตัวไปมา แปะๆๆ ….เอื้อมไม่ถึง ฉันจึงลูบไล้ทั่วท้องแทน ขอบคุณ
ฟุ๊ว ส่งเสียงผ่านจมูกมองมาที่ฉัน ฉันขอโทษเธอหรือเขาด้วยการฝืนยิ้ม อายาเมะกดปลายจมูกกับแก้มของฉัน ….อ้า ขอโทษ ขอโทษ
“โฮ่ง”
“อืม ทำได้ดีมาก อายาเมะ พักกันเถอะ”
“หงิม”
ในระหว่างที่เล่นกับอายาเมะที่ส่งเสียงเอาแต่ใจออกมา ฉันก็เห็นเบลล์ซังกลับมาพร้อมกับอาหารและถังน้ำ อะโตะ
ตอนพักระหว่างทางก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้ เพราะมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ ๆ แต่ถังนั้น ถ้ามองดี ๆ ก็มีแต่ของม้า แล้วของอายาเมะ……ต้องทำยังไง ถ้าคิดตามปกติก็แค่ให้ใช้ถังเดียวกันไป แต่ทั้งม้าทั้งหมาป่าสีทองต่างก็เป็นสัตว์มีความภาคภูมิใจสูง จะยอมดื่มน้ำจากถังเดียวกันได้หรือเปล่า
เบลล์ซังเองก็เริ่มสังเกตเห็นตอนที่เทน้ำลงในถัง และสงสัยว่าควรยื่นน้ำให้ทางไหนก่อน และอย่างที่คาดไว้ อายาเมะกับม้าขาวเริ่มจ้องกันข้ามถังน้ำ ไม่สิ จะเริ่มสู้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ด้วยความตื่นตระหนก ฉันพยายามดึงอายาเมะออกมา
“…..อะเอ๊ะ?”
“อาร๊า……..”
แตกต่างจากที่คาดเดาเอาไว้ ดูเหมือนจะเกิดมิตรภาพที่ก้าวข้ามความแตกต่างด้านสายพันธ์ไปได้
ม้าขาวผลักถังน้ำด้วยจมูกยื่นให้กับอายาเมะ จากนั้นอายาเมะก็คว้าด้วยขาหน้าของเธอ และส่งคืนให้ม้าขาว
…..ถึงแม้จะได้ใช้เวลาด้วยกันน้อยกว่าหนึ่งวันก็ตาม นี่อาจเป็นความสนิทสนมที่เกิดขึ้นจากการได้วิ่งด้วยกันมาตลอดเวลา หรือบางทีทั้งคู่อาจให้การยอมรับกันและกันแล้วล่ะมั้ง
“โฮ่ง”
“…….ฮี่”
หุๆๆๆ จากที่คิดว่าจะกลายเป็นความขัดแย้ง ฉันกับเบลล์ซังยิ้มให้กันและกัน และมองดูพวกเธอโดยไม่รบกวน ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มเลียน้ำในถังด้วยกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ทำให้รู้สึกว่าพวกอายาเมะก็ไม่ต่างจากพวกเรา เป็นเพียงชีวิตหนึ่งที่พยายามมีชีวิตอยู่
“…เนยูมูร์”
ฉันรู้สึกเหมือนเข้าใจความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาขึ้นเล็กน้อย หากนี่หมายถึงการอยู่ร่วมกันในธรรมชาติและรักในสิ่งที่เป็น ก็เข้าใจล่ะ นับว่าเป็นเรื่องที่ล้ำค่า
และเมื่อผู้คนหลงลืมเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมา เมื่อถึงเวลาพระองค์จะเสด็จลงมาให้และให้ทุกคนเข้าสู่นิทราอันเงียบสงบ ภาวะเอกฐานที่สร้างระบบนิเวศใหม่――――”ฤดูหนาว” หรือว่าบางทีอาจจะเป็นยุคน้ำแข็ง ถ้าแบบนั้นก็ไม่แปลกที่ผู้คนจะมองว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเจตจำนงของตัวตนเหนือธรรมชาติ
