[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 88 ตอนที่ 8 ความรักยามหิมะโปรย
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 88 ตอนที่ 8 ความรักยามหิมะโปรย
ตอนที่ 8 ความรักยามหิมะโปรย
“อริซซามะ”
“อือ”
“…..จะเข้าไปแล้วนะคะ”
เสียงตอบกลับที่ฟังอ่อนแอจากอีกด้านของประตูทำให้ฉันรู้สึกเจ็บในอก วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ไปเยี่ยมแมเรียนฟาร์ม อริซซามะก็อยู่ในสภาพนี้มาตลอด
ในตอนที่เล่นกับอายาเมะก็ยังดูค่อนข้างกระฉับกระเฉงดี ยังไงก็ตามในตอนนี้ก็ยังดูดีกว่าตอนที่ฝืนทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไร
…..เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว คำว่าปฏิวัตินั้นหนักเกินไปสำหรับร่างเล็ก ๆ ที่อายุเพียงหกขวบ ทั้งดิฉัน ลาบริกซ์ซามะ หรือแม้แต่แม็กพ็อดซามะ ต่างก็รู้สึกถึงความวิตกกังวลและความรับผิดชอบที่กดทับลงมาอย่างหนักอึ้ง
สำหรับอริซซามะที่ในเวลาปกติก็อ่อนไหวจนถูกทำร้ายจิตใจได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แล้วยิ่งบาดแผลทางจิตใจที่ได้รับจากเรื่องในตลาดยังไม่ได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์ด้วย จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใดกัน
ถึงแม้จะต้องถูกดาบแทงซ้ำเข้าใส่บาดแผลที่กำลังจะหายดีจนเปิดออก ต้องกรีดร้องจากความเจ็บปวดเจียนตาย แต่อริซซามะก็จะไม่หยุดก้าวเดิน เพราะอริซซามะคืออริซซามะเพียงหนึ่งเดียว
จะเป็นเช่นไร หากดิฉันต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกันในวัยหกขวบ จะสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่สูญเสียรอยยิ้มและความอ่อนโยนได้หรือไม่
“อริซซามะ…….”
“เบลล์?”
“ไม่….. ไม่มีอะไรค่ะ อาหารกลางวันจะให้จัดการแบบไหนดีคะ จะไปทานที่ห้องโถง หรือจะทานที่ห้องดีคะ?”
“อืม”
และหลังจากนั้นที่ดิฉันพยักหน้าก็มีคำพูดสั้น ๆ ตามมาว่า ที่ห้อง ด้วยเสียงที่แสนเบา น้ำเสียงโทนต่ำที่ตอบกลับมาราวกับกำลังแค่คิดว่าไม่อยากทานกับทุกคน
แน่นอนว่าทั้งดิฉัน และฮัททีเรียซามะต่างก็ไม่ได้คิดมากเรื่องอริซซามะจะเอาแต่ทานอาหารอยู่แต่ในห้องหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมจากอริซซามะอยู่ดี
โดยเฉพาะในตอนนี้ ที่แสดงออกว่าต้องการทานอาหารในห้องด้วยท่าทางไร้พลัง ราวกับบอกว่าไม่ต้องการเผลอแสดงความรู้สึกภายในใจออกมาให้ใครเห็น และแน่นอนทำให้ดิฉันกังวล
ยังไงก็ตามก็อาจจะเป็นการเพิ่มภาระทางจิตใจให้หากพยายามบังคับให้ออกไปทานที่ห้องโถง ถ้าหากว่าเป็นแค่วันธรรมดาที่ไม่มีเหตุอะไร ดิฉันก็คิดว่าจะใช้กำลังบังคับพร้อมแรงเชียร์สักหน่อย แต่ทว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย ดิฉันไม่สามารถพูดหรือทำเช่นนั้นได้ในสภาพที่ร่างเล็ก ๆ นี่เหมือนแบกรับภาระไว้จนเกินขีดจำกัดแล้ว
ถึงอย่างงั้นอริซซามะก็มีความ”เหมือนปกติ”อยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าดิฉันลูบหัว เธอก็จะทำหน้ามีความสุขในขณะที่เขินอายเล็กน้อย และเมื่อคุยด้วยจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ยังไงก็ตามอริซซามะในตอนนี้ราวกับว่าความรู้สึกของความสุขและความสบายใจได้หายไป
