[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 92 ตอนที่ 12 เสียงม้าร้องในสายลมเหนือ
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 92 ตอนที่ 12 เสียงม้าร้องในสายลมเหนือ
ตอนที่ 12 เสียงม้าร้องในสายลมเหนือ
“การเดินทางไปทั้ง ๆ แบบนี้ ช่างน่ากังวลทั้งในแง่ของเวลาและความปลอดภัยเหลือเกิน”
“อืม”
ระหว่างที่ฉันกำลังขี่ม้าที่คุณตานำมา หลังออกจากเมืองมาเรียนาที่มีทุกคนมายืนส่งให้กำลังใจ คุณพ่อก็พูดขึ้นทันที ถูกต้อง แต่ดูเหมือนคุณพ่อน่าจะมีความคิดดี ๆ แล้ว ฉันแน่ใจว่าต้องเหมือนกับที่ฉันกำลังคิดอยู่ นั่นสินะ ฉันส่งสายตาและพยักหน้ากลับ
“อย่างแรก ไปที่กองทหารรักษาการณ์กลุ่มอัศวินชิรายูริ และยืมม้า และถ้าเป็นไปได้ ก็ขออัศวินคุ้มกันบางส่วน ถึงคนคุ้มกันจำนวนน้อยจะไม่สามารถจัดการกลุ่มก่อการจลาจลได้ แต่อย่างน้อยก็…”
“นั่นถือว่าดูดีแล้วน้อ ว่าแล้วว่าสิ่งที่ข้าควรทำคือการพาลูกน้องกับม้ามาให้มากกว่านี้ เจ้าหนูนี่ก็ไม่มีทางทนวิ่งไปถึงเมืองหลวงไหวแน่นอน คงต้องปล่อยไว้แล้วทำการยืมม้าตัวอื่นมาแทนน้อ”
ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างร้อนใจกัน บางทีม้าตัวนี้คงถึงขีดจำกัดแล้ว อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้ต้องตะบึงจนแทบเหาะมาถึงที่นี่ และแน่ใจว่าที่ไม่สามารถพาผู้ใต้บังคับบัญชามาด้วย เพราะไม่มีเวลาคัดเลือกคนที่ไว้ใจได้ ถึงคุณตาจะเป็นผู้อำนวยการของหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักร ก็ไม่ได้แปลว่าทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน บางทีอาจไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้อยู่ในมือ หรือบางทีคงไม่อยากประมาทพาเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวมาติดต่อกับพวกเรา
ถึงกระนั้นคุณตาก็แสดงสีหน้าเสียใจเล็กน้อยขณะพึมพำว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เขากอดฉันไว้แน่นให้แน่ใจว่าจะไม่ตกจากหลังม้า และเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณพ่อ กองทหารรักษาการณ์ตั้งอยู่ระหว่างทางไปเมืองหลวง จึงเป็นการเสียเวลาเพียงแค่เล็กน้อย
…..พอพูดถึงเรื่องม้าแล้ว
“…..เบลล์ เรื่องนั้น”
“เอ๋โตะ……อาาาา ….ฟุๆๆๆๆ ยังจำได้อยู่สินะคะ”
“อืม”
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ อริซซามะ ถ้ายืมม้าตัวใหม่มาแล้ว ก็มาขี่ด้วยกันเถอะค่ะ”
“อืม!”
ใช่แล้ว คำมั่นสัญญาที่จะขึ้นขี่ม้าของคุณพ่อด้วยกันกับเบลล์ซัง ฉันอยากมีครั้งแรกกับเธอ แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะสบายใจได้ แต่หากมีโอกาสที่หลังจากยืมม้ามาจากอัศวินและขี่กับเบลล์ซังได้ ฉันก็อยากจะขี่กับเธอด้วยกันอย่างแน่นอน …..เพราะนี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย
“มองตาก็รู้ใจกัน อย่างเช่นเคยนะค――――”
“มิแรนด้าซัง”
“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ”
เบลล์ซังแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ขณะสกัดมิร่าซังที่กำลังพูดบางอย่างออกมาพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพยายามพูดถึงเรื่องอะไร……เหมือนเช่นเคย แต่ฉันจะทำเป็นไม่เข้าใจต่อไป ฟู๊ว ฉันคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย และเตรียมใจในอก
ซ้า ถึงเวลาที่จะต้องเก็บความรู้สึกส่วนตัวไว้ที่มุมห้อง …..ใช่แล้ว แม้แต่ในเวลานี้ในเมืองหลวง
“ลูน่า จะม๊ายเป็นร๊ายใช่มั……”
“โฮ่ง?”