ถ้าคิดแบบนั้นแล้ว เซนต์เนยูมุร์อาจเป็นเหมือนปรัชญาชีวิตซึ่งสอนให้ทุกคนมีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความตายมากกว่าศาสนา
“เป็นอะไรไปรึเปล่าคะ อริซซามะ”
“ไม่มี ไม่มีอะไร”
เมื่อละสายตาจากพวกอายาเมะไปทางอื่น ก็เห็นคุณพ่อ มิร่าซัง คุณตาเริ่มตั้งเต็นท์กันแล้ว ใช้กิ่งไม้หนากับกิ่งไม้ยาวมาวางทับกันในแนวทแยงมุม และมัดตรงจุดตัวด้วยเชือกที่ใช้สำหรับมัดสัมภาระ จากนั้นคลุมด้วยหนังสัตว์ และยึดให้เข้าที่อีกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ปลิวตามลม เท่านี้ที่พักเรียบง่ายก็สร้างเสร็จสิ้น เมื่อปูผ้ารองไว้ด้านในก็สมบูรณ์แบบ นอกเหนือจากนั้น สำหรับฉันก็ดีพอแล้ว
เต็นท์ดูจะคับแคบเล็กน้อยหากจะนอนกันทุกคน แต่ว่าจะต้องมีบางคนที่อยู่เฝ้ายาม ….บางที ถ้าฉันบอกว่าจะขออยู่ยามด้วยก็คงได้เป็นคำปลอบโยนและให้พักผ่อนเท่านั้น และถึงแบบนั้นฉันเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถตื่นตัวระแวงระวังได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นครั้งนี้ฉันจะขอเอาแต่ใจสักหน่อย
“ซ้า ฮิเมะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
“อืม …….ขอบกุณ”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ! ข้าได้รับรางวัลอย่างเต็มเปี่ยมจากคำพูดเหล่านั้นแล้วค่ะ”
ฉันเข้าไปในเต็นท์ตามที่มิร่าซังเร่งเร่าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามปกติของเธอ ดูเหมือนเบลล์ซังจะอยู่เก็บกวาดอาหารและน้ำของพวกอายาเมะกับม้า
ด้านในเต็นท์ที่ล้อมรอบด้วยหนังสัตว์ จึงทำให้มีกลิ่นสาบสัตว์นิดหน่อย แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจ ช่างเป็นของที่แปลกประหลาดมาก แค่มีของมากั้นแบ่งพื้นที่บาง ๆ อุณหภูมิของอากาศที่สัมผัสผิวหนังก็ต่างออกไป ค่ำคืนของราชอาณาจักรไม่หนาวนัก แต่ถึงอย่างงั้น ลมกลางคืนก็ทำให้ร่างกายเย็นลงได้ ถ้าเบลล์ซังไม่นำสัมภาระมาด้วย ฉันสงสัยว่าบางทีตัวเองอาจจะต้องนอนในโล่งไปแล้วล่ะมั้ง ขอบคุณสำหรับเต็นท์แสนพิเศษนี้
“มีตะเกียงอยู่ก็เถอะ….แต่เปลืองน้ำมันเกินไป จุดกองไฟแทนแล้วกัน”
“ค่ะ ข้ารวบรวมกิ่งไม้หายที่สามารถใช้ได้มาแล้วค่ะ”
“อ้า ขอบคุณ มิแรนด้า ข้าจะจุดไฟเอง”
“โอ้ ข้ามีหินเหล็กไฟอยู่น้อ เอาไปใช้สิ”
“ขอบคุณครับ ท่านพ่อตา”
ฉันเฝ้ามองทุกอย่างจากภายในเต็นท์ คุณพ่อรับหินสองก้อนจากคุณตา หยิบกิ่งไม้แห้งและใบไม้ที่ร่วงมากองสุมกัน คลิกๆ เมื่อกระแทกหินและถูเข้าด้วยกัน ประกายไฟขนาดเล็กก็กระจัดกระจาย ในที่สุด ประกายไฟที่ตกลงมาจุดหนึ่งก็ลามทั่วใบไม้และลุกลามทำให้เกิดต้นเพลิงเล็ก ๆ จากนั้นเมื่อนำไปใส่ลงกลางกองฟืนที่มิร่าซังก่อไว้ เปรี๊ยงๆๆ ความร้อนแผ่วเบาเข้ามาในเต็นท์พร้อมกับเสียงแตกที่ไพเราะ
“อุ่น…….”