ไม่ว่าในยามที่หวีผม หรือ พูดคุยด้วย ก็รู้สึกเหมือนกำลังเหม่อมองไปยังที่ไกลแสนไกล ….ใช่ เหมือนกับเมื่อสองปีก่อน ที่เป็นเหมือนตุ๊กตาที่สวมหน้ากากละครโนห์ ก่อนที่ประกายแสงในตาจะค่อย ๆ ฟื้นกลับมาหลังได้พบกับฮัททีเรียซามะ แววตาเป็นดั่งโคลนไร้แสง หน้ากากมืดมนที่อ่านอารมณ์ไม่ได้ สำหรับดิฉันแล้วดูเหมือนจะย้อนกลับไปในเวลานั้น
ความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของการเป็นผู้นำการปฏิวัติ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการกระทำอื่น ๆ ที่อริซซามะจะทำ และเหนือสิ่งอื่นใดอริซซามะในตอนนี้ได้มอบความรักให้กับพวกเราอย่างเต็มที่ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอหวาดกลัว ที่พวกเราจะเจ็บมากกว่าก่อนหน้านี้
เป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านใจของอริซซามะทั้งหมด แต่ดิฉันก็พอจะมั่นใจเช่นนั้น
หลังได้พูดคุยกับผู้คนมากมายรวมทั้งพวกเรา ได้สัมผัสถึงความนึกคิด สัมผัสถึงความรัก หรือแม้แต่ความเกลียดชังและความเป็นศัตรู สัมผัสถึงกระบวนการและผลลัพธ์ที่แปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาดี อริซซามะได้รับประสบการณ์มากมายในระยะเวลาอันสั้น ๆ เพียงแค่สองปี ได้ขยายมุมมองกว้างขึ้นอย่างมาก ไม่เพียงแค่กับผู้คน แต่ยังรวมถึงในด้านวิชาการและสังคมด้วย และทีละเล็กทีละน้อย บุคลิกก็ได้เปลี่ยนไปเป็นเปิดเผยมากขึ้นและมากขึ้น
……แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย อริซซามะก็ยังคงเป็นอริซซามะ แม้ว่าพฤติกรรมและสิ่งที่เห็นจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่นั้นมา
นั่นคือ “ความรักอันลึกซึ้ง” หรือก็คือ การคิดถึง แบ่งปันความรู้สึก และพยายามช่วยคนอื่นมากจนเกินควร เป็นความรักอันลึกซึ้งเช่นนั้น ความรักของอริซซามะลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ในโลก มากกว่าสิ่งที่ดิฉันมอบให้อริซซามะ และมากกว่าที่ฮัททีเรียซามะมอบให้อลิเซียซามะและอริซซามะ
ดิฉันคิดมานานแล้วว่าวิถีอันลึกล้ำของอริซซามะในช่วงไม่กี่ปีนี้มาจากที่ไหนกัน และเมื่อไม่นานนี้เอง ดิฉันก็ตระหนักได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้ว ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับดิฉัน อริซซามะก็พยายามจะช่วยดิฉันด้วยการสละตนเอง
―――― ทั้งที่ดิฉันคิดว่าตัวเองก็กำลังพยายามช่วยอริซซามะด้วยการสละตนเองอยู่เช่นกัน แต่
อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเราทั้งสองกัน
……ที่จริงไม่จำเป็นต้องคิดให้มากเลย ที่มานั้นคือ”ความรัก”ยังไงล่ะ การเสียสละตนเองโดยที่คิดถึงใครสักคน เพื่อใครสักคนนั้นให้ความกล้าหาญอย่างมาก ในกรณีของอริซซามะ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาสั่งแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าดิฉันรักและคิดถึงอริซซามะมากที่สุด อริซซามะก็รักและคิดถึงดิฉันมากเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่แค่สำหรับดิฉัน ไม่ใช่แค่สำหรับคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