บางทีอาจจะมองเห็นความกังวลของฉัน อายาเมะจึงเห่าออกมาเบา ๆ ราวกับเป็นห่วงฉันขณะที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ ฉันส่ายหัวไปมาก่อนส่งยิ้มที่คลุมเครือให้กับพวกเบลล์ซังที่ดูเป็นห่วงฉันอยู่เช่นกัน
ที่เมืองหลวงยังมีลาบริกซ์ซังอยู่ นอกจากนี้ยังมีสเตลล่าซังที่อยู่เคียงข้างลูน่าเสมอ ฉันแน่ใจว่าเธอต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างงั้นเรื่องที่กังวลก็ยังคงกังวลอยู่ดี ลูน่าเป็นเด็กที่สุดยอดมากสำหรับเด็กอายุไม่ถึงแปดขวบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสาวน้อยธรรมดาที่ไร้เดียงสาอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากเรื่องภายนอกแล้ว ฉันยังกังวลเรื่องภาระทางจิตใจอีกด้วย เพราะที่จริงฉันเองก็กำลังถูกบดขยี้จากแรงกดดันอยู่เช่นกัน
“ต้องรีบไป………”
ต้องอย่ารีบร้อน ฉันเข้าใจดี แต่ฉันไม่มีทางอื่นนอกจากต้องพึมพำออกมา และบางทีทุกคนอาจรับรู้ได้จึงดูเหมือนความเร็วในการเดินทางจึงเพิ่มขึ้น กองทหารรักษาการณ์ของกองอัศวินชิรายูริใกล้เข้ามาแล้ว เริ่มจะมองเห็นอาคารได้โดยตรง
….และในขณะที่พูดก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ดูเหมือนจะวุ่นวายกันอยู่ แต่ดูท่าจะยังควมคุมการสั่งการได้อยู่น้อ”
“อย่างที่คาดหวังไว้ สมกับที่ได้รับการฝึกโดยตรงจากลาบริกซ์”
พูดไปแล้วเรื่องนี้ก็ด้วย ฉันจำได้ว่าได้ยินว่ามิร่าซังเองก็ถูกฝึกแบบนั้นเหมือนกันตอนที่เธอถูกพามาที่คฤหาสน์ครั้งแรก ถ้าพวกเธอไม่ได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากลาบริกซ์ซัง บางทีอาจจะมีความโกลาหลมากกว่านี้สินะ ถึงมาเรียนาจะอยู่ใกล้ชายแดนกับจักรวรรดิ เป็นกองอัศวินดั้งเดิมของมิร่าซัง ที่ถึงขั้นบางทีอาจได้รับการแบ่งบันข้อมูลการปฏิวัติมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถขจัดผลกระทบที่จะได้รับออกไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ให้สมาชิกแต่ละคนรีบดำเนินการมาตรการตอบโต้ให้เร็วที่สุด! ยังไงก็ตาม เว้นแต่จะเลี่ยงไม่ได้ ห้ามทำให้เกิดการนองเลือดเด็ดขาด!”
“รับทราบ!”