ขณะที่ฉันกำลังจ้องเปลวไฟที่สั่นไหว เบลล์ซังที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว ก็เข้ามาในเต็นท์พร้อมกับกระบอกน้ำและอาหา
อายาเมะซึ่งเดินตามมาได้ครึ่งทางล้มตัวลงนั่งขดตัวใกล้ ๆ กองไฟ ขนสีเงินสะท้อนไฟสว่างสวย พักผ่อนให้พอนะ
“……อริซซามะ ขออนุญาตนั่งข้าง ๆ นะคะ”
“อืม”
ฉันบิดตัวและขยับร่างกายเพื่อให้มีที่ว่างข้าง ๆ ขณะนั่งกันเป็นรูปสามเหลี่ยม เบลล์ซังนั่งลงแล้วถูมือหันไปทางกองไฟ แปะๆ จากนั้นก็ตบลงบนเข่าของตัวเอง มาสิคะ หมายถึงแบบนั้นเหรอ ……เป็นการเอาใจใส่ คุณพ่อ คุณตา มิร่าซัง อย่าว่าแต่เข้ามาในเต็นท์เลย ไม่แม้แต่จะมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ ทั้งสามคนนั่งรอบกองไฟและแทะขนมปังกับเนิ้อแห้งขณะคุยกันเรื่องลำดับรับผิดชอบการเฝ้ายาม
“อริซซามะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะคะ”
“ก่ะ……..”
ขณะถูกมือโอบหัวค่อย ๆ ผลักลง ฉันก็ทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงลงบนตักของเบลล์ซัง ในเวลาเดียวกันขณะที่ฉันถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจที่อธิบายไม่ได้ ความเหนื่อยล้าก็พุ่งเข้ามาหา อา~ ฉันคิดว่าตัวเองคงจะหลับในเร็ว ๆ นี้……..
“อ้า เดี๋ยวก่อนนะคะ กรุณาทานอะไรสักเล็กน้อยก่อนนะคะ”
“ฟูก่ะ…….”
ฉันรับขนมปังชิ้นหนึ่งเข้าปาก ง่ำๆ เคี้ยวด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด และกลืนอย่างสม่ำเสมอ บอกตรง ๆ เลยว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่ที่นี่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนั้น คราวนี้เป็นเนื้อแห้งฝอย ฉันดูดเข้าปากโดยอัตโนมัติได้ครึ่งชิ้น อะมุ ……หืม? บางและนุ่ม――――
“อะ อาโน …..อริซซามะ นั่น……..”
“…..ขอโทษ”
ฉันรู้สึกตัวว่าไม่ใช่เพียงแค่เนื้อแห้งเท่านั้นที่อยู่ในปาก แต่นิ้วของเบลล์ซังเองก็โดนฉันดูดเข้ามาด้วย ฉันจึงค่อย ๆ ปล่อยปากออก ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะกินระหว่างหลับตา โชคดีที่ไม่มีใครดูอยู่ ฉันแกล้งทำเป็นไม่เห็นนิ้วเปียกลื่นของเบลล์ซังที่กำลังค่อย ๆ เคลื่อนออกจากปากของฉันอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ฉันเจ็บปาก เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะความร้อนจากกองไฟ หรือเพราะความอายกันแน่ที่กำลังแผดเผาแก้มของฉันอยู่
“ยังไง ได้โปรดอย่าใส่ใจเลยนะคะ”
“อุอูออ……..”
“มะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเป็นอริซซามะละก็ ไม่ว่าอะไรก็……..มะ ไม่มีอะไรค่ะ”
มองยังไงก็เป็นแน่ ๆ แต่อย่าถามต่อจะดีกว่า พวกเราต่างไม่อยากให้เห็นหน้าของกันและกันในตอนนี้ ฉันรู้สึกดีใจที่นอนหนุนตักอยู่ เบลล์ซังอาจจะเห็นใบหน้าด้านข้างของฉันได้เป็นอย่างน้อย แต่อย่างน้อยฉันก็ทำเป็นว่าไม่รู้ว่ากำลังถูกจ้องได้
“อริซซามะ น้ำค่ะ”
“อืม”
ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อดื่มน้ำจากกระบอกน้ำไม่ให้หก อึก อึก อึก และเมื่อดื่มได้ประมาณสามครั้ง ฉันก็ส่งสัญญาว่าพอใจแล้ว กระบอกน้ำเอียงกลับและหายไปจากสายตา เบลล์ซังเองก็ทำให้คอชุ่มชื้นเช่นกัน ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงวางกระบอกน้ำเหนือหัว
“ค่ะ อ้า~ม”
“อ้า~ม”
หลังจากนั้นก็ทำวนซ้ำกันอีกหลายครั้งจนกินเสร็จในที่สุด แม้ว่าจะยังไม่เพียงพอนัก แต่ฉันก็ง่วงเกินกว่าจะฝืนแล้ว เปลวเพลิงที่พริ้วไหวยิ่งเชื้อชวนฉันเข้าไปอีก สติเริ่มคลุมเครือ
เบลล์ซังเหมือนจะรับรู้ได้จึงเปลี่ยนท่าทาง แล้วยกหัวที่แทบจะอ่อนแรงของฉันขึ้น ต่อจากนั้น กิ๊ว ร่างกายของฉันถูกโอบกอดแน่นจากด้านหลังจนไม่มีช่องว่าง ความอบอุ่นแสนนุ่มเสียบเข้ามาเป็นดาบสุดท้าย……….อ้า ไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดิ์ เบลล์――――
“――――อริซซามะ ได้โปรดรีบตื่นขึ้นมาเถอะค่ะ อริซซามะ!”
“อึก อือ……..อ”
ฉันตื่นขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียกฉันอย่างรุนแรงและร่างกายที่ถูกเขย่า ดูเหมือนฉันยังครึ่งหลับครึ่งตื่น
เมื่อฉันลืมตาขึ้นเล็กน้อย บริเวณโดยรอบก็มืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงจากกองไฟเท่านั้นที่กำลังส่องสว่างให้พวกเรา
“โม๊ เช้า? แล้วเหรอ……”
“ไม่ค่ะ…….”
และเบลล์ซังลังเลที่จะพูด ฉันรู้สึกได้ถึงความรู้กระสับกระส่ายอย่างสุดจะพรรณนาในน้ำเสียงของเธอ ฉันสลัดอาการหาวและพยายามยกร่างกายที่หนักขึ้น เมื่อมองออกไปนอกเต็นท์ ฉันมองหาคุณพวกพ่อที่น่าจะกำลังเฝ้าอยู่รอบกองไฟ… และเริ่มคาดเดาเอาเอง ไม่สิ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทว่าคุณพ่อ คุณตา และมิร่าซัง จากท่าทางที่ทุกคนดึงดาบออกจากเอวและมองไปรอบ ๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ข้าง ๆ กันนั้น จำได้ว่าก่อนที่ฉันจะผล็อยหลับไป อายาเมะน่าจะกำลังนอนอย่างสบายบนพื้น ในตอนนี้เธอกำลังจ้องไปจุดหนึ่งพร้อมกับหูที่กระดิกไปมา จุดที่ทุกคนกำลังจ้องมองไป คือถนนที่พวกเราใช้เดินทางกันมาจนถึงตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นกัน
“กรรรรรรรรรรรรรรร………”
“อายาเมะ….?”
เมื่อมองย้อนกลับมาที่เบลล์ซังก็กำลังมีสีหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังจะพูดว่าทำไม
……อ้า งั้นเหรอ แน่นอนสินะ
“บ้าเอ๊ย ทำไมต้องมาที่นี่ ตอนนี้กัน”
คุณพ่อพูดด้วยการพ่นคำหยาบผิดปกติ
แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันกลัวได้เกิดขึ้นแล้ว
“ไปจับพวกขุนนางในเมือง! ไปข้างหน้า ไปข้างหน้า!”
“โออออออออออออออ้!”
เปรี๊ยง ประกายไฟที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงทำให้ป่าที่มืดมิดในตอนกลางคืนสว่างไสวอย่างไม่น่าเชื่อ
ปลายดาบสะท้อนแสงจันทร์อย่างเย็นชา
――――ฉันเข้าใจว่าการพักชั่วคราวได้สิ้นสุดลงแล้ว