ไม่สิ อันที่จริงในสายตาของอริซซามะก็อาจมีลำดับความแตกต่างในความรักอยู่เช่นกัน แต่ยังไงก็ตาม เรื่องนั้นไม่ค่อยมีผลกระทบต่อการกระทำที่แสดงออกมาชัดเจนนัก
กล่าวอีกนัยก็คือ ไม่ว่าจะมีความรักมอบให้กับใครสักคนเล็กน้อยมากแค่ไหน ก็จะพยายามช่วยเหลือคน ๆ นั้นโดยไม่สนว่าจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน
นั่นคือแก่นแท้ของอริซซามะที่ดิฉันมองเห็น
พวกเราต่างก็”เข้าใจผิด” อริซซามะไม่ได้คิดว่าตนเองไร้ค่าใด ๆ เพียงแต่มีความรักที่ตั้งอยู่เหนือความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นเอง
จึงไม่ลังเลที่จะอุทิศตนเองและพยายามช่วยเหลือใครสักคน ไม่ว่าในยามวิกฤตหรือไม่ก็ตาม ทุกการกระทำของอริซซามะเป็นการเสียสละที่มาจากความรัก
“เบลล์…..?”
“……ขอโทษด้วยค่ะ ได้โปรดให้ดิฉันได้กอดอริซซามะทั้งแบบนี้ได้ไหมคะ”
“…….อืม”
สภาวะในตอนนี้ของอริซซามะคือเครื่องหมาย ไม่ต้องการแสดงให้เห็นความแตกสลายของตนเอง เพราะรู้ว่ามีคนที่รักตนเอง และเพราะรักทุกคน ไม่ต้องการที่จะแสดงให้เห็นความเสียใจ ความเจ็บปวด และความทุกข์ของตนเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจถูกล่ามโซ่ไว้โดยไม่รู้ตัว และพยายามที่จะไม่แสดงออกมา
….อาจจะยังไม่รู้สึกตัวในเรื่องนี้ ตุ๊กตาอะไรกัน อริซซามะมีความเป็น”มนุษย์”มากกว่าใคร ๆ
“อริซ ซามะ”
“หืม”
อ้า ทำไมกันนะ….ทำไมถึงเป็นคนเช่นนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละตนเองด้วยกัน ดิฉันปรารถนาให้ท่านได้มีความสุขและเป็นที่รักมากกว่าใคร ๆ ไม่สิ เพราะแบบนั้น นั่นคือเหตุผลใช่ไหม
เทพนิยายของสตรีศักดิ์สิทธิ์จะเป็นไปไม่ได้หากขาดซึ่งสตรีศักดิ์สิทธิ์
โลกใบนี้กำลังมองหาแสงสว่างของอริซซามะ
“เน๊ เบลล์”
“คะ อริซซามะ”
“อะโนะเน๊ะ …..อยากคุย กับท่านพ่อ”
“….เช่นนั้น หรือคะ”
อริซซามะค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมาทีละนิดทีละน้อยในอ้อมอกของดิฉัน กอดแน่นราวกับต้องการพึ่งพา ราวกับหาหลักยึดเหนี่ยว
……ดิฉันเข้าใจดี อริซซามะต้องการพยายามคุยด้วยตนเอง ทั้งที่สามารถปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันหรือมิแรนด้าซังก็ได้ แต่ก็พยายามที่จะพูดด้วยตนเอง นาฬิกาไม่หมุนย้อนกลับ เช่นนั้นแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินต่อไปมุ่งสู่”ความสุข”ในอนาคต เช่นเดียวกับอริซซามะที่ยังคงก้าวไปข้างหน้าเสมอ
“อยากคุย สองต่อสอง …….แต่”
“อริซซามะ ……..ฮัททีเรียซามะกับอริซซามะเป็นพ่อลูก เป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องฝืนเก็บเอาไว้คนเดียวหรอกนะคะ เป็นคำสอนที่ดิฉันได้รับมาจากอลิเซียซามะค่ะ”
กิ๊ว มือเล็ก ๆ ที่กอดดิฉันกำลังสั่น ถึงจะดูอ่อนแอ แต่นั่นก็คือความแข็งแกร่งของอริซซามะ ที่อริซซามะตัวสั่น เพราะกลัวว่าผลลัพท์ของการพูดคุยจะทำร้ายฮัททีเรียซามะเหนือสิ่งอื่นใด
“…..อืม ปล่อยให้ หนูอยู่คนดียว หน่อยได้ไหมกะ?”