หญิงร่างสูงที่ดูเหมือนแม่ทัพกำลังออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังอยู่ใกล้กับทางเข้าออกของกองทหารรักษาการณ์ที่มีผู้คนวิ่งไปมาจนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาถึงที่นี่ มีทั้งอัศวินที่ตรวจสอบอุปกรณ์ อัศวินที่มุ่งหน้าไปที่คอกม้า ทุกคนเคลื่อนไหวด้วยใบหน้าดุดัน ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นพวกเราทางนี้ และเมื่อเธอออกคำสั่งอีกครั้ง เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที นอกจากนี้ อัศวินที่หน้าตาคุ้นเคยสองคนก็รีบเร่งติดตามมาจากด้านหลัง
“ทางนี้แฟร์มีลซามะ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้คะ……. !?”
หลังจากที่สังเกตเห็นการมีตัวตนอยู่ของฉัน ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสิ้นหลังจากการที่เธอเรียกชื่อตระกูลแทนชื่อของคุณพ่อ เพราะการเรียกเช่นนั้นไม่มีทางรู้เลยว่าต้องการที่เรียกไปทางไหน จะเป็นทางคุณพ่อ หรือจะเป็นทางฉัน แน่นอนว่าเป็นการเรียกคุณพ่อ แต่ยังไงก็ตามอาจเป็นการกระทำที่หยาบคายในแง่มารยาททางสังคม นั่นเป็นเหตุผลที่เธอมีปฎิกิริยาเช่นนั้น แน่นอนว่าฉันกับคุณพ่อไม่ได้ขุ่นเคืองกับเรื่องนั้น……อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษกับคุณตา เพราะโดยพื้นฐานแล้วเรื่องที่คุณตาเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองนั้นถูกเก็บเป็นความลับไว้แต่แรก บางทีคงไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาของเจ้าหญิงอย่างลูน่าด้วยซ้ำ เธอไม่มีทางรู้ได้เลย
คุณตากับคุณพ่อมองหน้าและตกลงกัน ก่อนที่คุณพ่อจะเดินนำหน้า กับสถานการณ์ในปัจจุบัน คุณดพ่อน่าจะเป็นคนที่ดำเนินการได้ราบรื่นที่สุดแล้วในหมู่พวกเรา
“อ้า ข้าขอโทษด้วยที่มาตอนกำลังยุ่งกันอยู่ ……..รู้เรื่อง「นั้น」บ้างแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ พวกเราได้ฟังทุกอย่างจากสองคนนี้แล้วค่ะ”
เธอมองมาที่อายาเมะครู่หนึ่งราวกับว่ากำลังกังวลจริง ๆ ก่อนหันกลับไปมองคนสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอ แล้วขยับคางกระตุ้นให้ทักทาย สายตาของทั้งสองคนเหลือบมองที่ฉันก่อนไปที่เบลล์ซังกับมิร่าซัง ซึ่งเบลล์ซังกับมิร่าซังพยักหน้าให้เล็กน้อย ว่าแล้ว ทั้งสองคนคือคนทั้รับผิดชอบการคุ้มกันตอนที่กลับจากเมืองหลวงแล้วก็ตอนที่ไปที่แมเรียนฟาร์ม ดูเหมือนทั้งสองคนจะจำพวกเราได้เป็นอย่างดี ม๊า เป็นฉันก็คงยังไม่ลืมกันง่าย ๆ หรอก
“ยะ ยินดีที่ได้พบค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลย…..นะคะ?”
“เดี๋ยวเถอะ ไม่เห็นต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยนะยะ”
“ยัยพวกบ้า ไร้มารยาทกันเกินไปแล้ว!”
“ฮี่!?”
“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงค่ะ!”