“….ค่ะ อริซซามะ”
เช่นนั้นแล้วดิฉันจะทำในสิ่งที่ดิฉันทำได้ ใช่แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าอริซซามะต้องการคุยกับฮัททีเรียซามะต่อจากนี้ ก็คงตัดสินใจที่จะพูดกับคาลเมียร์ เหล่าเมดทุกคนในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากเป็นโอกาศที่แยกจากกัน อริซซามะจะต้องประสบความทุกข์แบบเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเช่นนั้น ขอถือโอกาศนี้ร่วมทุกคนมาเลยเสียจะดีกว่า อาจจะเป็นกระทำที่ขัดต่อเจตนาของอริซซามะ แต่ดิฉันไม่ใช่คนที่สูงส่งที่จะรักทุกคนได้เช่นเดียวกับอริซซามะ แน่นอนว่าดิฉันมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยพวกคาลเมียร์ แต่อันดับหนึ่งที่ดิฉันทุ่มเทให้คือ อริซซามะอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนเหนืออื่นใดพวกคาลเมียร์ทุกคนก็มีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอริซซามะเช่นกัน และไม่ต้องการที่จะให้อริซซามะต้องทนทุกข์ เช่นเดียวกับที่อริซซามะแสดงให้เห็น พวกเราก็จะสนับสนุนอริซซามะด้วยความรักทั้งหมดที่พวกเรามี
“เช่นนั้น ดิฉันจะกลับไปในอีกสักครู่นะคะ”
“อืม ขอบกุณ เบลล์”
“ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ”
ดิฉันหวีลูบไล้เส้นด้ายสีเงินเรียบลื่นเหมือนอย่างเคย ดิฉันหวังว่าวันที่รอยยิ้มเบ่งบานในสายลมฤดูใบไม้ผลิจะกลับมาเยือนบนแก้มของเธอผู้ที่มีความรักมากกว่าใคร และรอคอยวันที่หัวใจที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นที่กลายเป็นน้ำแข็งจะละลายลงอีกครั้ง ดิฉันลดริมฝีปากลงใกล้
“ท่านพ่อ”
เมื่อฉันบอกว่าอยากคุยกับคุณพ่อเพียงลำพัง ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นด้วยการให้กำลังใจจากเบลล์ซัง ในที่สุดการเตรียมใจของฉันก็พร้อมแล้ว ฉันกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของคุณพ่อด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติเล็กน้อย โม๊ว ฉันไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใครในการลงบันไดอีกแล้ว ถึงกระนั้น อาจเป็นแค่ความรู้สึกของฉันที่รู้สึกถึงเบลล์ซังก็ยังคอยเฝ้าดูอยู่จากข้างหลังอย่างกระวนกระวายใจ แต่บางทีความรู้สึกนั้นอาจกำลังช่วยฉันไว้ ฉันสามารถก้าวเท้าทั้งสองลงตามแรงโน้มถ่วงได้อย่างพอดี