ทั้งสองคนถูกสายฟ้าฟาดลงจนย่อตัวโค้งคำนับลงในเวลาเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นเวลาเช่นนี้ แต่ฉันก็มองเห็นมิตรภาพระหว่างคนทั้งสองได้จากท่าทาง ดูกลมเกลียวอย่างน่าประหลาด แม้ดูเป็นความสัมพันธ์ที่ขรุขระแต่ก็เข้ากันอย่างลงตัว ฉันรู้สึกว่าคล้ายกับความสัมพันธ์ของมิร่าซังกับคาลเมียร์ซังอยู่ตรงไหนสักแห่ง ฉันแน่ใจว่าพวกเธอสนิทกันมาก
“…….ขออภัยด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นยังไง”
“ฮ๊า เนื่องจากมีการจัดระเบียบใหม่ระหว่างแผนจึงทำให้สมาชิกของชิรายูริอยู่ที่นี่เกือบทุกคน ยกเว้นกำลังพลบางส่วน และขณะนี้ทางเรากำลังเตรียมส่งหน่วยตอบโต้เร็วไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ค่ะ”
“เข้าใจล่ะ”
บางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ อาจจะเป็นอัศวินที่ยังคงทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นการที่เกือบทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ พูดไปแล้วก็ต้องบอกว่าเกิดจากลักษณะเฉพาะของมาเรียน่าเอง แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นอาณาเขตของราชอาณาจักร แต่ก็เป็นเขตที่ถูกลงนามให้เป็นพื้นที่เป็นกลาง จากลักษณะเช่นนี้จึงทำให้กองทหารรักษาการณ์ของกองอัศวินชิรายูกิไม่สามารถมีหน่วยขนาดใหญ่มากได้ และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงตั้งอยู่ห่างจากมาเรียนาเพียงเล็กน้อย อันที่จริงก่อนหน้านี้ในตอนที่ผู้คนมายืนส่งพวกเราออกจากคฤหาสน์ ในตอนนั้นเหมือนจะไม่มีอัศวินอยู่เลย แม้ว่าจะมีฝูงชนจากภายนอกวิ่งกรูกันเข้าไปที่คฤหาสน์ของขุนนาง อันที่จริงก็อาจจะมีอัศวินบางคนอยู่ที่นั่น แต่เพราะมีคนเป็นจำนวนจึงทำให้ฉันไม่สังเกตเห็น หรือฉันอาจจะไม่รู้เอง รวมทั้งอาจเป็นเพราะประชาชนในเขตแดนทั้งหมดชื่นชอบพวกเรา และไม่มีสัญญาณของการก่อการจราจลด้วย
ยังไงก็ตาม ฉันรู้สึกขอบคุณสมาชิกเกือบทุกคนของกองอัศวินที่สามารถทำตามคำสั่งที่กระจายมาได้อย่างทันทีและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะการมีเบื้องหลังเช่นนี้จึงทำให้ทั้งสองคนที่ยังหดตัวอยู่สามารถมีเวลาเหลือพอที่จะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาได้ ……แต่เรื่องนั้นคงต้องปล่อยไว้ก่อน ก็ยังดีกว่าการกระทำทื่อ ๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจ
ยัไงก็ตามคุณพ่อเองก็สมกับที่มักถูกเรียกว่าวีรบุรุษอยู่เสมอ ๆ ทั้งที่พึ่งจะได้ยินแผนการเกี่ยวกับการปฏิวัติไปเมื่อวานนี้เอง แต่ก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจนถึงระดับที่สามารถเอ่ยถามสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างใจเย็น คุณตาเองก็ดูเหมือนจะจ้องมองไปที่แผ่นหลังของคุณพ่อด้วยสายตาภาคภูมิใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดจริง ๆ จากมุมมองของคุณตา คุณพ่อก็ไม่ต่างจากลูกชายจริง ๆ