ต๊อกแต๊ก ฉันลงจากบันไดและเดินไปตามทางเดิน อาศัยเสียงสะท้อนกังวานจากเสียงรองเท้าที่เข้าหูของฉันอย่างเกินจริงแทนการหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่มายืนอยู่หน้าห้องทำงาน ฉันก็หันกลับไปมองเบลล์ซังที่อยู่ข้าง ๆ อีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันเป็นข้ารับใช้ของอริซซามะ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นข้ารับใช้ของฮัททีเรียซามะเช่นกัน มีหน้าที่ที่จะเข้าใจความประสงค์ของผู้เป็นนายอย่างถ่องแท้………ดังนั้นแล้ว ไม่เป็นไรแน่นอนค่ะ”
“…..อืม”
เบลล์ซังกำลังบอกโดยนัยว่าคุณพ่อเองก็มีเจตนาเช่นนั้นเหมือนกัน ความไม่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันและการปฏิวัติ …ความเต็มใจที่จะปฏิรูประบบ ไม่มีอะไรยืนยันนอกจากที่เบลล์ซังพูด เบลล์ซังสามารถแกะรอยความคิดของฉันได้อย่างแม่นยำจนน่าสงสัยว่าเป็นเอสเปอร์จริง ๆ และเวลาที่ได้รับใช้คุณพ่อก็ยาวนานกว่าเวลาที่อยู่กับฉัน ดังนั้นแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะจิตนการว่าเบลล์ซังจะอ่านความรู้สึกภายในของคุณพ่อผิดไป
เมื่อแก้ตัวด้วยทฤษฎีที่ประกอบด้วยความไว้วางใจเกือบทั้งหมดแล้ว ฉันก็หันกลับไปที่ประตูก่อนเคาะเบา ๆ อ้า หลังได้ยินเสียงตอบรับที่ฟังดูเหนือย ๆ กลับมา ฉันจึงค่อย ๆ ผลักประตูให้เปิดออก
“ถ้าอาหารกลางวันก็วางไว้ตรงนั้น……อริซรึ”
“อืม”
“ฮะๆๆ มีอะไรงั้นเหรอ? ขอโทษทีนะ พ่อยังทำงานไม่เสร็จ ถ้าอยากเล่น――――”
“เปล่า”
“เอาไว้ทีหล……… เกิดอะไรขึ้น?”
บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังไม่เข้าไปในห้องจึงทำให้มองเห็นแต่ใบหน้าผ่านประตู หรืออาจเป็นเพราะเสียงมืดมนที่ปิดไม่มิด คุณพ่อจึงแสดงรอยยิ้มลบล้างความเงียบที่แปลกประหลาด ก่อนวางปากกาลงแล้วลุกขึ้นยืน มือของฉันถูกกุมด้วยความอบอุ่นแห่งรักจากหลังประตู เมื่อฉันกล่าวขอบคุณในใจ ฉันก็ผลักร่างของตัวเองเข้าไปในห้องขณะที่ดึงผมด้านหลังที่กระจัดกระจายตามเข้ามา
ฉันหันตัวกลับไปมองประตูที่กำลังปิดลง และถึงแม้ประตูจะปิดสนิทแล้ว ฉันก็ยังไม่หันไปหาคุณพ่อ ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวออกจากประตู ดังนั้นดูเหมือนว่าเบลล์ซังจะรออยู่หน้าห้องดังเดิม แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ก็รับรู้ได้ว่าอยู่ที่นั่น กำลังเฝ้ามองฉันอยู่ …..ด้วยความกล้าที่ฟื้นกลับคืนมาเล็กน้อย ฉันจึงหันไปทางคุณพ่อที่ยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ
“อริซ?”