“เช่นนั้น ไม่ทราบว่ามีธุระใดกับที่นี่หรือคะ”
“อ้า เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ข้าจึงต้องการพลังของพวกเจ้า”
“….เข้าใจแล้วค่ะ สำหรับตอนนี้ ทางเราสามารถให้ยืมม้าได้ในจำนวนหนึ่ง แต่กับกำลังพลแล้ว….ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ”
ม๊า ก็สมควรที่จะเป็นแบบนั้น กองอัศวินชิรายูกิเป็นกลุ่มอัศวินพิเศษที่ประกอบด้วยผู้หญิงเท่านั้น แต่แรกแล้วจำนวนอัศวินหญิงมีอยู่เพียงน้อยนิด แม้แต่ในช่วงสถานการณ์ปกติก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการจัดสรรทรัพยากรบุคคลที่เหมาะสำหรับการคุ้มกันเพิ่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตอนที่พวกเธอกำลังยุ่งอยู่กับการตอบสนองต่อการจลาจลและขาดแคลนบุคลากรแบบนี้
จริงอยู่ว่าจากมุมมองของความสำเร็จของการปฏิวัติ การคุ้มกันพวกเราควรจะงานสำคัญลำแรก ยังไงก็ตามหากไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ในบริเวณโดยรอบนี้ได้ ก็ไม่ต่างจากการวาง เกวียนไว้หน้าม้า จากมุมมองของผู้ที่ไม่ทราบสถานการณ์การทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างไปจากการให้ความสำคัญกับตระกูลสูงศักดิ์เหนือประชาชนส่วนใหญ่ หากข้อมูลดังกล่าวแพร่กระจายออกไปก็ไม่ต่างจากการเชิญชวยให้ผู้ที่อยู่วงนอกเข้าร่วมการจลาจล ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเราต้องการหลีกเลี่ยงการโดดเด่นจนกว่าจะถึงเมืองหลวง
จากมุมมองที่ซับซ้อนเช่นนี้ จึงเป็นอย่างที่เธอพูด เป็นการยากที่จะจัดคนคุ้มกันให้เรา หรือมากกว่านั้นคือ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แน่นอนว่าคุณพ่อเข้าใจดีเช่นกัน จึงแค่พยักหน้าตอบกลับไป
“ถ้าแบบนั้น ข้าขอยืมแค่ม้าก็พอ”
“ฮะ ――――ดีล่ะ ไปนำม้าศึกที่แข็งแกร่งและรวดเร็วที่สุดสี่ตัวมาให้โดยเร็วที่สุด”
“ฮ๊า!”
“ค่ะ!”
เธอหันไปหาทั้งสองคนและออกคำสั่งด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจเล็กน้อย ทั้งสองคนวิ่งไปที่คอกม้าราวกับว่าเป็นโอกาสที่หายาก ในจังหวะหนึ่งฉันกลัวเหลือเกินว่าเธอจะพูดออกมาว่าห้าตัว แต่แน่นอนดูเหมือนเธอจะเอาใจใส่ ……ไม่สิ ไม่ได้มีการเอาใจใส่อะไรหรอก เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าร่างกายของฉันยังไม่โตพอที่จะขี่ม้าคนได้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าอายาเมะไม่ต้องการม้า จากที่เคยถามจากแฮงค์ล็อตเต้ซัง ดูเหมือนว่าหมาป่าสีทองจะแข็งแกร่งกว่าหมาป่าทั่วไปในทุก ๆ ด้าน ทั้งยังวิ่งได้เร็วและนานกว่าม้าป่าข้างนอกนั่น เมื่อเป็นเช่นนั้น อายาเมะควรจะสามารถเดินทางได้โดยไม่มีปัญหา
“จะม๊ายเป็นร๊ายสินะ”
“โฮ่ง!”
ฉันรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินคำตอบที่มีพลังของอายาเมะ …..หากตีความถ้อยคำในคำสั่งก่อนหน้า ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเตรียมม้าที่สามาระวิ่งระยะไกลได้มาให้ แน่นอนว่าแม้แต่ม้าแค่สามตัวก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เจ็บปวด การเตรียมม้าที่เยี่ยมที่สุดให้……..ฉันสงสัยว่าเป็นคำขอโทษที่ไม่สามารถจัดกองกำลังคุ้มกันให้ได้หรือเปล่า ก็คิดว่าเป็นคำขอโทษน่าจะดีกว่า
“ที่จริง ข้าก็อยากจะเตรียมรถม้าให้ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ส่งออกไปจนหมดแล้วค่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอ ข้ารู้สึกขอบคุณแล้ว …..ขอบคุณมาก”
“ไม่ค่ะ เรื่องนี้….ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
เมื่อเห็นเธอโค้งคำนับด้วยอารมณ์ตื้อตันใจ ฉันก็รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของชื่อคุณพ่ออีกครั้ง
ฉันหมกมุ่นอยู่กับการไปที่เมืองหลวงมากจนลืมไปเลยว่า จากที่นี่ไปสู่เมืองหลวงต่อให้เร่งม้าแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน เป็นระยะทางที่ปกติจะใช้เวลาถึงสามวัน อีกนัยหนึ่งหมายถึงการไปค้างคืนที่ไหนสักแห่ง ขึ้นอยู่กับเส้นทางและสถานการณ์ในแต่ละสถานที่ แต่ก็คงจะเป็นการค้างคืนกลางแจ้ง และแม้จะเตรียมการขั้นต่ำสุดจริง ๆ เพื่อการนั้นก็ยังจำเป็นต้องมีสัมภาระจำนวนหนึ่ง อาหาร เครื่องนอน ไฟส่องสว่าง…….ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือ การไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องถิ่น แต่ก็ไม่ควรใช้กำลังกายและพลังมากเกินไปจนกว่าจะถึงเมืองหลวง
ใช่ ฉันลืมไปเลย ลืมไปจนหมด สิ่งที่จำได้จนถึงตอนนี้ก็มีแค่ หลังจากที่คุณตารีบเร่งเข้ามาในห้อง ได้ยินรายละเอียดที่ห้องโถง และก็มาจนถึงที่นี่ด้วยเสื้อผ้าที่สวมอยู่ทั้ง ๆ แบบนั้น ฉันไม่มีความจำเรื่องการเตรียมสัมภาระใด ๆ เลย แน่นอนว่ายังมีวิธีให้อัศวินช่วยจัดหามาให้ แต่……อ้า แย่จริง ๆ ทั้งที่ฉันเคยบอกตัวเองแล้วอย่าได้ตื่นตระหนกให้มากเกินไป
ไม่สิ รอเดี๋ยว ใช่แล้ว ฉันไม่สามารถยืนยันได้เพราะเอาแต่ซ่อนอยู่หลังคุณตา แต่พอคิดดูแล้ว ก็เหมือนมีอะไรกองซ้อนอยู่ที่ก้น หรือว่าไม่มี…….
“ได้โปรดสงบใจไว้นะคะ อริซซามะ”
“…….เอ๊ะ”
ในขณะที่รู้สึกยอมแพ้ไปแล้วครึ่งทาง แต่ทว่าในตอนที่ฉันพยายามมองสอดส่องไปที่ด้านของคุณตาด้วยความหวังสุดท้าย มือของเบลล์ซังก็หยุดฉันไว้ การขยับตัวแบบนั้น อันตรายนะคะ และรับคู่หูที่กำลังจะตกจากเข่าเพราะท่าทางของฉันคืนมา แต่――――ไม่ผิดแน่ ตอนนี้เบลล์ซังบอกว่าให้สงบใจไว้ บางทีอาจจะ……..
“พวกเราเตรียมอาหารและตะเกียงไว้อย่างเพียงพอแล้วค่ะ และผ้าปูนอนหลายผืนที่สามารถนำไปได้”
“เบลล์…….”
เตรียมเอาไว้เมื่อไหร่กัน ที่จริงแล้ว เบลล์ซังต่างหากที่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนเหมือนจะร้องไห้จากใจ มิร่าซังกับคุณตาแสดงสีหน้ายอมรับ เมื่อตระหนักถึงความตั้งใจของฉันช้าไปหนึ่งก้าว แปะๆๆ คุณตาเคาะหลังม้าก่อนพูด
“แม้แต่ตาเองก็ยังแปลกใจ เพราะตอนที่อุ้มอริซขึ้นม้า พวกเธอก็เริ่มขนสัมภาระขึ้นหลังม้าทันที ตอนนั้นตาเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเป็นอะไรน้อ ฮาๆๆๆๆ”
“ดิฉันคิดเพียงแค่ว่าอย่างน้อยก็จะทำการส่งผู้ส่งสารสองถึงสามคน….ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีประโยชน์ในลักษณะนี้ค่ะ”
ฉันเอียงหัวให้กับบทสนทนาของทั้งสองคน ฉันเข้าใจแล้วว่าสัมภาระถูกขนขึ้นในจังหวะที่ฉันพยายามขึ้นขี่ม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ผู้ส่งสารคือ…..อ้า ไม่สิ เข้าใจแล้ว นั่นสินะ เบลล์ซังเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองมาเรียนา・ไอริส และการที่คุณตามาคุยกับฉันโดยตรงจะต้องเป็นข้อมูลที่สำคัญอย่างแน่นอน บางทีเบลล์ซัง ทันทีหลังจากฟังเรื่องราว เธอก็เตรียมของด้วยความตั้งใจที่จะขอให้เมดของคฤหาสน์ซึ่งเป็นลูกน้องของเธอด้วยเช่นกันให้ทำหน้าที่ส่งคำแนะนำให้ทำตามไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้ให้ความร่วมมือโดยรอบ ฉันเดาว่าที่เธอพูดคงมีความหมายแบบนั้น พอมาคิดดูแล้ว ตอนที่พวกเราเตรียมรวมตัวที่ห้องโถงเพื่อที่จะฟังข้อมูลก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอแยกตัวออกไปชั่วครู่ คงไปเตรียมของในตอนนั้นแน่นอน การป้องกันไว้ก่อนกลับกลายเป็นโชคลาภ
“นำมาแล้วค่ะ!”
และในขณะที่ฉันกำลังชื่นชมเบลล์ซัง ทั้งสองคนก็กลับมาพร้อมกับม้า ม้าทั้งสี่ตัวที่ถูกจูงบังเหียนเข้ามาใกล้อย่างเชื่อฟัง ดูแล้วก็รู้เลยว่ามีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงมาก ม้าที่ฉันขี่อยู่ในตอนนี้ก็น่าประทับใจเช่นกัน แต่ฉันคิดว่าม้าทั้งสี่ตัวใหญ่กว่าประมาณหนึ่งเท่าตัว ม้าทั้งสี่ที่มาพร้อมกับบังเหียน มีของที่น่าจะเป็นอาหารและน้ำสำหรับม้าวางอยู่บนหลังของม้าสองตัวที่มีสีน้ำตาล
ระหว่างรอการกลับมาเธอก็หันไปออกคำสั่งกับอัศวินโดยรอบเพิ่มเติม และเมื่อตรวจสอบบางสิ่งกับอัศวินทั้งสองคนที่กลับมาถึง เธอก็หันกลับมาหาคุณพ่อ
“ทางเราได้เตรียมอาหารและน้ำที่พอประมาณสองวัน ด้วยความเร็วของเด็กพวกนี้ ข้าคิดว่าสามารถไปถึงเมืองหลวงได้ภายในวันครึ่งค่ะ”
“เข้าใจล่ะ ช่วยได้มากทีเดียว”
“เช่นนั้น…..ได้โปรดระวังตัวด้วยนะคะ”
“อ้า ―――― ด้วยเกียรติภูมิแห่งราชอาณาจักร”
“ด้วยเกียรติภูมิแห่งราชอาณาจักร!”
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังก็ทำความเคารพตามเธอทันทีเช่นกัน และเมื่อคุณพ่อรับการเคารพคืนเสร็จก็รับบังเหียนม้าทั้งสี่มาทันที
เอาล่ะ จะยกขึ้นแล้วน้อ แล้วคุณตาก็อุ้มฉันขึ้นย้ายไปที่หน้าอกของเบลล์ซัง ซึ่งมายืนอยู่ข้าง ๆ และกำลังกางแขนออก และคู่หูถูกทิ้งเอาไว้ คู่หูเลื่อนตกไปด้านข้างกระแทกเท้าของฉัน อายาเมะรีบเข้ามาหยิบให้ด้วยปากแล้วยื่นให้ฉัน
“ขอบกุณน๊า”
“โฮ่ง”
ฉันถือคู่หูที่ได้รับจากอายาเมะด้วยมือข้างเดียวไว้แน่น เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้ว คุณตาก็ลงจากหลังม้า และถอดเฉพาะสัมภาระที่อยู่ข้างหลังก่อนแบกเอาไว้ และพูดขอฝากม้าไว้กับอัศวินทั้งสองที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ
“อริซ จะขี่กับเบลล์เลยไหม?”