“……..อืม”
ฉันก้มหน้ากดสายตาลงไปยังที่เดิมโดยไม่ให้คำตอบแม้แต่คำตอบเดียว และเพราะความเงียบทำให้เสียงไหล่ของฉันที่สั่นอย่างหนักหน่วงดังก้อง ทันทีที่รับรู้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจน ฉันก็รับรู้ได้ถึงสายตาของคุณพ่อที่อยู่เคียงข้างมองมาที่ฉันอย่างลนลาน และทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้น สายตาของพวกเราก็ประสานกัน มีความสับสนและวิตกกังวล รวมถึงความรักอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลง และเหนือสิ่งอืนใดคือ กลัวที่จะทำให้คุณที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องต้องเจ็บปวด
……ถึงอย่างงั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกไป ถ้าอย่างงั้นไม่ต้องมายุ่งกับคุณพ่อสิ ความคิดไร้เดียงสาเช่นนั้นใช้ไม่ได้ การทำเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งความทุกข์ที่ใหญ่หลวงมากเกินไปของทุกคน
เช่นเดียวกับคุณพ่อในวันนั้น ถึงเวลาที่ฉันจะต้องก้าวไปข้างหน้าบ้างแล้ว
“อะโน เน๊ะ”
“……อ้า”
อึก ฉันหายใจติดขัด อย่าพูด อย่าพูด ความกลัวทำให้ตาของฉันเปียกชุ่ม คำที่จะพูดต่อไปพร่าเลือน แต่รอยยิ้มของทุกคนช่วยฉุดรั้งเอาไว้ ฉันเค้นคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แทบจะสะอื้นไห้
“นะ ห……..นู อึก……..หนู ปฏิวัติ……… !”
“――――……. ……….อริซ”
เกิดความอึดอัดขึ้นครู่หนึ่ง ในชั่วพริบตาความรู้สึกโศรกเศร้าและบิดเบี้ยวก็ปรากฎภายในดวงตาของคุณพ่อที่เบิกกว้างด้วยความช็อคและความเข้าใจพร้อมกัน ไม่ต้องการที่จะได้ยิน ขมขื่นจนไม่อยากพูด เมื่อฉันมองตรงไปที่ใบหน้าของคุณพ่อที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปากที่บิดเบี้ยวอย่างขมขื่นแสดงความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน
“….งั้นเหรอ”
“อะ อ……..”
คู๊ว หน้าอกของฉันแน่นจนเจ็บ
ปวดร้าว ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก
ยังไงก็แล้วแต่ฉันจะต้องไม่ร้องไห้ ทำให้คุณพ่อทุกข์ใจ ฉันเตรียมใจยอมรับและต้องทำให้สำเร็จด้วย”ความสุข” ถึงอย่างงั้น อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะได้ยินคำตอบที่แน่นอน……ฉันก็จะยังไม่ทำแน่นอน
“ท่าน ป่อ……..”
……ทรมาน ความเงียบที่สื่อถึงความรักมากกว่าคำพูดใด ๆ และน้ำตาที่ไม่ไหลอาบแก้มนั้นช่างทรมาน เสียงสะอื้นใจจริงสมบูรณ์(สีแดงเลือด)เล็ดลอดออกจากริมฝีกปากที่เคี้ยวการหลอกลวง
“――――อึก………”
“……..ขอโทษ……ขอโทษนะ…….อริซ………. !”
คุณพ่อไม่พูดอะไรอีก ไม่พูดอะไร เพียงแค่กอดฉันแน่น มือบนหลังที่คว้าแค่เสื้อเท่านั้นเพื่อไม่ให้ฉันเจ็บนั้นอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ฉันไม่รู้ว่าตัวเองสมควรกอดกลับไปได้ไหม และทำได้เพียงยอมรับน้ำตาที่ไหลอยู่ในอกที่ปวดร้าว
ในความเงียบอันยาวนานที่เลือดหลั่งไหลไม่รู้จบ ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจที่ประตูก็ดังมาถึงหูของฉัน ฉันแน่ใจว่าต้องเป็นของพวกคาลเมียร์ซังซึ่งดูเหมือนจะมาสมทบกันหลายรอบโดยไม่รู้ตัว เสียงของเบลล์ซังที่ปลอบโยน แต่ไม่นานเสียงของมิแรนด้าซังก็ปะปนเข้ามา
……ในที่สุดทุกคนก็สะอื้นไห้ทำให้ทั้งห้องเปืยกแทนที่ฉันกับคุณพ่อ