“อืม”
“เข้าใจล่ะ ….ท่านพ่อตา ข้าจะดูแลสัมภาระนั่นเองครับ”
“รบกวนด้วยน้อ”
เมื่อคุณพ่อได้รับสัมภาระมาจากคุณตาก็นำไปวางไว้บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่ง ก่อนยื่นบังเหียนของม้าสีน้ำตาลสองตัวที่แบกอาหารและน้ำให้กับคุณตากับมิร่าซังตามลำดับ ดูเหมือนว่าเบลล์ซังกับฉันจะได้ขี่ม้าสีขาวที่เหลืออยู่
“กรรรรรรร”
“….อายาเมะ?”
“โฮ่ง!”
“เมะ!”
…….เห็นได้ชัดว่า อายาเมะไม่ชอบใจที่จะให้ฉันขี่ม้าสีขาวตัวนั้น เหมือนว่ากำลังอิจฉาล่ะมั้ง
เมื่อฉันหันไปจ้องตาและตักเตือน เธอก็ครางเสียงต่ำ และเหมือนจะยอมเข้าใจในครั้งนี้ เธอหยุดครางและหันปลายจมูกหนี เหมือนจะงอนหน่อย ๆ
“ขอโทษน้า”
“…..โฮ่ง”
ฉันเดาว่าคงต้องพูดอะไรที่เจาะจงกว่านี้ แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เพราะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก ขณะที่ฉันกำลังยุ่งอยู่กับเธอ เบลล์ซังก็เดินเข้าไปหาม้าสีขาวและรับสายบังเหียนมาจากคุณพ่อ
“อริซซามะ”
“อืม”
ม้าสีขาวปล่อยตัวให้ถูกกอดอย่างเชื่อฟัง…….คือเธอสินะ คือเธอสินะ ไม่รู้ว่าทางไหน แต่ยังไงก็ตามฉันกำลังจะได้ขึ้นไปบนหลังของบางสิ่งทที่งทั้งฉลาดและแข็งแกร่ง เธอเหมือนจะหยุดก้าวขาระหว่างทาง แต่ที่จริงเป็นการก้าวทีละนิดจนดูเหมือนแทบจะไม่เคลื่อนไหว เธอต้องได้รับการฝีกฝนมาเป็นอย่างดีแน่นอน
เมื่อเบลล์ซังรับรู้ว่าฉันขึ้นนั่งคร่อมอย่างเหมาะสมแล้ว เธอก็วางเท้าลงบนโกลนแล้วกระชับเข้ามาจนชนกับแผ่นหลังของฉัน ฉันขยับก้นไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เบลล์ซังสามารถนั่งคล่อมลงกลางอานได้อย่างมั่นคง ขอบคุณมากนะกะ และจัดท่วงท่า ฉันมอบความไว้วางใจให้กับเบลล์ซังอีกครั้ง
“อริซซามะ กรุณาจับเอาไว้แน่น ๆ นะคะ?”
“ก่ะ”
หลังจากยืนยันว่าเบลล์ซังกับฉันพร้อมแล้ว คุณพ่อก็ค่อย ๆ ขี่ม้าหันไปทางเมืองหลวง โดยที่มีพวกเราตามหลัง
ฉันเอนตัวลงเพื่อให้เบลล์ซังที่โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยสามารถใช้แขนทั้งสองข้างจับบังเหียนและหนีบร่างของฉันเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา
“――――เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
“ไปกันเลย~!”
“ว้าววววว!”
ไม่นานเสียงกีบเท้าที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็เริ่มประสานรวมเป็นจังหวะหนึ่งเดียว
สีเงินและสีดำปลิวไสวตามลม คละเคล้าประสมประสาน